PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ศาลรัฐธรรมนูญกับบทบาท "คนดี" ของมีชัย

ศาลรัฐธรรมนูญกับบทบาท "คนดี" ของมีชัย

1
หนึ่งในประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็คือ "อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ" เพราะนับตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่าง บวรศักดิ์ อุววรณโณ จนถึง มีชัย ฤชุพันธ์ ทั้งสองร่างก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลไกหนึ่งที่มีอำนาจควบคุมการบริหารประเทศ อย่างเช่น อำนาจวินิจฉัยเพื่อหาทางออกในประเทศเข้าสู่วิกฤติและไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เป็นต้น โดยเราได้ทำการรวมเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญไว้ ดังนี้
 
ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ เพิ่มผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการ 2 คน
 
อ้างอิงตามมาตรา 195 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
 
สัดส่วนของผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจาก ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์อีก 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากส่วนราชการอีก 2 คน ซึ่งแต่เดิมในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กำหนดว่าให้สัดส่วนมาจาก ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ 2 คน และรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์อีก 2 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดนี้ได้ลดผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไป แต่แทนที่ด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการแทน
 
เปิดประชุมฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระแก้วิกฤติการเมือง
 
อ้างอิงตามมาตรา 5 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
 
ถ้าไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง ประธานสภาผู้แทนราษฎร / ผู้นำฝ่ายค้าน / ประธานวุฒิสภา / นายกรัฐมนตรี / ประธานศาลฎีกา-ศาลปกครองสูงสุด-ศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยของที่ประชุมเป็นที่สุดและผูกพันรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงงานของรัฐ
 
ทั้งนี้ มาตราดังกล่าว เป็นหลักการที่แก้ไขเพิ่มเติมมาจากมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และมาตรา 207 ของรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย (ร่างแรก) ที่เขียนไว้ใกล้เคียงกันว่า ถ้าไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่จะยกมาปรับแก่กรณีใดได้ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
 
การปรับปรุงแก้ไขมาตราดังกล่าว ผู้ร่างได้ยกเหตุผลว่าเพื่อให้การบริหารประเทศมีทางออกในยามที่ต้องเจอกับวิฤติทางการเมือง และไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาบังคับใช้ได้ แต่ทว่าก่อนหน้านี้ มาตรา 207 ในร่างรัฐธรรมนูญของมีชัย ที่เปิดเผยออกมาครั้งแรก ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญจนถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ดังนั้น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด สำหรับการลงประชามตินี้ จึงลดอำนาจการตีความของศาลรัฐธรรมนูญเดิม และเพิ่มฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการและองค์กรอิสระ เข้ามาช่วยกันวินิจฉัยด้วย ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขล่าสุดก็คือ "สัดส่วนของที่ประชุมมีศาลและองค์กรอิสระเป็นส่วนมาก"
 
 
ไม่ว่าใครก็สามารถร้องศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อสั่งให้เลิกการกระทำที่ล้มล้างการปกครองฯ ได้
 
อ้างอิงตามมาตรา 49 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า 
 
บุคคลจะใชสิทธิหรือเสรีภาพเพื่อลมลางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุขมิได ถ้าผูใดทราบวามีการกระทําดังกล่าวยอมมีสิทธิรองตออัยการสูงสุดเพื่อรองขอใหศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการใหเลิกการกระทําดังกลาวได แต่ถ้าอัยการสูงสุดมีคําสั่งไมรับดําเนินการตามที่รองขอหรือไมดําเนินการภายในสิบหาวันนับแตวันที่ไดรับคํารองขอ ผูรองขอจะยื่นคํารองโดยตรงตอศาลรัฐธรรมนูญก็ได 
 
ทั้งนี้ มาตราดังกล่าวเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 จะพบว่า การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงนั้นเป็นเรื่องใหม่ เพราะแต่เดิมการใช้สิทธิดังกล่าวต้องถูกกลั่นกรองโดยอัยการสูงสุดก่อน แต่ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติไม่เห็นชอบ ก็จะพบว่า ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยตีกรอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไว้แคบกว่า กล่าวคือให้สั่งเลิกการกระทำได้เท่านั้น แต่ร่างฉบับบวรศักดิ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเป็นอย่างอื่นได้ และถ้าพรรคการเมืองเป็นผู้กระทำการล้มล้างการปกครองฯ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคการเมืองได้อีกด้วย
 
ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันเขียน "มาตรฐานทางจริยธรรม" ภายในหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้
 
อ้างอิงตามมาตรา 219 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
 
ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ทั้งนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง
 
โดยในการจัดทํามาตรฐานทางจริยธรรม ให้รับฟังความคิดเห็นของ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว ให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่จะกําหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรมที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้
 
นอกจากนี้ ในส่วนของบทเฉพาะกาล ในมาตรา 276 ยังกำหนดอีกว่าการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ มิเช่นนั้น ให้ผู้ดำรงตำแหน่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งไป
 
อำนาจวินิจฉัยให้ ครม. ที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงพ้นไปจากตำแหน่ง
 
