PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

โหมโรงปฏิรูปยุทธศาสตร์“สามัคคี”ทะลวงทางตัน

22/1/60
จาก 13 ตุลาคม 2559 ถึง 20 มกราคม 2560 ครบรอบ 100 วันแห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “ในหลวงรัชกาลที่ 9”

เป็นอีกวาระสำคัญที่พสกนิกรชาวไทยร่วมกันจัดงานใหญ่

โดยสำนักพระราชวังจัดพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ขณะที่รัฐบาลจัดงานทำบุญ ตักบาตร กองทัพ หน่วยงานราชการจัดอุปสมบทหมู่ พระสงฆ์ ประชาชนเข้าวัดสวดมนต์

ภาครัฐ ภาคเอกชน ชาวบ้านทั่วไป พร้อมใจถวายเป็นพระราชกุศล

รำลึก คิดถึง “พ่อ” ไม่เสื่อมคลาย

ตามปรากฏการณ์ที่ “ไทยรัฐ” ได้จัดทำหนังสือพิมพ์ ฉบับพิเศษเนื่องในวาระ 100 วันแห่งความอาลัย ฉบับประจำวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2560 บันทึกประวัติศาสตร์ในรูปแบบแสง สี เสียง และสื่อประสมทั้งฉบับยอดพิมพ์เพิ่มมากกว่าปกติหลายเท่า ตามความ ต้องการของผู้อ่าน

ส่วนใหญ่ต้องการนำไปสะสมเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของชีวิตได้อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่

“ในหลวง รัชกาลที่ 9” ในความทรงจำ

และในขณะที่ความคืบหน้าตามกระบวนการทางพระราชพิธีผ่านพ้นกำหนด 100 วัน โดยสถาน-การณ์ด้านกระบวนการตามโรดแม็ปทางการเมืองก็เดินถึงจุดสำคัญ

กับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ปรองดอง”

ซึ่งรอบนี้ต้องยอมรับว่า “ออกตัวแรง” และมีแนวโน้มได้เนื้อได้หนังมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ตามจังหวะการเทกแอ็กชั่นของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่ร่างโมเดลด้วยตัวเอง ก่อนมอบธงให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นแม่ทัพใหญ่ในการดำเนินการงานช้าง

ด้วยสถานะของ “พี่ใหญ่” ผู้กว้างขวาง คุยได้ทุกวงการ
และความคืบหน้าล่าสุดราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เรียกโดยย่อว่า “ป.ย.ป.”

ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรี รมต.ประจำสำนักนายกฯ รมว.คลัง รมว.มหาดไทย เป็นกรรมการ

โดยโครงสร้างอำนาจหน้าที่เป็นหน่วยหลักในกระบวนการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง

คุมภาพกว้างทั้งโหมดการปรองดองควบไปโหมดการปฏิรูป

ในขณะที่กลไกหลักในการขับเคลื่อนกระบวนการปรองดองเป็นการเฉพาะ น่าจะอยู่ที่กรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดองที่ พล.อ.ประวิตรกำกับดูแล

และมีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ มอบหมายให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้าง-มงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

คณะทำงานส่วนใหญ่เน้นเฉพาะทหาร

ตามรูปการณ์เห็นได้เลยว่า มีการเร่งความคืบหน้ากระบวนการกันอย่างรวดเร็ว

สะท้อนระดับความจริงจังและความตั้งใจของรัฐบาลทหาร คสช.

แต่แน่นอน ประเด็นการปรองดองไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นของเก่าค้างปีที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งคณะทำงานศึกษาปัญหาแล้วก็เก็บใส่ลิ้นชักไว้ไม่รู้กี่คณะต่อกี่คณะคว้าน้ำเหลวมาแล้วไม่รู้กี่รอบ

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ยังไม่ทันไร ก็มีสัญญาณจากฝั่ง “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ กปปส. ประกาศไม่รับมุก ไม่ขอร่วมวงที่ พล.อ.ประวิตรเสนอให้นักการเมือง แกนนำขั้วขัดแย้ง ลงนามใน “เอ็มโอยู” หรือข้อตกลงยุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่ความปรองดอง

อ้างไม่ใช่ทางออก และตั้งท่าค้านการนิรโทษกรรมเหมือนเดิม

ขณะที่อีกด้านก็มีการอ้างแหล่งข่าวคนใกล้ชิดอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ตั้งแง่กังขาในเรื่องความจริงใจของรัฐบาลทหาร คสช.ที่จะสร้างความปรองดอง ทำไมจึงเพิ่งจะมาดำเนินการในช่วงที่ใกล้จะถึงช่วงท้ายโรดแม็ป หรือเป็นเพราะหวังยื้อการเลือกตั้งให้ช้าออกไป

ตั้งแง่ไม่ไว้ใจทหาร โวยที่ผ่านมาโดนทุบอยู่ฝ่ายเดียวตามเคย

โจทย์สำคัญ “หัวโจก” ขั้วขัดแย้งยังยึกยัก

“ทักษิณ-เทพเทือก” ไม่รับมุก ปรองดองส่อเค้าล่มปากอ่าวตามฟอร์ม

ซึ่งนั่นก็ประเมินกันในมุมเก่า วิเคราะห์กันบนพื้นฐานเงื่อนไขสถานการณ์เดิมๆ

แต่เรื่องของเรื่อง ความพยายามเดินหมากปรองดองรอบนี้ มันมีปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
และจัดเป็นปัจจัยที่ “เอื้อ” มากกว่า “ฉุด”

