“คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย” นี่เป็นคำพูด ความคิดเห็นที่เราท่านได้พบ ได้เห็น ตั้งแต่เมื่อแรกมีประชาธิปไตยในไทย ใน พ.ศ. 2475 ถึงไม่บ่อยแต่ไม่เคยจางหาย และขยายแนวคิดไปว่า “ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย”
ท่านคิดเห็นอย่างไรเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ตามสถานะ ข้อมูล ฯลฯ
หากวันนี้อยากจะชวนท่านมาดูบทความหนึ่ง ที่ทำให้เห็นภาพประชาชนที่ “ใส่ใจ” และ “เอาใจช่วย” ที่มีต่อ “ประชาธิปไตย”
กับบทความวิชาการที่ชื่อว่า “เมื่อสามัญชนหาญปราบกบฏ : บทบาทพลเมืองสยามในการปราบกบฏบวรเดช 2476” ของ ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
บทความวิชาการนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนตุลาคมนี้
ที่เรียกว่า “บทความวิชาการ” เพราะผู้เขียน (ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง) สืบค้นเอกสารชั้นต้นอย่างรอบด้าน ทุกเรื่องมีเอกสารอ้างอิง เอกสารที่อ้างอิงจำนวนมากเป็นเอกสารชั้นต้น เอกสารชั้นต้นกว่าครึ่งเป็นเอกสารราชการ
ในที่นี้ขอยก 2-3 ตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟัง
หนึ่งคือ พระมหาภู่ นาคสลับ วัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีลิขิตถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2476 ความว่า
การปราบกบฏไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ แต่เรื่องของชาติเป็นเรื่องของทุกคน ภิกษุสงฆ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชาติ เป็นเพื่อนร่วมชาติกับทุกคน พระมหาภู่ยังได้รายงานสถานการณ์ให้รัฐบาลทราบว่า ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่เชื่อข่าวของพวกกบฏมากกว่า ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขการนำเสนอข่าวสาร และอำนวยพรมายังรัฐบาลว่า
“อาตมาภาพนอกจากเอาใจช่วยรัฐบาลแล้ว ยังขออัญเชิญพระรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอภิบาลปกป้องในกาลทุกเมื่อด้วย”
หนึ่งคือ นายพร้อม ทัพประพนท์ เสมียนอำเภอพานทอง ชลบุรี โทรเลขถึงนายกรัฐมนตรี วันที่ 17 ตุลาคม 2476 ได้แจ้งว่า เขาได้ขอลาหยุดงาน 7 วัน เพื่อเข้ามาร่วมกับฝ่ายรัฐบาลปราบกบฏ
หนึ่งคือ นายพร้อม ทัพประพนท์ เสมียนอำเภอพานทอง ชลบุรี โทรเลขถึงนายกรัฐมนตรี วันที่ 17 ตุลาคม 2476 ได้แจ้งว่า เขาได้ขอลาหยุดงาน 7 วัน เพื่อเข้ามาร่วมกับฝ่ายรัฐบาลปราบกบฏ
หนึ่งคือ นางปุ่น สุภาพันธ์ จังหวัดเพชรบุรีส่งจดหมายลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2476 ถึงนายกรัฐมนตรี บริจาคแหวนแต่งงานสมทบทุนให้รัฐบาลปราบกบฏ
“ดิฉัน เป็นราษฎรสามัญชนคนหนึ่ง ซึ่งไม่มั่งมีศรีสุขอย่างใด แต่ทั้งกายและใจของดิฉันเคารพมั่นคงในรัฐธรรมนูญซึ่งใต้เท้าได้เป็นประมุขนำมาหยิบยื่นให้ด้วยพลีชีวิต
ดิฉันพร้อมแล้วที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อประเทศต้องการเพื่อรักษารัฐธรรมนูญของชาติให้สถิตสถาพรอยู่
ดังนั้น ดิฉันได้ส่งแหวนมาพร้อมจดหมายนี้ 1 วง แม้จะเป็นแหวนทองเกลี้ยงๆ ไม่มีราคาเท่าใดนัก แต่เป็นของมีค่าที่สุดของดิฉันสิ่งหนึ่ง เพราะเป็นแหวนวิวาห์ของดิฉัน‚”
หนึ่งคือ นางส้มจีน รักภาระพิทักษ์ เจ้าของร้านสหธัญญาพานิช ขออนุญาตรัฐบาลอัดรูปถ่ายพวกกบฏจำหน่ายในราคาถูก เพื่อช่วยรัฐบาลในการจับกุมผู้ก่อกบฏมารับโทษ
นางส้มจีนกล่าวว่า “ดิฉันจะพยายามจำหน่ายให้ถูกที่สุด แม้จะเสียเวลาหรือขาดทุนบ้าง ดิฉันก็ยอม เพราะดิฉันเห็นแก่ชาติมากกว่า”
ตัวอย่างข้างต้นคือ “ชาวบ้านทั่วไปล้วน” แต่ในบทความของณัฐพลยังมีกลุ่มบุคคลอีกจำนวนมากที่เข้าร่วมการปราบกบฏ เช่น พนักงานการรถไฟ, พลเมืองอาสา ที่ช่วยเหลือ, บริจาค, อวยพร ฯลฯ แก่รัฐบาลในการต่อสู้กับกบฏบวรเดช ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องของสามัญชนที่ช่วยปราบกบฏ ก็ยังมีเรื่องที่พวกเขาถูกคุกคามชีวิตและทรัพย์สินเพราะเห็นต่างจาก
อภิชนด้วย
เนื้อหาที่เหลือและตอนจบของบทความนี้ขอท่านได้โปรดติดตามต่อใน “ศิลปวัฒนธรรม”
ส่วนตอนจบของการต่อสู้ทางประชาธิปไตยนั้นคงต้องยืมคำอภิปรายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวแก่สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2483 ว่า
“ระบอบเก่าและระบอบใหม่นี้จะต้องรบกันไปอีกนานจนกว่าระบอบใดจะชนะ และผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วยจะต้องรบกันไปอีกและแย่งกันระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น