อ้างอิงตามมาตรา 170 วรรค 3 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
 
รวมอยู่ด้วย ดังนั้น ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา สามารถเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกและให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ได้ว่า รัฐมนตรีคนใดขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 คือ ไม่มีความ "ซื่อสัตย์สุจริต" และ "มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง" 
 
นอกจากนี้ในมาตรา 170 วรรค 3 ยังกำหนดให้คณะกรรมการเลือกตั้งมีอำนาจในการยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญได้อีกด้วย
 
++ อำนาจถอดถอนและตัดสิทธิการเลือกตั้งของ ส.ส. ส.ว. และ ครม. ที่คอร์รัปชั่นเงินแผ่นดิน ++
 
อ้างอิงตามมาตรา 144 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
 
ส.ส. และ ส.ว. จะเสนอแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ใช้งบประมาณรายจ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้ นอกจากนี้ ถ้า ครม. มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การอนุมัติใหกระทําการหรือรูวามีการกระทําดังกลาวแลวแตมิไดสั่งยับยั้ง ก็จะมีความผิดไปด้วย
 
โดย ถ้ามีผู้กระทำการดังกล่าวให้เป็นอำนาจของ ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ซึ่ง ส.ส. ส.ว. หรือ ครม. ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดต้องพ้นจากตำแหน่ง และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นด้วย

พล.อ.ประวิตร ตั้ง 'ปฏิคม วงษ์สุวรรณ' น้องชาย เป็นกรรมการ กฟภ.


เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 4 มี.ค. 59 
โดยระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (25 พ.ย.57) อนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) จํานวน 7 คน ซึ่งมีนายสมพร ใช้บางยาง เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และได้มีประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 พ.ย. 57 นั้น
บัดนี้ นายสมพร ใช้บางยาง กรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้พ้นจากตําแหน่ง เนื่องจาก มีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ 7 ก.ย.58 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 ก.พ.59 อนุมัติให้แต่งตั้งนายปฏิคม วงษ์สุวรรณ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทน นายสมพร ใช้บางยาง ที่พ้นจากตําแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.59 เป็นต้นไป
/////////
ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2557 ก็มีข่าวในท่วงทำนองเดียวกัน โดยมีการโยกย้ายครั้งใหญ่ในกรมราชทัณฑ์และมีการตั้งให้ นายปฏิคม วงษ์สุวรรณ ที่ขณะนั้น เป็น ผบ.เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา น้องชายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไปรักษาการแทนผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม  
อธิบดีราชทัณฑ์เซ็นย้ายล้างบาง 6 ผบ.เรือนจำใหญ่ น้องชาย "ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ผงาดคุมคุกคลองเปรม

(ส.ค.2557)นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เมื่อกลางดึกของวันที่ 4 ส.ค.2557ที่ ผ่านมา ตนได้ลงนามคำสั่งที่ 894/2557 เรื่องแต่งตั้งข้าราชการให้รักษาราชการแทน เป็นระดับผู้บัญชาการเรือนจำ 6 ราย ทั้งนี้เป็นการโยกย้ายเพื่อความเหมาะสมในปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 1. นายชาตพล อาภาสัตย์ จากผบ.เรือนจำกลางพิษณุโลก ให้รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ สำนักผู้ตรวจการกรมราชทัณฑ์ 2. นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ ผบ.เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา ให้รักษาราชการแทน ผบ.เรือนจำกลางพิษณุโลก 3. นายภักดี ตั้งธรรม ผบ.เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้รักษาราชการแทน ผบ.เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา 4. นายณรงค์ ยงณรงค์เดชกุล ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ สำนักผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ ให้รักษาราชการแทน ผบ.เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5.นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ให้รักษาราชการแทน ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง และ6.นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง ให้รักษาราชการแทน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยคำสั่งดังกล่าวให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับการแต่งตั้งภายใน 7 วัน

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวต่อว่า การโยกย้ายผบ.เรือนจำถือเป็นการหมุนเวียนเพื่ออุดช่องโหว่การทำงานของบางเรือนจำที่ยังปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบนำสิ่งของต้องห้าม โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำ เช่น ที่เรือนจำกลางพิษณุโลกมีการจู่โจมตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก จำเป็นต้องสลับให้บุคคลอื่นเข้าไปทำหน้าที่แทน

ก่อนหน้านี้มีการย้ายนายประเสริฐ อยู่สุภาพ ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม มารักษาราชการแทนผอ.สำนักทัณฑปฏิบัติ ให้นายกิตติพัฒน์ เดชะพหุล ผอ.สำนักทัณฑปฏิบัติ ไปรักษาราชการแทนผบ.เรือนจำกลางระยอง และให้นายปฏิคม วงษ์สุวรรณ ผบ.เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา น้องชายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไปรักษาการแทนผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ส่วนนายธนัช หริการบัญชร ผบ.เรือนจำกลางระยอง ย้ายไปรักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการรมราชทัณฑ์ สำนักผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์

กรธ.ไม่ ‘ขัดใจ’ ยกให้ คสช. เลือก ส.ว. 250 คนเอง


กรธ.ไม่ ‘ขัดใจ’ ยกให้ คสช. เลือก ส.ว. 250 คนเอง
http://ilaw.or.th/node/4069
เรื่องที่เป็นประเด็นร้อนและมีการถกเถียงของสังคม ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนลงประชามติ คงหนีไม่พ้นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ในวาระแรกเริ่ม ที่มาจากข้อเสนอของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ตอบสนองข้อเสนอนี้ โดยกำหนดในบทเฉพาะกาล มาตรา 269 สรุปได้ว่า
ในวาระเริ่มแรก ให้ ส.ว. ประกอบด้วยสมาชิก 250 คน โดยให้ คสช. แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีความรู้ ประสบการณ์ด้านต่างๆ เป็นกลางทางการเมือง 9-12 คน ทำหน้าที่สรรหาผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง ส.ว. จำนวนไม่เกิน 400 คน เพื่อให้ คสช. คัดเลือกให้เหลือ 194 คน และคัดชื่อสำรองอีก 50 คน
อีกส่วนหนึ่ง มาจากผู้ที่เป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง 6 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และส่วนสุดท้ายได้จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการจัดให้มีการเลือก ส.ว. โดยให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์หลายด้าน กลุ่มวิชาชีพ หรือกลุ่มผลประโยชน์ เลือกกันเองให้ได้ 200 คน แล้วนำรายชื่อให้ คสช. เลือกให้เหลือ 50 คน และคัดชื่อสำรองไว้อีก 50 คน จากที่มาสามทางนี้ก็จะได้ ส.ว.ครบ 250 คนพอดี
ส.ว.ชุดนี้จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีอำนาจหน้าที่ติดตาม เสนอแนะ เร่งรัดการปฏิรูปประเทศ จัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ดูแลกฎหมายที่จะกระทบต่อการดำเนินการกระบวนการยุติธรรม
อ่านต่อที่ >>>> http://ilaw.or.th/node/4069
ดาวโหลดร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติได้ที่http://www.parliament.go.th/…/draftconstit…/ewt_dl_link.php…

ศาลอาญา ยกฟ้อง "ศักดิ์ชัย กาย" ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม กรณีเบิกถอนเงิน 158 ล้านบาท


ศาลอาญารัชดา อ่านคำพิพากษาในคดีที่ พล.ต.ต.เพ็ชร์ ณ ป้อมเพ็ชร์ โดย น.ส.นพมาศ ณ ป้อมเพ็ชร์ ฐานะผู้อนุบาล เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการนิตยสารชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม รวมเป็นเงินกว่า 158 ล้านบาท จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2543 จำเลยได้ปลอมใบถอนเงิน ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์ แล้วนำ
ไปถอนเงินจำนวนทั้งสิ้น 158,330,000 บาท ในรูปของแคชเชียร์เช็ค และนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย ศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า ทางนำสืบโจทก์ยังไม่พอฟังได้ว่า เป็นใบถอนเงินปลอม และที่ น.ส.นพมาศ เบิกความว่า ในช่วงขณะเกิดเหตุจำเลยได้ดูแลโจทก์ซึ่งป่วยมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ พยานหลักฐานดังกล่าวไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าโจทก์ป่วยถึงขั้นไม่ยินยอมให้ผู้อื่นกรอกข้อความในใบถอนเงินและเช็คตามฟ้องอย่างไร คดีจึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอม และใช้เอกสารปลอม และคดีขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง

จับหญิงไทยพกโคเคน2กก.

วานนี้ ที่สนามบินนานาชาติพนมเปญ หลังจากทางเจ้าหน้าที่ได้สังเกตการณ์ และพบสตรีผู้หนึ่งที่เป็นผู้น่าสงสัยภายในสนามบิน จึงได้ขอตรวจค้นตรวจสอบพบกล่องช็อคโกแลต 4 กล่อง ภายในบรรจุยาเสพติดชนิดโคเคนจำนวน 2.6 กิโลกรัม
ตรวจสอบหนังสือเดินทาง ทราบว่าเป็นชาวไทย ตามหนังสือเดินทางหมายเลข AA5812431 เดินทางมาจาก Doha เมืองหลวงของกาตาร์กับสายการบินกาตาร์แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR970 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กัมพูชาได้กักตัวเพื่อทำการขยายผลต่อไป

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กป้อม เผย หลักสูตรอบรมนักการเมือง พร้อมแล้ว เปิดวันนี้เลยยังได้





บิ๊กป้อม เผย หลักสูตรอบรมนักการเมือง พร้อมแล้ว เปิดวันนี้เลยยังได้ ยันเฉพาะคนที่ทำผิด ถูกเรียกตัวเท่านั้น หากเข้าใจ คุยชม.เดียวกลับบ้าน ก็ได้ ไม่กระทบภาพพจน์ คสช.คนดีอยู่แล้ว/ ด้าน
บิ๊กหมู ขอเวลาอีก1-2 วัน จะแถลงหลักสูตร
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าหลักสูตรอบรมปรับทัศนคตินักการเมือง ว่า พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ./เลขาธิการคสช. มีหลักสูตรอยู่แล้ว สามารถใช้ได้ทันที ถ้าเปิดได้วันนี้ ก็เปิด
ส่วน จะใช้ค่ายทหาร หรือสถานที่อื่น ต้องแล้วแต่ คสช. ซึ่งหลักเกณฑ์ สำหรับคนที่ทำผิด คนที่วิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น คงไม่ไปเอาคน 60-70 ล้านคนมาปรับความเข้าใจ คนไม่ผิด เราไม่สามารถเรียกเขามาได้ ถ้ามีคนที่ฝ่าฝืน หรือกระทำผิด เราถึงจะเรียกมา ซึ่งถ้าเรียกมาแล้ว พูดคุยกันแล้วเข้าใจง่าย ชั่วโมงเดียวก็ออกมาได้
ส่วนห่วงจะกระทบภาพพจน์คสช.ในแง่ลบหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วง ในเมื่อ คสช.เรียบร้อยอยู่แล้ว และทุกคนเบื้องหลังเป็นคนดี
ด้าน พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ./เลขาฯคสช. กล่าวว่า จะชี้แจงรายละเอียดเรื่องนี้ ใน1-2วัน

ตำรวจกำลังไม่พอ


บิ๊กป้อม เผย บิ๊กตู่ ออกคำสั่ง หน.คสช. 13/2559 ให้ทหารช่วย ปราบปรามผู้มีอิทธิพล เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย เพราะกำลังตำรวจ ไม่พอ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย ว่า อย่าไปเรียกว่า มาเฟีย แต่เราต้องการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
เมื่อถามว่าการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะตำรวจไม่เพียงพอในการทำหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ จึงต้องให้ทหารเข้ามามีอำนาจด้วย
ส่วนคำสั่งคสช. ที่ 12/2559 ย้ายผู้ว่าฯ 4 จังหวัดนั้น เนื่องจากมีคดี ถ้าไม่มีคดีเราคงไม่ทำ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของคดีได

ทีมโฆษกคสช. ประชดพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ ไม่รับร่างรธน. บอก ชัดเจนดี ที่แถลงออกมา


ขอบคุณ ที่ชัดเจน....
ทีมโฆษกคสช. ประชดพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ ไม่รับร่างรธน. บอก ชัดเจนดี ที่แถลงออกมาแบบนั้น ระบุ ร่างรธน.ฉบับปราบโกง ย่อมกระทบ คนจ้องจะทุจริต หาประโยชน์ แต่เชื่อว่า ปชช.คนไทย มีเวลา ๔เดือน ในการศึกษาด้วยตนเอง ก่อนลงประชามติ ๗สค.นี้ เล็งเอาผิด ออกแถลงการณ์ชี้นำระบุ กรธ.เจตนาแรงกล้า ร่างรธน.นี้เพื่อแก้ปัญหาประเทศและเพื่อศักดิ์ศรีของคนไทยในสังคมโลก
พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองผบ.มทบ.๑๑ และ ทีมโฆษกคสช. กล่าวว่า ขณะนี้ กรธ.ได้ส่ง ร่างรธน.และชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญ ไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขใดๆได้แล้ว ช่วงนี้จึง เป็นช่วงที่ประชาชนจะได้ศึกษา ร่างรธน.ฉบับนี้ เพื่อเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ ที่มีอยู่ ๒๗๙มาตรา ๑๖หมวด อันมีเนื้อหา เพื่อการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น และเพื่อ ศักดิศรีในสังคมโลกของคนไทย แก้ปัญหาถ่วงดุลย์การบริหารอำนาจรัฐ มีการตรวจสอบ ผู้มี่มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทีมโฆษกคสช. กล่าวว่า ต้องขอบคุณในความชัดเจนของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ยอมรับกฎกติกานี้ ที่ได้ออกแถลงการณ์ ไม่รับร่าง รธน. นี้ แต่เชื่อว่า ประชาชนคนไทยมีเวลาศึกษาข้อดีของร่างรธน.ฉบับนี้ จากการที่ กรธ.ได้ใช้ความเพียรพยายามในการศึกษาปัญหาของประเทศต่างๆ แล้วก็นำมาร่าง เป็น รธน.นี้เพื่อใช้เป็นกฎกติกาในการแก้ไขปัญหาประเทศ ที่ไม่มีทางออกและวางอนาคตของประเทศ ด้วยความปรารถนาและเจตนาที่ดีอย่างแรงกล้า ในการแก้ปัญหาประเทศ
“เจตนารมณ์ของร่างรธน. ฉบับนี้คือ ป้องกันปัญหาการทุจริต มีบทลงโทษที่รุนแรง ย่อมกระทบกันคนที่คิดจ้องหาประโยชน์ จ้องทุจริต คอรัปชั่น ที่เกรงว่าจะกระทบต่อตนเอง ดังนั้น ในเวลา ๔เดือนที่เหลืออยู่ จนกว่าจะลงประชามติ ๗สค.นี้ ขอให้ประชาชนศึกษาให้ดี เพื่อไปลงประชามติ” พันเอกปิยพงศ์ กล่าว
โดย คสช.เรายังคงยืนยันว่า คสช.ยึดโรดแมพ ที่จะต้องมีการเลือกตั้ง ในปี๒๕๖๐ โดยไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น
พันเอกปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.กำลังตรวจสอบดูว่า แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย นี้จะขัดต่อกฏหมายประชามติ หรือไม่ ดูว่า ชี้นำ และ เป็นไปในการทำให้เกิดความเข้าใจที่สับสน หรือเข้าข่ายผิดกม. หรือการสร้างความเข้าใจผิดต่อร่างรธน. หรือไม่ ก็อาจมีข้อพิจารณาเพิ่มเติม ว่าจะดำเนินการในการเอาผิดอย่างไรต่อไป สำหรับคนที่เกี่ยวข้อง

