PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เตือนวอลล์สตรีทใกล้ฟองสบู่แตก?! เทขายหุ้นล้างพอร์ต กอดเงินสดแน่นๆ


จิ้งจกร้องทักยังต้องฟัง นับประสาอะไรกับเสียงดังๆฟังชัดของมหาเศรษฐีพันล้านผู้ทรงอิทธิพลของอเมริกา “คาร์ล ไอคาห์น” เจ้าของฉายานักล่าบริษัทชั้นยอด ที่ออกโรงเตือนแมงเม่าทั้งหลายให้ระวังวิกฤติครั้งใหม่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นักลงทุนกำลังเดินเข้าสู่กับดักเดิมๆอีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งที่เจอวิกฤตการณ์ใหญ่ในปี 2007
โดยหนึ่งในสัญญาณเตือนก็คือ การที่คุณปู่คาร์ลตัดสินใจขายหุ้น Apple ทิ้ง 7 ล้านหุ้น มูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อต้นปี คิดเป็น 13% ของหุ้น Apple ในพอร์ต ที่มีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่า 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อุ๊ตะ!! เตือนกันขนาดเนี้ยต้องมีหลักฐานสนับสนุนนะ ไม่งั้นเม่าไม่ยอม!! “แอนดรูว์ สมิธเธอร์ส” ประธานบริษัทสมิธเธอร์ส แอนด์ โค. ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ทุกวันนี้ 80% ของหุ้นในวอลล์ สตรีทมีราคาแพงเกินมูลค่าความเป็นจริงไปไกลแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนถึงภาวะฟองสบู่การเงินแตกเหมือนเมื่อปี 1929 และ 1999 สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ ราคาหุ้นร่วงทะลูด 89% และ 50% ตามลำดับ

แม้แต่ธนาคารแห่งชาติของสกอตแลนด์ยังทำนายว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังอยู่ในจุดเสี่ยงเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์เหมือนเมื่อปี 2008 นายแบงก์ทั้งหลายจึงกระซิบลูกค้าล้างพอร์ตเทขายหุ้นทุกตัว และเก็บเงินสดตุนให้เต็มกระเป๋า เพราะวิกฤติหนนี้ประตูหนีไฟเล็กนิดเดียว แม้แต่หุ้นดาวรุ่งมาแรงอย่าง “Apple” ก็จะร่วงรุ่งริ่งไม่เป็นท่า
ด้าน “เจมส์ เดล เดวิดสัน” กูรูด้านการลงทุน ผู้ก่อตั้งวารสารการเงิน “Strategic Investment” ตอกย้ำว่า จนถึงขณะนี้ มีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลักๆ 3 อย่าง ที่บ่งชี้ว่าถึงเวลาต้องเทขายหุ้นด่วนจี๋!! วิกฤติวอลล์สตรีทรอบใหม่กำลังจ่อรอเช็กบิลอยู่หน้าประตู โดยเจมส์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก 50% ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะดิ่งลง 40% ขณะที่อัตราการว่างงานในอเมริกาจะพุ่งสูงขึ้นอีก 3 เท่าตัว
ออกมาพูดตอนนี้คงไม่มีใครอยากจะเชื่อ เพราะตลาดวอลล์สตรีทกำลังอยู่ในภาวะกระทิง พุ่งขึ้นใกล้ถึงจุดทำนิวไฮ ดอลลาร์ก็แข็งโป๊กฉุดไม่อยู่ ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังบูม แต่ถ้าย้อนไปดูคำทำนายของ “เจมส์ เดล เดวิดสัน” คงต้องเสียวสันหลังวาบ เพราะเขาเคยเตือนถูกเป๊ะมาแล้วว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินใหญ่ในปี 1999 และ 2007 หลังการล่มสลายลงของสหภาพโซเวียต และความตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างกู่ไม่กลับของญี่ปุ่น ต่างกันก็แค่รอบนี้วิกฤตการณ์จะถาโถมเข้ามาอย่างตั้งตัวไม่ทัน!!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเงินดังๆของอเมริกาออกมาส่งเสียงเตือน เพราะมีเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชื่อดังมาแล้วอย่างต่อเนื่อง รวมถึง “มาร์ค สปิตซ์นาเกล” ผู้บริหารกองทุนมาร์ค เฟเบอร์ ที่เคยคาดการณ์ว่าโลกจะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจการเงินได้ถูกต้องในปี 2008 และสามารถทำกำไรมหาศาลจากพายุร้ายดังกล่าว ก็เคยเตือนว่า ตลาดหุ้นโลกจะต้องดิ่งร่วงอย่างแน่นอน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะโลกได้มาถึงจุดฟองสบู่ทางการเงินใกล้แตกเต็มที โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทอาจดิ่งร่วงกว่า 50%
แม้แต่นักลงทุนวีไอในตำนานของโลก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็แอบทยอยขายหุ้นทิ้งไปแล้วจำนวนมาก เพราะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์วิกฤติการเงินครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น!!
แมงเม่าตาดำๆอย่างพวกเราอย่ามัวแต่มองโลกสวย เพราะถึงเวลาเกิดวิกฤติจริง มันเผาเงินเราให้วอดวายอย่างกับไฟลามทุ่ง นักวิเคราะห์ชี้ทางรอดว่า ถ้าวิกฤติที่ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำเร็วที่สุดคือ รีบเทขายหุ้นทิ้งให้หมด แปรสภาพหุ้นให้เป็นเงิน หรือไม่ก็ยืนงง รอให้หุ้นดิ่งจนเป็นเศษเงินไร้ค่า...อยากเป็นเจ๊กตื่นไฟ หรือหมูไม่กลัวน้ำร้อน ก็ต้องเลือกกันเอาเอง.
มิสแซฟไฟร์

ไม่มีความคิดเห็น: