PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กสท.สรุปข้อปฏิบัติรายการทีวีใน 30 วันห้ามฉายเนื้อหาสร้างความแตกแยก

กสท.สรุปข้อปฏิบัติรายการทีวีใน 30 วันห้ามฉายเนื้อหาสร้างความแตกแยก

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 27 ตุลาคม 2559 เวลา 15:49 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
14
 
24
 
0
 
38
 
 กสท. สรุปข้อปฏิบัติรายการโทรทัศน์ ในช่วง 15-30 วัน ห้ามนำเสนอเนื้อหาสร้างความขัดแย้ง-แตกแยกในสังคม เน้นเผยแพร่ข้อมูลสร้างประโยชน์ต่อประเทศ ใช้ช่อง 11 เป็นแบบลดโทนสี หลัง 30 วัน เสนอข่าวได้ตามปกติ รายการเด็ก-ทั่วไปฉายได้ งดรายการตลก รายการเฉพาะฉายได้หลัง 100 วัน
PIC tvtv 27 10 59 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติในการประชุมนัดพิเศษครั้งที่ 3 เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการนำเสนอรายการทางโทรทัศน์ หลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ดังนี้
การดำเนินการตั้งแต่ 15-30 วัน
1.รูปแบบการนำเสนอรายการทางสถานีโทรทัศน์ ให้ระมัดระวังและตรวจสอบการนำเสนอเนื้อหา การวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแสดงถึงหรือกล่าวถึงความขัดแย้งในด้านต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม โดยให้สถานีพิจารณาการนำเสนออย่างรอบคอบ และขอให้สถานีมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาคุณภาพประชาชน โดยเฉพาะการปลูกฝังวินัย และความรับผิดชอบต่อสังคม การถ่ายทำ หรือเผยแพร่ข่าว ภาพกิจกรรม ที่เกี่ยวกับการแสดงความไว้อาลัย ควรพิจารณาให้มีความเหมาะสม และคัดเลือกภาพที่มีความรัดกุมและสำรวม
2.การกล่าวถึงผู้สนับสนุนสามารถทำได้ กรณีรายการสารคดีเฉลิมพระเกียรติ แต่ควรนำเสนอตอนท้ายของรายการ ใช้เป็นโลโก้ได้ รวมถึงการใช้ภาษา ถ้อยคำให้มีความเหมาะสม ส่วนการโฆษณาอื่น ๆ ให้กระทำได้โดยอยู่ภายใต้แนวทางตามมติ กสท. นัดพิเศษครั้งที่ 1 และ 2 ไปจน 30 วัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ผ่อนคลาย โดยมีการควบคุมเนื้อหาตามที่ควบคุมรายการไปอีก 7 วัน
3.การลดโทนสี ไม่ให้ฉูดฉาดจนเกินไป ไม่จำเป็นต้องเป็นขาวดำ ให้ใช้ช่อง 11 เป็นมาตรฐาน ให้สังเกตที่เป็นรายการปัจจุบัน ไม่ใช่สารคดี
การดำเนินการตั้งแต่ 30-100 วัน
1.ติดตามการถ่ายทอดสด และร่วมถ่ายทอดสดทุกครั้งที่มีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.)
2.ตั้งแต่วันที่ 31-37 สามารถนำรายการเด็ก รายการทั่วไป และรายการแนะนำเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ออกอากาศได้ โดยความควบคุมเนื้อหาพิเศษ ไม่ควรมีรายการตลก เฮฮา เน้นความรุนแรง (ตบตี) เรื่องทางเพศ ถ้อยคำหยาบคาย (คำไม่สุภาพด่ากัน) มีได้ตามบริบทนิดหน่อย แต่ไม่เน้นหรือไม่ย้ำ หรือไม่นานจนเกินไป
3.ตั้งแต่วันที่ 38-100 (อนุโลมให้เริ่มในวันที่ 19 พ.ย. 2559 ตั้งแต่เวลา 00.01 น.) สามารถนำรายการเด็ก รายการทั่วไป รายการแนะนำเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และ 18 ปี ได้ แต่ไม่ควรมีเรื่องของความรุนแรง (ตบตี) เรื่องทางเพศ ถ้อยคำหยาบคาย (คำไม่สุภาพ)
4.รายการประเภทเฉพาะ ควรออกหลัง 100 วันไปแล้ว 
5.หลัง 30 วัน สามารถออกสปอตโฆษณาได้ แต่ให้ควบคุมเหมือนกับเนื้อหาของรายการ ไปจนกว่าจะเลยไปอีก 7 วัน (อนุโลมให้เริ่มวัน 19 พ.ย. 2559 ตั้งแต่เวลา 00.01 น.)
6.การนำเสนอข่าวหลัง 30 วัน สามารถนำเสนอข่าวได้ตามปกติได้ทุกข่าว
7.การแต่งกายของพิธีกรผู้ดำเนินรายการ ควรแต่โทนขาวดำ โดยเน้นดำ รวมถึงผู้ร่วมรายการควรแต่งกายในโทนสีที่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป ระหว่าง 30-100 วัน แต่หากมีการบันทึกเทปไว้ล่วงหน้า ให้ขึ้นข้อความเพื่อบอกกล่าวแต่ผู้ชมให้ทราบว่า “รายการนี้บันทึกเทปไว้ก่อน เดือน ต.ค. 2559” หรือ “รายการนี้บันทึกเทปเมื่อวันที่ / เดือน / ปี” เป็นต้น ให้ขึ้นทุกเบรก เบรกละ 5-10 วินาที และใช้การลดค่าสีในการช่วยให้ดูไม่ฉูดฉาดจนเกินไป
8.ฉากของข่าวคุมโทนไว้อาลัยจนครบ 100 วัน
9.สรุปเรื่องการออกเสียงการอ่าน ชื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดังนี้ “พระ-บาด-สม-เด็ด-พระ-ปะ-ระ-มิน-ทะ-ระ-มะ-หา-พู-มิ-พน-อะ-ดุน-ยะ-เดด” ตามการอ่านที่ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) แจ้ง
ทั้งนี้ภายหลังการประชุม พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการ กสท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง การกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กรณี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เพิ่มเติม ครั้งที่ 4 โดยเห็นควรให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และผู้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการกระจายเสียงถือปฏิบัติเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ 
1.รูปแบบการนำเสนอรายการทางสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ให้ระมัดระวังและตรวจสอบการนำเสนอเนื้อหา การวิพากษ์ หรือการวิจารณ์ ซึ่งแสดงถึงหรือกล่าวถึงความขัดแย้งในด้านต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม โดยให้สถานีพิจารณาการนำเสนออย่างรอบคอบ ขอให้สถานีมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาคุณภาพประชาชน โดยเฉพาะปลูกฝังวินัย และความรับผิดชอบต่อสังคมการถ่ายทำ หรือเผยแพร่ภาพข่าว ภาพกิจกรรม ที่เกี่ยวกับการแสดงความไว้อาลัย ควรพิจารณาให้มีความเหมาะสม และคัดเลือกภาพที่มีความรัดกุมและสำรวม 
2.การกล่าวถึงผู้สนับสนุนสามารถกระทำได้ ดังนี้ กรณีรายการสารคดีเฉลิมพระเกียรติ หากจะกล่าวถึงผู้สนับสนุน ควรนำเสนอตอนท้ายของรายการ ซึ่งอาจใช้ตราสัญลักษณ์ (logo) ของผู้สนับสนุนได้ ทั้งนี้ ขอให้ปรับโทนสี ขนาด รวมถึงการใช้ภาษา ถ้อยคำให้มีความเหมาะสม กรณีรายการอื่น ๆ ที่มิใช่รายการสารคดีเฉลิมพระเกียรติ สามารถแสดงสัญลักษณ์ (logo) ของผู้สนับสนุนได้ ทั้งนี้ ขอให้ปรับโทนสี ขนาด รวมถึงการใช้ภาษา ถ้อยคำให้มีความเหมาะสม
การสนับสนุน หรือการโฆษณากรณีที่มีการแสดงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ และข้อความแสดงความไว้อาลัย การขึ้นข้อความเกี่ยวกับผู้ร่วมแสดงความไว้อาลัยให้ปรากฏเฉพาะชื่อของบริษัท ห้างร้าน หน่วยงาน คณะบุคคล หรือบุคคล และจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด 
การโฆษณาอื่น ๆ ให้กระทำได้โดยอยู่ภายใต้แนวทางตามมติ กสท. นัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 (ให้งดการเผยแพร่รายการที่แสดงถึงความรื่นเริงเป็นเวลา 30 วัน และขอให้คำนึงถึงความเหมาะสม) และนัดพิเศษ ครั้งที่ 2/2559 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 (การนำเสนอรายการ และการโฆษณาของสถานีจะต้องไม่เป็นการแสดงถึงการบันเทิงใจ การเล่นเต้นรำทั้งปวง การสนุกรื่นเริง ล่อแหลม รุนแรง ตลอดจนแสดงถึงกริยาที่ไม่สำรวม แสดงอารมณ์เกินกว่าสมควร ซึ่งเกินกว่าความเหมาะสมภายใต้บริบทของความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนชาวไทย ภาพ และสีที่ใช้ในการออกอากาศรายการของสถานีให้ปรับระดับของสีให้มีความเหมาะสมต่อการร่วมถวายความอาลัย)