ตรวจค้น จับกุม ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล คดีซึ่งหน้า !!

ตรวจค้น จับกุม ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล คดีซึ่งหน้า !!
คสช. แจงคำสั่งหน.คสช.๑๓/๒๕๕๙ ไม่ให้ให้อำนาจทหารมากเกินไป เพราะปฏิบัติต่อ ผู้มีอิทธิพล และเป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย ตามรายชื่อ เผยให้อำนาจทหาร เพิ่มในการตรวจค้น จับกุม โดยไม่ต้องมีหมายศาลได้ เพื่อรับปัญหาซึ่งหน้า ได้ทันท่วงที เพื่อเสริมการทำงานของตำรวจ
พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองผบ.มทบ.๑๑ และ ทีมโฆษกคสช. กล่าวถึง คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ ๑๓/๒๕๕๙ การกระทำที่เป็นภยันตรายต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยและบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ว่า เป็นการให้อำนาจ ทหาร ยศร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรี ขึ้นไป ในการเป็น เจ้าพนักงานในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ในทั้ง ๑๖ฐานความผิด รวมทั้ง แต่งตั้งให้ทหารที่ยศต่ำลงมา รวมทั้ง ทหารประจำการ กองประจำการ อาสาสมัครทหารพราน ผช.เจ้าพนักงานฯ ด้วย เพื่อปราบปรามผู้ทำความผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ เพราะในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ นั้น การ ต้องมีหมายศาล ในบางกรณีอาจทำให้ล่าช้า แต่เพื่อให้รวดเร็วทันท่วงที ต่อความผิดซึ่งหน้า คำสั่งนี้ จึงให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ตามที่หัวหน้า คสช.แต่งตั้ง
ส่วนที่วิจารณ์กันว่า เป็นการให้อำนาจ ทหารมากเกินไป นั้น พันเอกปิยพงศ์ กล่าวว่า เราปฏิบัติต่อเป้าหมายที่มีชื่อบัญชีอยู่แล้ว เท่านั้น จึงต้องให้อำนาจทหาร ในการทำงานร่วมกับจนท.ตำรวจและส่วนอื่นๆ เพื่อ ให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
ทั้งตามตามกำหนดเดิมของ การแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล นั้น จะสิ้นสุดระยะ ๖เดือน ในปลายเดือน เม.ย.นี้ แต่จะต้องมีการดูผลงกานทำงาน ว่า สำเร็จหรือยังมีอุปสรรคใดๆ หรือไม่ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามคำสั่งของหัวหน้าคสช.

