การปฏิวัติพลังงานและการเกษตรนวัตกรรมใหม่ที่จะมาพลิกโลก
อีสท์
แอมเฮิร์ส, นิวยอร์ก--27
ต.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นบนโลก ได้แก่
การผสมผสานกันระหว่างพลังงานและการเกษตร
ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ที่มีความท้าทายด้านพลังงาน น้ำสะอาด ความหิวโหย
และภาวะโลกร้อนของโลกใบนี้ ได้รับการแก้ไขหรือตอบสนองในทันที นับตั้งแต่ปี 2555
เป็นต้นมา ดร.ดาริน พาสเตอร์ ซึ่งเป็นนักลงทุนและนักประดิษฐ์นั้น
ได้ทำงานเกี่ยวกับโซลูชั่นระดับโลกที่ยากจะบรรลุเป้าหมายได้ในอุตสาหกรรมพลังงานและการเกษตร
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2558
พาสเตอร์ได้ยื่นจดสิทธิบัตรกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดักจับการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ไฟฟ้า และน้ำ
ซึ่งเป็นผลพวงจากการผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซเป็นของเหลวและแอปพลิเคชั่นการเกษตรแนวตั้ง
การผสมผสานสองอุตสาหกรรมนี้เข้าด้วยกันโดยใช้วิธีที่อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตรของพาสเตอร์
จะช่วยปูทางสู่โรงงานผลิตด้านการเกษตรและเชื้อเพลิงปลอดมลภาวะในระดับอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรก
มร.พาสเตอร์
ตั้งใจที่จะออกใบอนุญาตเทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตรของเขาให้กับลูกค้า
ทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทของเขายังมีแผนที่จะพัฒนาโรงงานอย่างน้อย 10
แห่งในหลายๆเมืองทั่วพื้นที่อุตสาหกรรมของสหรัฐ เช่น บัฟฟาโล น้ำตกไนแองการา
คลีฟแลนด์ ดีทรอยท์ โรเชสเตอร์ ซีราคูส อัลบานี และพื้นที่ทุรกันดารทั่วโลก
แต่ละโครงการดังกล่าวสามารถสร้างตำแหน่งงานด้านการก่อสร้างได้ประมาณ 4,000-4,500 ตำแหน่ง
และตำแหน่งงานประจำซึ่งเป็นงานที่ใช้ทักษะสูงอีก 400 ตำแหน่ง หากโครงการทั้ง 10 แห่งเสร็จสมบูรณ์จะสามารถสร้างตำแหน่งงานในแวดวงการก่อสร้างได้
40,000 ตำแหน่ง และตำแหน่งงานประจำซึ่งต้องใช้ทักษะสูงได้ 4,000 ตำแหน่ง
เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของสถานที่ตั้งของโรงงานเหล่านี้ในเขตพื้นที่ของเมืองขนาดใหญ่
วงจรชีวิตการปล่อยมลภาวะของเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมและการผลิตด้านการเกษตรทั้งหมด
จะลดลงอย่างมากเพราะต้นทุนการขนส่งที่ลดลง
เชื้อเพลิงสังเคราะห์เกือบจะไม่มีสารซัลเฟอร์ โลหะหนัก
หรือกลิ่นที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ผลงานประดิษฐ์ที่อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตรของพาสเตอร์ช่วยให้โรงงานผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซเป็นของเหลวสามารถผลิตเชื้อเพลิงที่ปล่อยมลภาวะต่ำ
ในขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นอันตรายออกสู่บรรยากาศในขณะการผลิต
โรงงานผลิตเชื้อเพลิงจากก๊าซเป็นของเหลวหลายแห่งได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมากในระหว่างการผลิต
ซึ่งไม่มีโมเลกุลที่เป็นพิษ เช่น ซัลเฟอร์ และสารที่สร้างกลิ่นอื่นๆ การดำเนินการดังกล่าวนับเป็นการสร้างโอกาสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์และควบคุมก๊าซเรือนกระจกให้แก่ฟาร์มแนวตั้ง
(ซึ่งต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการสังเคราะห์แสง) ส่งผลให้ผลไม้และผักมีสารอาหารที่หลากหลายและปริมาณที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ การผลิตเชื้อเพลิงจากก๊าซเป็นของเหลวยังผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 3
เท่าของความต้องการใช้ในโรงงาน
ด้วยการผสมผสานโรงงานเชื้อเพลิงจากก๊าซเป็นของเหลวและฟาร์มแนวตั้ง
ส่งผลให้ศักยภาพความเป็นไปได้ของทั้งสองโรงงานมีความน่าสนใจมากขึ้น
ในพื้นที่ทุรกันดารที่ขาดแคลนน้ำสะอาด
ขั้นตอนดังกล่าวยังสามารถนำมาใช้เพื่อลดเกลือจากน้ำทะเลและทำให้สามารถนำน้ำมาบริโภค
ใช้ในฟาร์มแนวตั้ง แม้กระทั่งการเกษตรแบบดั้งเดิมได้
การเกษตรแนวตั้งนำเสนอข้อได้เปรียบที่การเกษตรแบบดั้งเดิมไม่มี
ตัวอย่างเช่น การเกษตรแนวตั้งใช้พื้นที่น้อยกว่ามาก
ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มขนาดและความถี่ของผลิตผล
และปกป้องพืชจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากต้องการใช้ที่ดินน้อยลง
ฟาร์มแนวตั้งสามารถตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้กับหรือในตัวเมืองขนาดใหญ่ เนื่องจากพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น
สถานที่และการใช้การเกษตรแนวตั้งในพื้นที่ดังกล่าวช่วยลดความจำเป็นด้านโลจิสติกส์ของเทคนิคการเกษตรในปัจจุบัน
ฟาร์มแนวตั้งยังผลิตมวลชีวภาพ
ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำมาใช้เลี้ยงสัตว์น้ำภายในฟาร์มแนวตั้งที่มีการเลี้ยงปลา
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบจะเกิดขึ้นเมื่อฟาร์มแนวตั้งตั้งอยู่ในพื้นที่กลยุทธ์ของเขตเมืองที่ชุมชนโดยรอบจะได้บริโภคผัก
ผลไม้ และปลาที่ผลิตในพื้นที่สะดวกและง่ายขึ้น
โรงงานใหม่ที่กล่าวถึงข้างต้น
จะช่วยกระตุ้นพื้นที่ที่อุตสาหกรรมเคยคึกคักในเชิงเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้พื้นที่ที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเป็นตัวอย่างผู้นำของโลกในการแก้ปัญหาด้านพลังงาน
ความหิวโหย โลกร้อน และความวิตกเกี่ยวกับน้ำสะอาดของโลกไปพร้อมๆกัน มร.
พาสเตอร์เชื่อว่า นี่เป็นโอกาสที่จะช่วยโลกใบนี้น่าอยู่มากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น