ผลกระทบการ“ปลดระวาง” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Dai-ichi



TEPCO ยอมรับว่าการ decommissioning “ปลดระวาง” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Dai-ichi ที่เสียหายจากสึนามิเมื่อปี 2011 อาจต้องใช้เวลาหลายทศวรรษด้วยกัน ที่สำคัญต้องใช้เงินมหาศาล ถ้าการ ”กำจัด” กากกัมมันตรังสี (ฝังมันไว้นั่นแหละ) ทำได้ในเวลา 30 ปีจริง ต้องใช้งบประมาณมากถึง 3 พันล้านเหรียญต่อปี รวม ๆ กันแล้วการปลดระวางโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 100 พันล้านเหรียญ ข่าวร้ายกว่านั้นคือ เงินมากมายที่ใช้เพื่อปลดระวางโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ส่วนหนึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน เป็นเงินอุดหนุน “bailout” ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ายให้ TEPCO
ข่าวร้ายของวงการนิวเคลียร์ญี่ปุ่นอีกอย่างคือการปลดระวางโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Monju ซึ่งสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 1994 หรือ 22 ปีที่แล้ว แต่ผลิตไฟฟ้าได้จริง 1 ชั่วโมง (จริง ๆ) เป็นแค่การ “ทดลอง” ผลิตไฟฟ้า หลังจากนั้นก็เกิดการรั่วไหลของโซเดียม และเกิด incidents ต่าง ๆ มากมาย เมื่อ 20 กว่าปีก่อน Monju (ซึ่งตั้งชื่อตามพระโพธิสัตว์ “มัญชุศรี”) ได้ชื่อว่าเป็นเตาปฏิกรณ์ยุคใหม่ “fast-breeder reactor” “Gen IV” ที่นอกจากผลิตไฟฟ้าได้ ยังสามารถ recycle แท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว สกัดเป็นพลูโตเนียมเพื่อผสมกับยูเรเนียมเป็นเชื้อเพลิงใหม่ได้ (MOX fuels) เรียกว่าต้องการลบคำครหาว่าพลังงานนิวเคลียร์มี “กากพิษ” ที่กำจัดและนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้
แต่มันเป็นแค่ “ความเพ้อฝัน” เท่านั้น เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจ decommission โรงงไฟฟ้านิวเคลียร์ Monju มูลค่า 9.5 พันล้านเหรียญเสียแล้ว เพราะไม่คุ้มที่จะเสียค่าบำรุงรักษาต่อไปปีละเกือบ 200 ล้านเหรียญ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าบรรดา “weapon-grade plutonium” อีก 48 ตันที่ผลิตได้ จะเอาไปทำอะไร และจะหลุดไปเป็นหัวรบนิวเคลียร์หรือไม่ Superphénix ซึ่งเป็นต้นแบบราคาแพงของ fast-breeder reactor และเป็น Generation IV เหมือนกัน ก็กำลังจะตาย ผลิตไฟฟ้าได้จริงไม่ถึง 10% ของกำลังผลิต (‘Energy Unavailability Factor’ = 90.8% ตามข้อมูลของ IAEA) หลายสิบปีมานี้ พลังงานนิวเคลียร์แทบไม่มีการขยายตัวเลยทั่วโลก ไม่เฉพาะญี่ปุ่น
เรียกว่า “ต้นทุนจริง” ของพลังงานนิวเคลียร์ มันไม่ competitive มันแข่งขันไม่ได้กับพลังงานจากเชื้อเพลิงอื่นที่ถูกลงเรื่อย ๆ แถมยังสร้างภาระให้ลูกหลานเหลนโหลน ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายหากเกิดอุบติเหคุร้าย กรณีฟูกูชิมะนั้น บรรดา “nuclear refugees” กว่าแสนคนยังกลับบ้านไม่ได้ แม้ผ่านไปห้าปีแล้ว ครอบครัวแตกสลาย แต่คนไทย/หน่วยงานไทยบางคนอยากได้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ งงอะ #วันนี้เอาแค่เรื่องในญี่ปุ่นก่อนนะ

สดับปกรณ์

สดับปกรณ์
ภายหลังที่ตระเตรียมพระบรมศพหรือพระศพเจ้านายเรียบร้อยแล้ว จึงมาถึงขั้นตอนในส่วนของพิธีสงฆ์ ซึ่งจะสวดสดับปกรณ์ หรือสวดพระอภิธรรมทำนองหลวง 7 คัมภีร์ อันเป็นบทสวดที่ใช้ในพระราชพิธีของราชสำนัก เพื่อเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่ดวงพระวิญญาณเจ้านายที่ล่วงลับ
ความหมายของคำสดับปกรณ์ที่เป็นคำกริยา ยังสัมพันธ์กับพิธีกรรมของราษฎรสามัญชนที่กระทำคือ บังสุกุล ซึ่งเป็นการบำเพ็ญกุศลถวายแก่ผู้เสียชีวิต และมีการทอดผ้าถวายพระภิกษุสงฆ์เรียกว่า ผ้าบังสุกุล แต่การเรียกแตกต่างกันระหว่างพิธีของเจ้านายและพิธีของราษฎรทั้งที่สาระของพิธีมีลักษณะเดียวกันไม่ถูกต้อง ตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในสาส์นสมเด็จถึงที่มาของการบังสุกุลและสดับปรณ์ ไม่เพียงเท่านั้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ก็ทรงมีพระวินิจฉัยถึงที่มาและอักขรวิธีของคำสดับปกรณ์ไว้ในสาส์นสมเด็จด้วยเช่นกัน
จึงสามารถสรุปได้ว่า ด้วยเหตุจากที่มาของคำทั้งสองต่างกัน คือ "บังสุกุล" หมายถึง การบำเพ็ญกุศลด้วยการชักผ้าหรือทอดผ้าบังสุกุล ส่วน "สดับปกรณ์" หมายถึง การสวดพระธรรมเจ็ดคัมภีร์เพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับ โดยอาศัยเหตุการณ์ตามพุทธประวัติเป็นการบำเพ็ญกุศล แต่กระนั้นก็ยังมีความนิยมในการเรียกพิธี ทั้งการทอดผ้า และการสวดพระอภิธรรมของเจ้านายว่า "สดับปกรณ์"
นอกจากนี้ ยังมีการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 15 วัน 50 วัน และ 100 วัน พิธีกรรมจะปฏิบัติเหมือนกันคือ มีการสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และสดับปกรณ์ การบำเพ็ญพระราชกุศลตามระยะเวลาดังกล่าว เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลต่อไปทุก 7 วันจนพระราชทานเพลิง แบบแผนในลักษณะเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีกงเต๊กของจีนและญวน
การบำเพ็ญพระราชกุศลที่ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีกงเต๊กของจีนและญวน ในจำนวนรอบวันดังกล่าวมีคำเรียกในภาษามคธ ดังนี้
การพระราชกุศล 7 วัน เรียกว่า การพระราชกุศลสัตตมวาร (สัตตม แปลว่า ที่ 7)
การพระราชกุศล 15 วัน เรียกว่า การพระราชกุศลปัณรสมวาร (ปัณรสม แปลว่า ที่ 15)
การพระราชกุศล 50 วัน เรียกว่า การพระราชกุศลปัญญาสมวาร (ปัญญาสม แปลว่า ที่ 50)
การพระราชกุศล 100 วัน เรียกว่า การพระราชกุศลสตมวาร (สตม แปลว่า ที่ 100)
เมื่อบำเพ็ญพระราชกุศลตามจำนวน 100 วันแล้ว เรียกว่า "การปิดพระศพ" ซึ่งไม่ต้องบำเพ็ญพระราชกุศลทุกวัน โดยหลังจากนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำทุกๆ 7 วันหรือไม่ ก็แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
(ที่มาเนื้อหา : หนังสือ "ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย" โดย นนทพร อยู่มั่งมี และธัชชัย ยอดพิชัย สำนักพิมพ์มติชน
ที่มาพระฉายาลักษณ์ : สำนักพระราชวัง)

บช.น. ปิดการจราจรเต็มรูปแบบรอบพระบรมมหาราชวัง



บช.น. ปิดการจราจรเต็มรูปแบบรอบพระบรมมหาราชวัง
เตรียมความพร้อมด้านการจราจร วันที่ 29-30 ต.ค.2559
วันนี้ 27 ต.ค. 59 เวลา 08.30 น. พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รรท.รอง.ผบช.น. ,พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รรท.ผบก.จร ได้ประชุมเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและรับมือสถานการณ์ด้านการจราจรในวันที่ 29-30 ต.ค.59 เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะเข้ามายังพื้นทีท้องสนามหลวง เนื่องจากทางสำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพ ในวันที่ 29 - 30 ต.ค.เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์จะมีประชาชนเดินทางมาเป็นจำนวนมากอาจจะส่งกระทบต่อการจราจร ดังนั้นทาง บช.น.จะจึงปรับแผนการจัดการจราจรใหม่ โดยจะเริ่มปิดการจราจรตั้งแต่เวลา 07.00น.เป็นต้นไป และจะขยายพื้นที่การปิดการจราจรวงรอบใหญ่ขึ้น แต่จะยกเว้นให้สำหรับรถขนส่งมวลชนสาธารณะ รถทัวร์ รถชัตเทิลบัส (shuttle bus) ที่จะเข้ามารับ-ส่งประชาชนเท่านั้น ซึ่งการปิดการจราจรในรูปแบบดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจะปิดการจราจรต่อเนื่องจนถึงเวลาที่ประชาชนเดินทางกลับบ้านเบาบางลงก่อนจึงจะเปิดการจราจรตามปกติในช่วงเวลากลางคืน
นอกจากนี้ เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.จิรพัฒน์ฯ ยังได้เรียก รอง ผกก.จร. และ สว.จร. สน.บุปผาราม สน.บางกอกใหญ่ ,สน.พระราชวัง และสน. สำราญราษฏร์ ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่โดยรอบพระบรมหาราชวัง สะพานพุทธฯ และสะพานพระปกเกล้า มาประชุมเพื่อหารือและกำหนดแนวทางการจัดการจราจรบริเวณพื้นที่โดยรอบ เนื่องจากการปิดการจราจรชั่วคราวรอบพระบรมมหาราชวังและมีการประชาสัมพันธ์ให้เลี่ยงการใช้สะพานพระปิ่นเกล้า จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสในการใช้รถใช้ถนนของประชาชนมาใช้สะพานพุทธยอดฟ้าจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดปัญหาจราจร จึงได้ประชุมวางแผนการจัดการจราจรใน สน.พื้นที่ดังกล่าวเพื่อรองรับประมาณรถที่เพิ่มขึ้นและไม่ให้เกิดปัญหาการจราจร

จึงขอประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนที่จะมาร่วมถวายบังคมพระบรมศพ ขอความร่วมมือให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตามที่ทางภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดไว้บริการประชาชน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเส้นทางได้ที่หมายเลข 1197

เจ้าชายทะกะฮิโตะ สิ้นพระชนม์

สำนักพระราชวังญี่ปุ่นประกาศ เจ้าชายทะกะฮิโตะ พระอนุชาคนเล็กของจักรพรรดิโชวะ สิ้นพระชนม์แล้วด้วยพระชนมายุ 100 พรรษา ถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชนมายุยืนยาวที่สุดในราชวงศ์ญี่ปุ่น

เจ้าชายทะกะฮิโตะ เจ้ามิกะซะ (ญี่ปุ่น: 三笠宮崇仁親王 มิกะซะ-โนะ-มิยะ ทะกะฮิโตะ ชินโน ?) (2 ธันวาคม พ.ศ. 2458-) เป็นพระโอรสองค์สุดท้องใน สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช และ สมเด็จพระจักรพรรดินีเทเม และเป็นพระอนุชาในจักรพรรดิโชวะ และเป็นพระปิตุลาพระองค์เล็กและเพียงพระองค์เดียวที่ยังมีพระชนม์ชีพของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงคิกุโกะแห่งทะกะมะสึ เจ้ามิกะซะถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่พระชนมายุยืนยาวที่สุด ในราชวงศ์ญี่ปุ่น

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผลการหารือระหว่างคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขของไทย กับ กลุ่มมาราปาตานี ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์วันนี้

ผลการหารือระหว่างคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขของไทย กับ กลุ่มมาราปาตานี ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์วันนี้ สองฝ่ายเห็นด้วยที่จะเริ่มต้นหารือถึงแนวทางการสร้างพื้นที่ปลอดภัย โดยคณะกรรมการการทางเทคนิคจะพูดคุยกัน 3 วันที่มาเลเซีย
นายอัศโตรา โต๊ะราแม ผู้สื่อข่าวอาวุโส Astora Jabat รายงานจากมาเลเซีย ระบุแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ของมาเลเซีย ระบุว่า ปาร์ตี้เอ คือ รัฐไทย และปาร์ตีบี คือ มาราปาตานี ได้ตกตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ปลอดภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยทั้งสองฝ่ายจะคุยรายละเอียดในการจัดตั้งและการบริหารจัดการคณะทำงานพิเศษเป็นเวลา 3 วัน เริ่มจากวันพรุ่งนี้ ที่ มาเลเซีย
ทางมาราปาตานี ได้พูดถึงกรณีนักศึกษามลายูที่ถูกจับกุมที่กรุงเทพและการตรวจค้นระเบิดแต่พบน้ำบูดู ทางมาราปาตานี ขอให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังเวลาปฏิบัติการและให้ความเป็นธรรมแก่นักศึกษาเหล่านั้นด้วย
Today both sides agreed to commence discussion on Safety zones starting from tomorrow for 3 days.

"บิ๊กตู่"สั่งตรวจสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน สอบให้ชัดปท.ไหนร่วมมือจริง หลังเจอปัญหาช่องโหว่พวกผิดอาญาม.112หลุดรอดคดี

 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยากให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจก่อนว่า มาตรา 112 รัฐบาลและประชาชนทุกคนส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นกฎหมายเหมือนกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพียงแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยที่จะลงมาฟ้องร้องใคร ฉะนั้นเราต้องดูแลในสิ่งที่เรารักและเคารพ และเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจ ไม่ใช่เป็นความต้องการของพระองค์ท่าน แต่เราต้องดูแล และที่ผ่านมาเวลาเกิดเหตุในขั้นสุดท้าย ท่านจะลงพระราชทานอภัยโทษเสมอ ขณะที่กติกาแบบนี้เราเองไปบังคับเขาก็ลำบาก

“ดังนั้นการติดตามตัว นายกฯจึงสั่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปรวบรวมข้อมูลมาว่า เรามีพันธสัญญาข้อกฎหมายเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไหนบ้าง แล้วที่ผ่านมาจากข้อมูลมีประเทศไหนให้ความร่วมมือในการส่งตัวและแลกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้บ้าง เพื่อเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการพิจารณาในอนาคต” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

มีชัย จ่อตั้งกฎเหล็กสกัดคนนอกบงการพรรค เปิดช่องส.ส.ร้องศาลหากโดนพรรคบีบโหวต

“มีชัย” ร่างกม.หวังตั้งพรรคการเมืองง่ายขึ้น ยัน ไม่คิดรีเซตพรรคเกรงยุ่งยาก จ่อตั้งกฎเหล็กสกัดคนนอกบงการ เปิดช่องส.ส.ร้องศาลให้คุ้มครองได้หากโดนบีบโหวต
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 ตุลาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.เป็นประธานการประชุม โดยเชิญตัวแทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ร่วมหารือถึงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ทั้งนี้ นายมีชัย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า เรื่องวิธีการจัดตั้งพรรคการเมืองจากร่างที่กกต.ส่งมาให้จะทำเป็นสองขยัก คือ จดทะเบียนจองก่อน แล้วค่อยรวบรวมตั้งพรรค แต่กรธ.จะให้ทำเป็นขยักเดียวได้คือ มีสมาชิก 500 คนก็ทำได้เลย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองอย่างแท้จริง เมื่อรวบรวม 500 คนแล้ว แต่ละคนต้องจ่ายเงินเป็นทุนประเดิมของพรรคการเมืองในการทำกิจกรรม และยังเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของพรรคด้วย ส่วนค่าสมาชิกพรรคก็ให้เก็บไปตามปกติ เรื่องเงินอุดหนุนพรรคจาก กกต.จะยังมีอยู่ แต่จะเอาเงินไปทำอะไร ก็ต้องอยู่ในกรอบ ถ้ามีการใช้เงินก็ต้องรายงานให้ กกต.ทราบ หากนำเงินไปใช้แบบผิดๆ หรือ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว กกต.ก็สามารถทักท้วงได้ การทำแบบนี้จะทำให้คำนวณเรื่องเงินของพรรคได้ง่ายขึ้น เพราะทุกอย่างต้องอิงกับสมาชิกพรรค อย่างไรก็ตาม ถ้าหากตรวจพบมีการใช้เงินในทางที่ไม่ถูกต้องคณะกรรมการบริหารพรรคก็จะพ้นจากตำแหน่ง และอาจถูกตัดสิทธิ์ตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้
นายมีชัย กล่าวต่อว่า พรรคการเมืองควรจะมีสมาชิกในแต่ละจังหวัด และอาจจะต้องตั้งสาขาพรรคอย่างน้อย 4 สาขา แต่หากจังหวัดไหน มีสมาชิกมากกว่าเกณฑ์ที่เรากำหนด เช่น 200 คน ก็ต้องตั้งตัวแทนพรรคไว้ที่จังหวัดนั้น ๆ เพื่อเป็นตัวแทนเลือกผู้บริหารหรือผู้สมัครส.ส. ส่วนประเด็นการเซตซีโร่ หรือ รีเซตผู้บริหารพรรคการเมือง ยังไม่ได้พูดกัน ว่าจะไปรีเซตอะไรเขา ต้องดูลักษณะที่มาของผู้บริหารพรรคตามกฎหมายใหม่นี้เสียก่อน เช่น หากมีข้อกำหนดเจาะจงว่า ประกอบด้วยใครบ้าง หากเขายังขาด อาจต้องไปเลือกมาเพิ่ม โดยคุณสมบัติขั้นพื้นฐานอย่างน้อยที่สุด คือ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งได้ ไม่มีลักษณะต้องห้าม เพราะผู้บริหารพรรคต้องคลีนพอสมควร แต่ตรงนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่ง กรธ.จะพยายามไม่ไปรีเซ็ตอะไรใคร เพราะยุ่งยากด้วยกันทั้งปวง หากผู้บริหารพรรคมีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่ง เช่น หัวหน้าพรรคเขาดีอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้ว่า ไม่ต้องไปบังคับหากเขาจะทำใหม่ก็แล้วแต่เขา ในชั้นนี้เรายังไม่ได้นึกว่าต้องเขียนบทเฉพาะกาลหรือทำอะไรกับประเด็นนี้
เมื่อถามถึงเรื่องการลาออกจากพรรคการเมือง นายมีชัย กล่าวว่า ถ้าสมาชิกพรรคการเมืองสามารถจะลาออกได้หากต้องการจะย้ายไปสมัครอยู่กับพรรคการเมืองอื่น ถ้าเขามีคุณสมบัติตามที่พรรคนั้นๆต้องการ ขอยืนยันว่า กรธ.ได้เขียนหลักการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นๆเข้ามาบงการกับการทำงานของพรรคการเมืองแล้ว ส่วนจะดูอย่างไรว่า จะเป็นการบงการพรรคนั้นก็ไปให้ศาลเป็นผู้พิจารณา ส่วนเรื่องการยุบพรรคจะมี 2 กรณีคือ 1.สิ้นสภาพพรรคการเมือง และ 2. ถูกยุบพรรคการเมือง การถูกยุบนั้น ก็จะเป็นเฉพาะกรณีที่พรรคนั้นมีนโยบายที่ต่อต้านต่อระบอบการปกครองหรือกรณีที่ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ ส่วนความผิดเรื่องการบงการพรรคนั้นก็เป็นความผิดเฉพาะตัวซึ่งสามารถลามไปถึงความผิดของผู้บริหารพรรคได้ด้วยหากผู้บริหารพรรคการเมืองทำตามคำบงการนั้น
นายมีชัย ยังกล่าวถึงการกำหนดหลักเกณฑ์เสรีภาพในการออกเสียงของส.ส.ว่า ข้อบังคับและมติของพรรคจะต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของส.ส. แต่ไม่ได้เขียนเจาะจงเพราะไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพรรคการเมืองยังสามารถมีมติขับส.ส.ออกจากพรรคได้ตามกฎเกณฑ์ของแต่ละพรรค ส่วนการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีจะถือว่า เป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของส.ส.หรือไม่นั้นในรัฐธรรมนูญไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ดังนั้น หากเกิดกรณีที่ว่าพรรคการเมืองมีมติแต่ส.ส.ไม่ปฏิบัติตาม พรรคการเมืองก็ต้องไปขับไล่กันเอง เพราะยังมีอำนาจตามสมควร แต่ถ้าส.ส.คิดว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเห็นว่า เป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ก็สามารถไปร้องต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราวและเพิกถอนได้ โดยตนจำไม่ได้ว่า เป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองสูงสุด หากศาลวินิจฉัยว่าขัดต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ข้อบังคับนั้นก็จะตกไป

"น้องตั๊น จิตภัสร์" มาสนามหลวง ให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ

"น้องตั๊น จิตภัสร์" มาสนามหลวง ให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ พร้อมมอบอาหารและของใช้จำเป็น ให้หน่วยแพทย์ ทบ.-ตำรวจ เพื่อดูแลประชาชน ที่มาถวายความอาลัย ยันจะยึดแนวทางในหลวง หวังเป็นนักการเมือง ที่ดี
"ตั๊น จิตภัสร์ กฤดากร " มอบเครื่องดื่มเกลือแร่ ผ้าขนหนูเย็น และอาหารแห้ง ให้กับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โรงพยาบาลตำรวจ และ ศูนย์ปฏิบัติการร่วมการแพทย์ ของ กองทัพบก เมื่อเย็นวันจันทร์24ตค.59
น้องตั๊น บอกว่า ยึดแนวทางของ ในหลวง ร.9 เป็นแบบอย่าง เพื่อจะเป็นนักการเมืองที่ดีทำงานเพื่อประชาชน ทำงานเพื่อประเทศชาติ และขอห้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน โดยเฉพาะหมอและพยาบาล เพราะอากาศร้อนจัด ประชาชนเป็นลมจำนวนมาก รวมทั้ง นับถือในน้ำใจของจิตอาสา ที่ให้ความช่วยเหลือ ปชช. ทั้งแจกจ่ายอาหาร เครื่องดื่ม ยาดม ผ้าเย็น ช่วยกันเก็บขยะโดยรอบให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สะท้อนภาพความรัก ความสามัคคีของคนไทย

"Steven Seagal " พบ นายกฯ"บิ๊กตู่"เตรียมมาถ่ายภาพยนตร์ในไทย ปราบค้ามนุษย์"Attrition Siam"

"Steven Seagal " ดาราดัง Hollywood และ ผู้กำกับ ผู้สร้าง ภาพยนตร์ พบ นายกฯ"บิ๊กตู่" ที่ทำเนียบฯ ในโอกาส มาร่วมถวายความอาลัย "ในหลวง ร.9" เสียใจกับคนไทย ที่สูญเสีย "พระราชาที่ยิ่งใหญ่"และ เตรียมมาถ่ายภาพยนตร์ในไทย ปราบค้ามนุษย์"Attrition Siam" สะท้อนสิ่งดีๆของไทย/ นายกฯยันไท ปราบค้ามนุษย์เต็มที่ จนได้ปรับระดับ
Seagal แสดงความเสียใจกับคนไทย ต่อการสูญเสีย พระราชาที่ยิ่งใหญ่ เผยประทับใจ ในหลวง ที่ทำงานเพือปชช.คนไทย มาตลอด ช่วยเหลือชาวนา ทรงเป็นนักประดิษฐ์ หลายอย่างเพื่อมาช่วยเหลือประชาชน
ทั้งนี้ เขาอ่านหนังสือ และศึกษาเริ่อง ในหลวงของไทย และสนใจเรื่องประเทศไทย สนใจมวยไทย และพยายามเรียนพูดภาษาไทย
ส่วนเรื่องการถ่วยทำภาพยนตร์ในไทย นั้น คือ เรื่อง"Attrition Siam" เป็น หนังแอคชั่น ที่ตัวเขาจะแสดงเอง กำกับเอง เนิ้อหาจากเรื่องจริง เกี่ยวกับการปราบปราม ขบวนการค้ามนุษย์ ในไทย ที่จะสะท้อน ความสวยงาม ของประเทศไทย วัฒนธรรมที่ดี และ มวยไทย ที่ตนเองสนใจ
ทั้งนี้ Seagal ได้มีความคิดที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ ตอนที่ไทย ตกเป็นข่าว เรื่อง ค้ามนุษย์ โดน Tip report ระดับTier 3 จึงสนใจ และตัองการสร้างหนัง ที่พระเอก มาเป็นคนปราบขบวนการค้ามนุษยฺ โดยร่วมกับ จนท. ไทย ทหาร ตำรวจ
Seagal เผยด้วยว่า นายกฯ ฝากช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดี ให้ประเทศไทยด้วย ขอให้เข้าใจประเทศไทย ที่พยายาม ปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ อย่างเต็มที่ จนตอนนี้ ทางสหรัฐฯ ก็ยกระดับ จาก Tier3 เป็น Tier2 Watchlist แล้ว
โดยทางไทย จะอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำให้ โดยจะไปถ่ายทำในหลายจังหวัด เช่นเชียงใหม่ ใต้ และกทม.
ทั้งนี้ Seagal หวังว่า ภาพยนตร์ เริ่องนี้ จะติด Box office โดยจะมี นักแสดง แอคชั่นจากจีน และนักมวยไทย ร่วมแสดงด้วย

บิ๊กป้อม ร้อนใจ แจง ไม่เกี่ยวข้องกับ การตั้งพรรค"อธิปไตยปวงชนชาวไทย"



บิ๊กป้อม ร้อนใจ แจง ไม่เกี่ยวข้องกับ การตั้งพรรค"อธิปไตยปวงชนชาวไทย" ที่มีการแถลงข่าว ที่นครราชสีมา เมื่อวาน ยัน ไม่รู้จักทั้ง2คน แต่มีการเอาชื่อรองแม่ทัพ2 มาอ้างว่า เป็นคนของผม. วอนอย่าเอามาโยงกับผม ยันผมและ นายกฯไม่คิดตั้งพรรค เล่นการเมือง
ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังประชุม ครม. ไป1 ชม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางออกจากทำเนียบฯ เพื่อไปรับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พลเอกประวิตร กล่าวถึง กรณีมีการแถลงข่าวการตั้งพรรค "อธิปไตยปวงชนชาวไทย" ที่ จ.นครราชสีมา โดยมีนายสมาน ศรีงาม นายประภาส โงกสูงเนิน อ้างว่า พลโท ธรากฤต ทับทองสิทธิ์ รองผอ.รมน. ภาค2 เป็นตัวแทนพล.อ.ประวิตร ร่วมตั้งพรรคทหาร นั้น
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ผมไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้จัก 2 คนนี้ จะเอาชื่อ รอง ผอ.รมน.ภาค 2ไปอ้างว่าเป็นตัวแทนผม อย่าเอามาโยงกับผม ยันผม กับนายกฯ ไม่เคยคิดจะลงเล่นการเมือง หรือตั้งพรรคอยู่แล้ว ขออย่าโยง

มภ.4ลงพื้นที่ให้กำลังใจปชช.

บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ แม่ทัพภาค4 พร้อม ผู้ว่าฯปัตตานี นายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี ตรวจตลาดโต้รุ่ง พบปะให้กำลังใจปชช.หลังระเบิดวานนี้
ถือเป็นเหตุใหญ่ เหตุแรก ในยุค บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ เหตุระเบิด ที่ทำให้ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ที่ตลาดโต้รุ่ง เมืองปัตตานี
เช้านี้ พลโทปิยวัฒน์ พร้อม นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายพิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์ นายกเทศมนตรี เมืองปัตตานี ตรวจพื้นที่ที่เกิดเหตุระเบิด บริเวณตลาดโต้รุ่ง เมืองปัตตานี พร้อมได้พบปะให้กำลังใจประชาชน ผู้ประกอบการในบริเวณใกล้เคียง

'บิ๊กโด่ง' เสียใจ ระเบิดปัตตานี เผย เพิ่งถก"การข่าว"กับ'ผบ.ทบ.-แม่ทัพ4'ก่อนเกิดเหตุระเบิด