คสช.เอกจริงอบรมนักการเมือง



โรงเรียนคสช.
คสช.เผย เตรียมกรอกหู ผลงานรัฐบาล-คสช. ให้พวกที่โดนอบรมหลักสูตรใหม่ของ คสช. ยันไม่เรียกว่า ปรับทัศนคติ แล้ว เพราะอายุเยอะกันแล้ว โฆษกคสช. เผย เตรียมค่ายทหารไว้หลายแห่งรองรับ พร้อมดูแลสุขภาพ ให้ด้วย แฉเหตุเพราะนักการเมือง รับปาก แล้วไม่รักษาคำพูด ออกจากค่ายทหารแล้วก็เหมือนเดิม
พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองผบ.มทบ.๑๑ และ ทีมโฆษกคสช. กล่าวถึง หลักสูตรการอบรมนักการเมือง ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ได้มอบหมายให้ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.และเลขาธิการคสช. จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ทั้งหลักสูตร ครูฝึก สถานที่
ทั้งนี้เพราะในห้วงที่ผ่านมา คสช.ได้เชิญ บุคคลต่างๆ มาพูดคุยปรับทัศนคติ โดย เป็นแบบวันต่อวัน โดยมีการรับปาก มีการลงชื่อในข้อตกลง การจะให้ความร่วมมือกับ คสช. แต่ ปรากฏว่า เมื่อออกมาแล้ว ก็ไม่ทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่รักษาคำพูด ไม่นำพาคำพูดของตนเอง ดังนั้น คสช.จึงต้องหามาตรการ เพื่อต้องอยู่พูดกันนานมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมากขึ้น พร้อมทั้ง ดูแลสุขภาพ ความเป็นอยู่ ให้ด้วย
โดย หลักสูตรการอบรมนี้ บุคคลที่ถูก คสช. เชิญตัว เข้ารับการอบรมนั้น จะได้รับทราบ เรื่องผลงานรัฐบาล คสช. ในห้วงที่ผ่านมา
“ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนทัศนคติ แล้ว เพราะอายุมากแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ แล้ว แต่เป็นการให้ข้อมูลและผลงานรัฐบาล และคสช.ได้ทำไปแล้ว”
ทั้งนี้ จะไม่ได้ระบุว่า จะใช้ค่ายทหารหรือหน่วยทหารที่ใด เพราะอาจมีหลายแห่ง ที่พร้อมรองรับ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร
ทั้งนี้เราไม่ได้เชิญคนทั่วไป แต่คนที่วิจารณ์ร่าง รธน.และวิจารณ์ตัวบุคคล ให้ข้อมูลที่เป็นผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อทำความเข้าใจ ขอความร่วมมือ เพราะสำหรับคนไทยด้วยกันแล้วสิ่งที่ดีที่สุดคือ การทำความเข้าใจกัน แต่เมื่อเป็นคนไม่อยากรับรู้ เราก็ต้องใช้ความสุภาพอ่อนน้อม พูดคุย นำผลงานรัฐบาล และคสช.มาให้รับรู้ ให้ดู นำข้อมูลมาให้ทราบ
พันเอกปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.เรา หวังเพื่อความสงบ จึงต้องมีการบังคับใช้กม.เข้มข้น ขึ้นในทุกๆด้าน อะไรที่ติดขัด ค้างคา คสช.ต้องแก้ไข และรักษาสภาพ เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการที่รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน และตอบสนอง การดูแล ประชาชนคนไทย จึงต้องขอความร่วมมือ และช่วยกันติดตามการทำงานขอ รัฐบาลและ คสช.

วันประวัติศาสตร์การเมืองใหม่เมียนมา อู ถิ่นจอ เพื่อนสนิทของออง ซาน ซูจี สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมา

วันประวัติศาสตร์การเมืองใหม่เมียนมา อู ถิ่นจอ เพื่อนสนิทของออง ซาน ซูจี สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมาแล้ววันนี้ (30 มี.ค.59) นับเป็นผู้นำพลเรือนคนแรกของประเทศใน 54 ปี สืบต่อจากประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่มาจากรัฐบาลทหาร ขณะที่อองซานซูจี จะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ 4 ตำแหน่ง รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ภายใต้การนำของนางซูจี คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายเมื่อ พ.ย.58 จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในเมียนมา โดยนาย ถิ่น จอ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเอ็นแอลดี ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกรัฐสภาด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่ง ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ ขณะที่ นายเฮนรี วาน ธียู และนายมินต์ ส่วย ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงประธานาธิบดี ได้นั่งเก้าอี้รองประธานาธิบดี