'บิ๊กโด่ง' เสียใจ ระเบิดปัตตานี เผย เพิ่งถก"การข่าว"กับ'ผบ.ทบ.-แม่ทัพ4'ก่อนเกิดเหตุระเบิด โต้รุ่ง ปัตตานี แค่ 3วัน กำชับดูแลชุมชน ถนนสายหลัก เผยเตรียมปรับการข่าว และเฝ้าระวังครบรอบ 12ปี ตากใบ ชี้ ครม.ส่วนหน้า ทำงานในพื้นที่ต่อเนื่อง
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสียใจ เหตุระเบิดโต้รุ่ง เมือง ปัตตานี เมื่อคืนนี้ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย
เผย ก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน ตนเองได้พูดคุยกับ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค4 ในการรักษาความปลอดภัย เพราะถือเป็นเรื่องหลัก เพราะถ้าพื้นที่ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง จะทำให้การพัฒนาและเรื่องอื่นๆตามเข้าไปได้
โดยเราต้องดูแลชุมชน ถนนสายหลัก ไม่ให้เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นที่กว้าง ชี้การข่าวก็มีการติดตามอยู่ และจะต้องมีการปรับแนวทางทำงาน การข่าว การปรับกำลัง เพราะต้องกลับมาใช้ทหารของกองทัพภาค4 เอง กำลังทหารพราน และอาสาสมัครเป็นหลัก
ส่วนจะโยงกับครบรอบ 12 ปี เหตุการณ์ตากใบปี2547หรือไม่นั้น เราก็ระวังและแจ้งล่วงหน้าด้านการข่าวเสมอ
ส่วนครม.ส่วนหน้า นั้น ก็ทำงานกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา แม้คณะทำงานหลายคนจะมีภารกิจร่วมพระราชพิธีสำคัญ ในพระบรมมหาราชวัง แต่ก็ลงไปพื้นที่ติดตามงานอย่างต่อเนื่อง
โดย 26-28 นี้ จะมีประชุมประสานและนัดหมายกับกลุ่มงานกระทรวงต่างๆ เพื่อเตรียมแผนงานและโครงการให้ ครม.ส่วนหน้า รับทราบ

ปรับรูปแบบ นายกฯแถลงข่าว

ปรับรูปแบบ นายกฯแถลงข่าว
การแถลงข่าว หลังประชุม ครม. ในช่วงนี้ นายกฯ จะชี้แจง การราชพิธีด้านต่างๆ ความเป็นห่วงต่างๆ การปรับแผนดูแลประชาชน และ งานของรัฐบาล แต่ขอ อย่าถาม แต่ให้นักข่าวส่งคำถามให้ทีมงานก่อนว่า อยากรู้เรื่องอะไร ก็จะตอบแต่ละประเด็นตามที่สื่อแจ้งมา เพื่อความเรียบร้อย และให้เหมาะสมกับบรรยากาศ ในเวลานี้..,,..ส่วนผลประชุม ครม. ทีมโฆษกรัฐบาล จะแถลงเอง
โดยก่อนหน้านี้ นายกฯ ขอสื้อ อย่าถาใเรื่องการเมือง

ทวิตเตอร์ "ประยุทธ์" ปลอม....นายกฯสั่งตรวจสอบแล้ว



ทวิตเตอร์ "ประยุทธ์" ปลอม....นายกฯสั่งตรวจสอบแล้ว
นายกฯ ยัน ไม่เคยมีทวิตเตอร์ หรือเพจ แต่มีคนใช้ชื่อ ไม่รู้หวังอะไร ให้ไปตรวจสอบดูแล้ว ชี้คล้ายๆการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อไม่สร้างปัญหา อาเซี่ยน ไม่ทำขัดแย้ง หลัง ทวิตเตอร์ Prayut Chan-O-Cha ทวิตเป็นภาษาอังกฤษ วิจารณ์ "นาจิบ ราซัค" นายกฯมาเลเซีย เผยตนเองกับนายกฯ มาเลฯสนิทสนมคุยกันตลอด ไม่มีปัญหาอะไร เพราะตนเองไม่แทรกแซงกิจการภายในเพื่อนบ้าน อยู่ มีแต่ความร่วมมือ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวถึงกรณีมีผู้แอบอ้างชื่อนายกฯในทวิตเตอร์กล่าวหาผู้นำประเทศบ้าน ว่า ยืนยันว่า ไม่เคยมีเว็บเพจเป็นของตัวเอง และที่มีชื่อตนนั้นต้องไปดูว่าเจตนารมณ์เขาทำเพื่ออะไร เท่าที่ตรวจสอบมีหลายครั้งที่ออกมาทำนองนี้ และต่างประเทศก็มีแบบนี้ อาจจะไม่ใช่ของผมคนเดียว แม้กระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน แสดงว่าเป็นการเอาเยี่ยงอย่ามาหรือเปล่าไม่แน่ใจ ซึ่งผมกับทางนายกฯประเทศมาเลเซีย เป็นเพื่อนสนิทกันเป็นผู้นำประเทศเหมือนกัน
ฉะนั้นเรื่องใดก็ตามที่เป็นกิจการภายในของแต่ประเทศ ซึ่งอาเซียนตกลงกันแล้ว เรื่องใดที่เป็นเรื่องภายในประเทศก็แก้ปัญหากันไป แต่เรื่องใดที่สร้างสรรค์ก็เป็นความร่วมมือระหว่างอาเซียน ขอแยกแยะให้ออก
"ขอขอบคุณคนที่หวังดีกับรัฐบาลและผม อะไรก็แล้วแต่ผมถือว่าหวังดี แต่ขอให้มองสองด้าน ถ้าเราทำมากเกินไป ย่อมมีคนไม่ชอบต้องมีสองอย่างเสมอ
ขอให้เข้าใจต้องทำอย่างไรให้คนทั้งประเทศมีเหตุผลในการดำเนินชีวิต ต่อไปโดยที่ประเทศชาติจะไม่มีความขัดแย้ง ไม่แบ่งสีแบ่งพวกอะไรอีกแล้ว ต้องไม่มีอีก ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องทำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงอยู่กับเรามาตลอด พระองค์ท่านทรงไม่มุ่งหวังให้ประชาชนขัดแย้งต่อไป” นายกฯ กล่าว

จับตา“นายกฯ ประยุทธ์”ยุคเปลี่ยนผ่าน “ป๋าเปรม”กลางมรสุมข่าวลือ บทบาท“บิ๊กเจี๊ยบ”บทบาทกองทัพนำปกป้องสถาบัน

ทันทีที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคต เมื่อเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2559
บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ถูกจับตาเขม็งว่าจะประคองสถานการณ์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านประเทศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเสียอีกนี้ เช่นไร
กล่าวกันว่า เพราะช่วงนี้เป็นรัฐบาลทหารที่มาจากการรัฐประหาร และยังคงมีการใช้กฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะมีนายกฯ ทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นนายทหารเสือราชินี ที่ถวายงานใกล้ชิดทุกพระองค์ และมีความใกล้ชิดกับบุคคลแวดล้อมสถาบัน จึงทำให้สถานการณ์ไม่ก้าวไปถึงขั้นที่ใครๆ หวาดหวั่น
แต่กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล คสช. และกองทัพ ภายใต้ร่มเงาของ คสช. ก็ถูกจ้องมองว่าจะมีจุดยืนเช่นไร ท่ามกลางกระแสข่าวลือต่างๆ นานา ทั้งแบบที่เป็นเชิงบวกและเชิงลบต่อ คสช. และเชื่อมโยงกับบุคคลทางการเมือง
ประกอบกับข้อมูลการข่าว และการประเมินสถานการณ์ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. เองก็ต้องไม่ประมาท
นั่นเป็นที่มาที่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ที่สวมหมวก ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย สั่งเพิ่มระดับดูแลความสงบเรียบร้อยทันที
พร้อมๆ กับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งตั้ง “ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์” หรือ ศตส. ขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามสถานการณ์ โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (ศปก.นรม.) เป็นแม่ข่ายหลัก หากต้องมีการติดต่อสื่อสารประชุมทางไกลจากทั่วประเทศ
fullsizerender-1
ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะเป็นแค่การให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร มาจัดระเบียบ มาดูแลความสงบเรียบร้อย ในช่วงที่ประชาชนมารับเสด็จตั้งแต่วันอัญเชิญพระบรมศพ เรื่อยมา จนถึงการถวายความอาลัยที่พระบรมมหาราชวัง ที่มีประชาชนมาต่อคิวเข้าแถวลงนาม และมาถวายดอกไม้ที่ข้างกำแพงวังวันละจำนวนมาก เท่านั้น
แต่ทว่า การดูแลความสงบเรียบร้อยของ คสช. และรัฐบาล ไม่ใช่แค่นั้น แต่หมายรวมถึงความสงบเรียบร้อยทั่วประเทศ
โดยเฉพาะการปล่อยข่าวที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล สับสน รวมถึงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ ที่อาจนำมาซึ่งการปลุกระดม ปลุกปั่นยั่วยุ
นั่นจึงทำให้ คำสั่งของ คสช. ระบุให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ทั่วประเทศ ทุกกองทัพภาค เพิ่มระดับการดูแลความปลอดภัย ความสงบ
ทั้งนี้เพราะ อย่าลืมว่าก่อนที่จะเกิดความวิปโยคอาดูรจากการสูญเสียพระมหาราชาอันเป็นที่รักยิ่งไปนั้น ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง กำลังสกัดแผนการคาร์บอมบ์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อยู่ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคน
ดังนั้น ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ และชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประชาชนมารวมตัวกันเพื่อถวายสักการะและความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น ก็ต้องระมัดระวัง อย่างหนัก
พล.อ.เฉลิมชัย จึงได้ตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบ (กอ.รส.) ขึ้นมา โดยมีบิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 และ ผบ.กองกำลัง รส.กองทัพภาค 1 ดูแล
img_6633
นอกจากนั้น ยังมีความเคลื่อนไหวของบุคคลสองกลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพราะเกรงว่าจะมีผลในทางการเมือง 2.ขบวนการล้มล้างสถาบัน ที่อาจอาศัยสถานการณ์ช่วงการเปลี่ยนรัชกาล สร้างสถานการณ์และปลุกระดม
โดยพบว่า กกล.รส. ของ คสช. ได้ส่งทหารลงพื้นที่พบปะประชาชน ในการทำความเข้าใจถึงสถานการณ์หลังการสวรรคต และการสืบราชสันตติวงศ์ ตามที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจง เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวล และเพื่อป้องกันการปล่อยข่าว ข้อมูลเท็จ
รวมทั้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนบางกลุ่ม ที่อาจจะไม่ยอมรับและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นไปทั่งที่ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่อาจขัดแย้งกัน
แต่ที่ คสช. ให้น้ำหนักมากที่สุดคือ ขบวนการล้มล้างสถาบัน ที่มีความเคลื่อนไหวมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อันสอดคล้องกับการที่ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ.รบพิเศษ ลูกป๋าคนใหม่ที่ถูกเลือกขึ้นมาเพื่อมารองรับสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ สั่งให้ กกล.รส. ของ คสช. รับมือกับสงครามข่าวสารในโลกออนไลน์ การบิดเบือนและปล่อยข่าวเท็จ โดยสั่งการให้ชี้แจงทันทีเพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ และดำเนินการต่อผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จนั้นทันที
รวมถึงการที่บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ ที่นำ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ แถลงยืนยันที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้อยู่คู่ประเทศไทย ทหารพร้อมที่จะดูแลความสงบเรียบร้อย และความมั่นคง เพื่อให้รัฐบาลและ คสช. เดินหน้าได้ตามโรดแม็ป พร้อมยอมรับว่ามีขบวนการที่เคลื่อนไหว บิดเบือนอยู่
รวมถึง สงครามข่าวสารในโลกออนไลน์ และคนที่โพสต์ข้อความวิจารณ์สถาบันจากต่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวของขบวนการเหล่านี้ ทำให้ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศต่อหน้าสื่อในคืนวันสวรรคต ว่า
“สถาบันกษัตริย์จะต้องอยู่คู่ประเทศไทย”
%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%96%e0%b8%a5%e0%b8%87-2
หลังจากที่แถลงเปิดเผยถึงการเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในคืนที่ในหลวงสวรรคต ที่ทรงมีพระราชบัณฑูรที่จะยังไม่ขึ้นสืบราชสมบัติ แต่ทรงมีพระราชประสงค์ให้การพระราชพิธีพระบรมศพเสร็จสิ้นไปเสียก่อน ขอเวลาทำพระทัยจากการสูญเสียพระราชบิดา เช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ จนทำให้เข้าใจกันไปว่าอาจจะยาวนานถึง 1 ปี
ดังนั้น นายวิษณุ จึงต้องออกทีวีพูลชี้แจงเรื่องการสืบพระราชสันตติวงศ์ อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน หรือรู้สึกว่าแผ่นดินว่างเปล่า
สถานการณ์เช่นนี้ จึงนำไปสู่การที่ต้องมี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ยังไม่มีพระราชประสงค์ที่จะกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
แล้วก็เป็นไปตามคาด ที่ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ต้องทำหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไปพลางก่อน ตามรัฐธรรมนูญกำหนด โดยไม่ต้องมีการแต่งตั้งหรือประกาศคำสั่งใดๆ
แต่พร้อมๆ กันนั้น ก็ส่งผลให้ พล.อ.เปรม ต้องพ้นเก้าอี้ประธานองคมนตรี ไปตามรัฐธรรมนูญ โดยมีการเลือกประธานองคมนตรีคนใหม่ ขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่า มีแค่ระหว่าง นายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกฯ คนที่ 14 วัย 89 ปี ที่เป็นองคมนตรีที่มีอาวุโสสูงสุด และบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ คนที่ 24 วัย 73 ปี ที่มีอาวุโสอันดับ 2 เพราะการเรียงลำดับองคมนตรีนั้น จะเรียงจากคนที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก่อน ไม่ได้เรียงตามอายุ
ด้วยความเป็นอดีตนายทหารรบพิเศษ ที่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง ประกอบกับเป็น “ลูกป๋า” จึงทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เปรียบ และกลายเป็นตัวเต็งประธานองคมนตรี คนใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ถูกวางตัวให้เป็นทายาทของ พล.อ.เปรม อยู่แล้ว
แม้ นายวิษณุจะระบุว่า หาก พล.อ.เปรม พ้นจากตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว จะกลับมาทำหน้าที่ประธานองคมนตรี ได้อีกก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สายลูกป๋ามองว่าหากมีการตั้งประธานองคมนตรี คนใหม่ มาแทนชั่วคราวแล้ว พล.อ.เปรม ก็อาจจะวางมือไปเลย เมื่อพ้นหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ในการประชุมองคมนตรีล่าสุด เพื่อเลือกประธานองคมนตรีคนใหม่ แทน พล.อ.เปรม นั้น ผลออกมาจึงกลายเป็นแค่การให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิบัติหน้าที่แทน ประธานองคมนตรี ไปพลางก่อนเท่านั้น ไม่ได้มีการทูลเกล้าฯ เพื่อให้แต่งตั้งประธานองคมนตรี คนใหม่
เพื่อเปิดช่องให้ พล.อ.เปรม กลับมาเป็นประธานองคมนตรี ได้อีกครั้ง เมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ
แน่นอนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้เกิดความหวาดหวั่นว่าจะส่งผลกระทบต่อโรดแม็ปของ คสช. แม้ นายวิษณุ จะระบุว่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สามารถลงนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ยังไม่มีใครอาจหยั่งรู้ได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
หรือว่าทุกอย่างจะต้องยืดออกไปก่อน รวมทั้งการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปลายปี 2560 นั้น ก็ไปประจวบเหมาะกับ พระราชพิธีพระบรมศพ พอดี
อีกทั้ง เป็นพระราชบัณฑูรในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อีกด้วย ที่ทรงมีรับสั่งกับทั้ง พล.อ.เปรม ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ในการเข้าเฝ้าฯ อีกครั้ง เมื่อคืนวันที่ 15 ตุลาคม 2559
201509021108267-20030315183328
ในเวลานี้ สถานภาพของ พล.อ.เปรม ผู้นำแห่งสายบ้านสี่เสาเทเวศร์ ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากประธานองคมนตรี เป็น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และรัฐบุรุษ ที่ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิตสามัญชน
แต่ดูเหมือนว่าคนใกล้ชิด พล.อ.เปรม ยังคงดูท่าทีต่างๆ ด้วยความนิ่งเงียบก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
แต่ชีวิตส่วนตัวของ พล.อ.เปรม ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีแต่งานที่รับผิดชอบเปลี่ยนไป และมีรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น เท่านั้น
ท่ามกลางกระแสข่าวลือมากมายที่พุ่งไปที่ตัว พล.อ.เปรม และการที่ยังไม่มี พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และการจับตามองไปที่ปลายทางของ พล.อ.เปรม จะเป็นเช่นไร
เหล่านี้จึงนำมาซึ่งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาประกาศหลังการประชุม ครม. เมื่อ 18 ตุลาคม 2559 ว่า รัฐบาลและประธาน สนช. จะทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 และกฎมณเฑียรบาล ในเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์
โดยเมื่อพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล ผ่านพ้นในช่วง 7 วัน หรือ 15 วัน ไปแล้วระยะหนึ่ง น่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 โดยจะแจ้งประธาน สนช. เพื่อจัดให้มีการประชุม สนช. เพื่อทำตามรัฐธรรมนูญ ในการเสนอพระนามพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
“รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ใหม่ จะเป็นผู้ลงพระปรมาภิไธย” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

จากเดิมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ นายวิษณุ ระบุว่า ทรงมีพระราชบัณฑูร ให้รอเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ เสร็จสิ้นระยะหนึ่งก่อน
เพราะทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ตามมา ว่าในช่วง 1 ปี นับจากนี้ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร หากไม่มีพระมหากษัตริย์ โดยให้ พล.อ.เปรม เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
“ข่าวลือเยอะมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการตีความกันมากมาย แต่ขอให้ฟังผมพูด ไม่ต้องไปตีความการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศ ที่จะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง และส่งผลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แสนงดงามของไทยเราที่แตกต่างจากประเทศอื่น เราต้องช่วยกันทำให้สถาบันของเราเข้มแข็งในยุคของพวกเรานี่” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ และข่าวลือมากมาย หลังจากที่ พล.อ.เปรม เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เนื่องจากไม่มีใครรู้ระยะเวลาที่ชัดเจน จึงทำให้ร่ำลือกันไปต่างๆ นานา
“ผมจึงขอย้ำว่า เรามีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นการชั่วคราว ไปพลางก่อน เท่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จึงสอดคล้องกับการที่ องคมนตรี ไม่ได้มีมติแต่งตั้งใครเป็นประธานองคมนตรี คนใหม่ แทน พล.อ.เปรม แต่ให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิบัติหน้าที่แทนชั่วคราวก่อนเท่านั้น โดยยังมี นายธานินทร์ เป็นองคมนตรีที่มีอาวุโสสูงสุด ยืนหัวแถวแทนประธานองคมนตรี ในการพระราชพิธีต่างๆ
“ประเทศหยุดไม่ได้ แต่ความเสียใจก็ห้ามไม่ได้ ผมเสียใจเหมือนกับคนไทยทุกคน แต่ผมจะต้องมีสติในการเดินหน้าประเทศต่อไป โดยยืนยันว่าโรดแม็ปต่างๆ การเลือกตั้ง ยังเป็นไปตามเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้ชัด
ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่จับตามองประเทศไทย ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป นับแต่วันนี้ จนถึงการเปลี่ยนผ่านประเทศ และหลังจากนั้น…
ภายใต้นายกรัฐมนตรีทหารเสือราชินี นาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

บิ๊กป้อม” ปัดอยู่เบื้องหลังตั้งพรรคอธิปไตยฯ ยัน ไม่คิดเล่นการเมือง

“บิ๊กป้อม” ปัดอยู่เบื้องหลังตั้งพรรคอธิปไตยฯ ยัน ไม่คิดเล่นการเมือง
เมื่อเวลา 10.25 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายประภาส โงกสูงเนิน ประธานสภาประชาชน 4 ภาค และนายสมาน ศรีงาม เลขาธิการพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย ระบุว่า พล.อ.ประวิตรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตั้งพรรคอธิปไตยฯเพื่อให้เป็นพรรคทหารว่า ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกับนายประภาสและนายสมาน และไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการตั้งพรรคดังกล่าว และขอย้ำว่าตนและนายกรัฐมนตรีไม่คิดที่จะเล่นการเมือง


พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงเหตุระเบิดตลาดโต้รุ่ง เทศบาลเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นระเบิดขนาดเล็กใส่กระป๋องมาวางไว้และจุดชนวนระเบิด เบื้องต้นได้รับรายงานมีผู้บาดเจ็บ 18 ราย เพราะสะเก็ดระเบิดกระจาย ส่วนใหญ่จึงบาดเจ็บเล็กน้อย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย

กอ.รมน.ชี้เหตุระเบิดที่ตลาดโต้รุ่งปัตตานี เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มโจรที่ปราศจากอุดมการณ์

กอ.รมน.ชี้เหตุระเบิดที่ตลาดโต้รุ่งปัตตานี เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มโจรที่ปราศจากอุดมการณ์
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) เผยแพร่ข้อความทางหน้าเฟซบุ๊ก ชี้แจงกรณีเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณตลาดโต้รุ่งเทศบาลเมือง จ.ปัตตานี เมื่อคืนนี้ (24 ต.ค.) ว่า เป็นความพยายามของกลุ่มโจรในการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยไม่เคยคำนึงถึงเป้าหมาย พร้อมเรียกร้องกลุ่มเคลื่อนไหวหาความเป็นธรรมออกมาประณามการกระทำของคนร้าย ด้านแม่ทัพภาคที่ 4 ระบุกลุ่มผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมสุดโต่ง ก่อการร้ายและไร้มนุษยธรรม
เหตุลอบวางระเบิดบริเวณตลาดโต้รุ่งเทศบาลเมือง จ.ปัตตานี เกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 นาฬิกา เมื่อคืนนี้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 21 ราย และเสียชีวิต จำนวน 1 ราย ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่าสตรีและเด็ก ตกเป็นเหยื่อของคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มโดยไม่มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนตามที่กล่าวอ้าง พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรเครือข่ายที่เคลื่อนไหวเรียกร้องหาความเป็นธรรมในพื้นที่ ได้ออกมาร่วมกันประณามกลุ่มคนร้ายและต่อต้านการใช้ความรุนแรงอันเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าชี้แจงด้วยว่า พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ยังคงมีพฤติกรรมแบบสุดโต่ง ก่อการร้ายและไร้มนุษยธรรม
โดยหลังจากเกิดเหตุ พลโทปิยวัฒน์ ได้สั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี เข้าควบคุมพื้นที่ พร้อมเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบ และเร่งรวบรวมพยานหลักฐานสืบสวนสอบสวน เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุในครั้งนี้มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเร่งด่วน กับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของสังคมเป็นวงกว้าง #Pattani