ประชาธิปไตยในบัญชา ทายท้าวิชามาร

ใบตองแห้ง

ทหารตำรวจจับชาวเชียงใหม่โพสต์ภาพ “ขันแดง” ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ขึ้นศาลทหารฐานเป็นภัยความมั่นคง ต้อนรับวัน กรธ.แถลงร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งบัญญัติ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค” ขณะที่ คสช. “อัพหลักสูตร” ปรับทัศนคตินักการเมือง 3-7 วัน ทั้งที่ให้สัญญากลับสู่เลือกตั้ง กำลังจะทำประชามติรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
เราจะทำประชามติอย่างไร ทำภายใต้บรรยากาศที่ห้ามปริปากวิพากษ์วิจารณ์? คสช.ใช้ ม.44 กกต.ห้ามจัดเวที แล้วจะทำประชามติไปทำไม ทำให้คนติดคุกติดตะรางเปล่าๆ ถ้าอยากให้รัฐธรรมนูญผ่าน ก็ประกาศใช้ไปเลยดีกว่า
ทำประชามติแต่ไม่เปิดให้มีเสรีภาพ ไม่ต่างอะไรกับมีรัฐธรรมนูญ มีเลือกตั้ง แต่ไม่มีประชาธิปไตย ลำพังร่างรัฐธรรมนูญมีชัยก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว กีดกันอำนาจที่ประชาชนเลือกตั้ง เพิ่มอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ถอดถอนตัดสิทธินักการเมือง โดยยังไม่ทันทำผิดกฎหมาย แค่ศาลเห็นว่า “ผิดจริยธรรม” ก็ตกเก้าอี้ทันใด
พูดง่ายๆ คือระบอบสถาปนาอำนาจ elite ผู้ลากมากดี ที่อ้างตัวว่ามีศีลธรรมมีการศึกษาเหนือชาวบ้านทั่วไป ให้เข้าสู่อำนาจด้วยระบบอุปถัมภ์ เข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการองค์กรอิสระ แล้วมีอำนาจเหนือทุกองค์กร เหนืออธิปไตยของปวงชน เหนือนิติรัฐ แต่อ้างกฎหมาย กำจัดอำนาจที่จะเป็นภัยต่อคนชั้นนำ
ขนาดนั้นร่างรัฐธรรมนูญมีชัยก็ยังไม่สมใจ คสช. ซึ่งไม่ต้องการให้มีช่องทางแม้แต่น้อย ที่อำนาจจากเลือกตั้งอาจกลับมาเป็นภัย จึงขอให้มีบทเฉพาะกาล วุฒิสภา 5 ปีมาจากเลือกตั้งโดยมีที่นั่งให้ ผบ.เหล่าทัพ พร้อมกับโอกาสที่จะมีนายกฯ คนนอกง่ายขึ้น แม้ กรธ.ยังไม่ยอมให้อำนาจวุฒิสภาลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล (แต่ใครจะรู้ได้ สนช.ยังสามารถตั้งคำถามประชามติเพิ่มเติม บางคนอยากให้วุฒิสมาชิกแต่งตั้งโหวตเลือกนายกฯ ได้ด้วยซ้ำ)
เราอยู่ในสถานการณ์อะไร เห็นชัดว่านี่คือสภาวะที่กลุ่มอำนาจนำในสังคมไทยหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลงและ “เปลี่ยนผ่าน” กลัวจนกระทั่งปิดกั้นทุกสิ่งอย่าง หวังว่าการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จจะสามารถควบคุมสังคมได้ ทั้งที่อีกใจก็รู้ว่าไม่จริง แถมยิ่งใช้อำนาจมากยิ่งหวาดกลัว ยิ่งลงไม่ได้ กลัวหมดอำนาจเมื่อไหร่จะถูกลบล้าง ถูกเอาคืน ก็ยิ่งใช้อำนาจมากขึ้นๆ และเสี่ยงถูกเอาคืนยิ่งขึ้น เพราะยิ่งกระทบคนอื่นมากไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่นักการเมือง
ผู้มีอำนาจอาจ “โชคดี” ที่สังคมไทยวันนี้มาไกลกว่า 40 ปีที่แล้ว แม้อาจมีทั้งข้อดีข้อเสีย ด้านหนึ่งคนไทยอาจมีสติปัญญา มีเหตุผลมากขึ้น ตระหนักว่าประชาธิปไตยไม่สามารถได้มาด้วยความรุนแรง หรืออีกด้านหนึ่งคนไทยอาจสนใจเรื่องทางสังคมน้อยลง บ้าดารา บ้าเกาหลี ฯลฯ ทำมาหากินดีกว่า เพื่อเสพสุขบริโภค ไม่ว่าอย่างไร ผลที่ออกมาคือสังคมไทยยังอดทน หรือไม่งั้นก็มึนงง ไม่รู้จะทำอย่างไรกับการใช้อำนาจที่เหมือนโผล่มาจาก 40-50 ปีที่แล้ว
แต่ภาวะอย่างนี้ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันหรอกนะครับว่าจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จต่อไปได้อีกนาน หรือใช้อำนาจมากขึ้นๆ ทั้งที่อยู่ในช่วงควรจะผ่อนคลาย ควรจะค่อยๆ ถอยลงจากหลังเสือ
วันนี้เราอาจตอบไม่ได้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น การใช้อำนาจอย่างนี้ไปอีกปีกว่า กับคงอำนาจบางส่วนอีก 5 ปี เพียงเพราะ “กลัวความเปลี่ยนแปลง” จะสะดุดตรงไหนก็ไม่ทราบ แต่ถ้าสะดุดเมื่อไหร่ ก็อาจแหลกลาญไม่เหลืออะไรเลย

ประยุทธ์"เฉียบ!งัดมาตรา44ให้อำนาจทหารปราบมาเฟีย

"ประยุทธ์"เฉียบ!งัดมาตรา44ให้อำนาจทหารปราบมาเฟีย
Wednesday, March 30, 2016 - 12:21

"บิ๊กตู่"ใช้มาตรา44แต่งตั้งทหารปราบปรามผู้อิทธิพลที่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อย มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงานตัวจับบกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าได้และเข้าไปในเคหสถานโดยไม่ต้องรอหมายค้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๑๓/๒๕๕๙ เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ด้วยปรากฏว่าได้มีบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์กระทำความผิดอาญาบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยการข่มเหง ขู่เข็ญรังแก หรือแสดงตน อันเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ไม่กล้าขัดขืน หรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเกรงภัยจะเกิดแก่ตน นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีบุคคลที่ดำรงชีพด้วยการกระทำผิดกฎหมายเช่น ค้ายาเสพติด เป็นเจ้ามือพนัน มีพฤติการณ์ซ่องสุมอาวุธ เพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์ต่าง ๆที่มิชอบด้วยกฎหมาย การที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีจึงมีความยุ่งยาก ซับซ้อน หรืออาจเกิดความเสี่ยงภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จึงจำเป็นต้องกำหนดกระบวนการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาที่มีลักษณะดังกล่าวเป็นพิเศษ เพื่อเป็นมาตรการเสริมกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญา รวมทั้งคุ้มครองความสงบเรียบร้อย และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดจนเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้แก่สุจริตชน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ในคำสั่งนี้

“เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ขึ้นไป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคำสั่งนี้

“ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ลงมา และให้หมายความรวมถึง ทหารประจำการ ทหารกองประจำการและอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ข้อ ๒ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามดำเนินการป้องกันและปราบปรามการกระทำ
อันเป็นความผิดตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายคำสั่งนี้

บุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทำความผิดตามวรรคหนึ่งซึ่งจะอยู่ในบังคับตามคำสั่งนี้ ต้องเป็นผู้มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังต่อไปนี้

(๑) กระทำความผิดโดยการข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น

(๒) แสดงตนให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ไม่กล้าขัดขืนหรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการเพราะเกรงภัยจะเกิดแก่ตน

(๓) ดำรงชีพด้วยการกระทำผิดกฎหมายการกระทำตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการใช้ จ้างวาน หรือสนับสนุนการกระทำใด ๆที่เป็นการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งด้วย

ข้อ ๓ ในการดำเนินการตามข้อ ๒ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑) ออกคำสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามหรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามข้อ ๒

(๒) จับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป

(๓) ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนในความผิดตามข้อ ๒ โดยในการเข้าร่วมดังกล่าวให้ถือว่าเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

(๔) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆทั้งนี้ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลซึ่งกระทำความผิด ตามข้อ ๒ หลบซ่อนอยู่หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือได้ใช้หรือจะใช้ในการกระทำความผิดตามข้อ ๒ หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อว่า เนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ บุคคลนั้นจะหลบหนีไป หรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม

(๕) ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบตาม (๔)

(๖) กระทำการอื่นใดตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมายข้อ ๔ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดตามข้อ ๒ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอำนาจเรียกตัวบุคคลนั้นมาเพื่อสอบถามข้อมูลหรือให้ถ้อยคำอันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามข้อ ๒ และในกรณีที่ยังสอบถามไม่แล้วเสร็จจะควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้ก็ได้แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวัน แต่การควบคุมตัวดังกล่าวต้องควบคุมไว้ในสถานที่อื่น
ที่มิใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้ต้องหามิได้
เมื่อมีเหตุอันจะต้องดำเนินคดีต่อบุคคลที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งในฐานะเป็นผู้ต้องหาให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจดำเนินการต่อไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ข้อ ๕ ในกรณีที่บุคคลใดถูกควบคุมตัวตามข้อ ๔ วรรคหนึ่ง เนื่องจากการกระทำความผิดตามข้อ ๒ เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามอาจปล่อยตัวไปโดยมีหรือไม่มีเงื่อนไขก็ได้เงื่อนไขในการปล่อยตัวตามวรรคหนึ่ง หมายถึง การกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา ๓๙ (๒) ถึง (๕) แห่งประมวลกฎหมายอาญา การห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือการสั่งระงับธุรกรรมทางการเงินผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปล่อยตัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อ ๖ ให้ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ตามที่เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามสั่งการหรือมอบหมาย

ข้อ ๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาข้อ ๘ การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

ข้อ ๙ เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. ๒๕๔๘ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ ๑๐ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

บัญชีความผิดท้ายคำสั่ง
๑. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังต่อไปนี้
(๑) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
(๒) ความผิดเกี่ยวกับเพศเฉพาะที่มีลักษณะเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไป
เพื่ออนาจาร หรือเพื่อการค้าประเวณี หรือการดำรงชีพจากรายได้ของผู้ซึ่งค้าประเวณี
(๓) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารราชการ
(๔) ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
(๕) ความผิดเกี่ยวกับกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์
(๖) ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน
๒. ความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓
๓. ความผิดตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
๔. ความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
๕. ความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ เฉพาะที่มีลักษณะเป็นบ่อน
การพนัน โต๊ะพนันบอล หวยใต้ดิน จับยี่กี ตู้เกมส์ไฟฟ้า
๖. ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
๗. ความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖
๘. ความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
๙. ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
๑๐. ความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๑
๑๑. ความผิดตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑
๑๒. ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
๑๓. ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
๑๔. ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙
๑๕. ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
๑๖. ความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗
๑๗. ความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ เฉพาะที่มีลักษณะเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
๑๘. ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เฉพาะที่มีลักษณะเป็นการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ และมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษที่มีจำนวนปริมาณเกินที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
๑๙. ความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓/๑
๒๐. ความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
๒๑. ความผิดตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕
๒๒. ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐพ.ศ. ๒๕๔๒
๒๓. ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙
๒๔. ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
๒๕. ความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช ๒๔๗๕
๒๖. ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง
และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐
๒๗. ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
ข้อ ๕ (๗) และข้อ ๖