จุดสำคัญอันดับแรกเลยก็คือ บรรยากาศพระราชพิธีสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ตามปรากฏการณ์นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เป็นอะไรที่ทุกฝ่ายสัมผัสได้

ความสามัคคีฟื้นกลับมาสู่สังคมไทย ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อ “พ่อ”

ไม่มีการแบ่งสี แบ่งค่าย แยกฝั่ง แยกฝ่าย ก่อภาพความสวยงามในหัวใจของคนในชาติปรองดองกันเพื่อเทิดทูนสถาบันอันเป็นที่รัก

พวกที่จ้องจะหักดิบปรองดอง ก็ต้องเสี่ยงสวนกระแส

ประกอบกับสถานการณ์ต่อเนื่องในช่วงการเปลี่ยนผ่านสำคัญก็เห็นกันอยู่กับ “การจ่ายยาแรง”
นักการเมือง แกนนำขาใหญ่ม็อบ เข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ

เดินคอตกเข้าคุกตามๆกัน

และแนวโน้ม “หัวโจก” ม็อบ นักการเมืองทุกขั้ว ทุกค่าย ต่างติดคดี มีชนักปักหลัง
ถ้ายังสนุกกับธุรกิจค้าความขัดแย้ง ใช้ความแตกแยกของคนในบ้านเมืองเป็นเครื่องมือในการต่อรองผล
ประโยชน์เกมอำนาจทางการเมืองและธุรกิจ
ปลายทางของชีวิตหนีไม่พ้นเข้าไปนั่งปรับความเข้าใจในเรือนจำ
ที่สำคัญเลย โดยโจทย์สถานการณ์ที่อยู่ในห้วงท้ายโรดแม็ป กำลังเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง
ตามเงื่อนไขนี้ เดาทางพวกหัวโจกม็อบและนักการเมืองก็น่าจะประเมินเงื่อนสถานการณ์ปรองดองรอบนี้ในมุมที่เปลี่ยนไปจากมุกปรองดองลอยๆแบบที่ผ่านมา
ดูแล้วก็แค่ลีลา ทุกอย่างแปรผันตามการต่อรองผลประโยชน์
ทั้งหมดทั้งปวงเลย ปรองดองรอบนี้ไม่ได้อยู่ในวังวนเดิมแบบที่ผ่านมา
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ต่างยืนยัน ไม่มีการนิรโทษกรรม ไม่พูดเรื่องการอภัยโทษ
เพราะเป็นกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลไม่สามารถก้าวก่ายได้
นี่ก็เท่ากับตัดปมปัญหา “เรื้อรัง” ที่โดนต่อต้าน เลี่ยงปมอุดตัน
จุดไฮไลต์จริงๆมันอยู่ที่การเชิญให้นักการเมือง แกนนำขั้วขัดแย้งมาร่วมทำ “เอ็มโอยู” โดยรัฐบาล คสช.เป็นคนกลางเปิดวงให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการพูดคุย แสดงความคิดเห็น
จะสร้างความปรองดองในสังคมไทยได้อย่างไร
เบื้องต้นเลยดูเหมือนจะเน้นไปที่เงื่อนไขในการเลือกตั้ง โดยทุกฝ่ายต้องสัญญาจะไม่ขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง และจะยอมรับผลเลือกตั้ง
ไม่ว่าพรรคไหน ขั้วไหนจะชนะเลือกตั้ง ใครจะได้เป็นรัฐบาล
เป็นการแสดง “สัจวาจา” ต่อสาธารณชน
และเมื่อสัญญาแล้วต้องทำตามเอ็มโอยูที่ลงนามไว้ ถ้าเบี้ยว กลืนน้ำลาย ตระบัดสัตย์ในภายหลัง ก็มีหวังโดนมาตรการทางสังคม “แบน” เอง
เหมือนมวยที่ต้องกำหนดกติกาก่อนชก
ไม่เช่นนั้นก็ซัดกันมั่วไปหมด ต่อยใต้เข็มขัด กัดหู คนแพ้ไม่ยอมคนชนะ
หนีไม่พ้นต้องฆ่ากันตายไปข้าง
เช่นกันถ้ายังไม่เคลียร์ให้ชัด ปล่อยเลือกตั้งไปก็ไม่มีหลักประกันจะกลับมาวุ่นวายไม่เลิก
สั้นๆเข้าใจง่ายๆ รอบนี้มันก็แค่ “ปลดล็อก” ทางตัน
เสมือนหนึ่ง “ปรองดองเฉพาะกิจ” เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนการปรองดองในระยะยาวก็ไปว่ากันต่อในรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง จะนิรโทษกรรม อภัยโทษ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล คสช.แต่อย่างใด
ทหารดึงตัวเองออกมาเป็นคนกลาง ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
และถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่ถือว่าเป็นความเสียหาย
ถ้านักการเมืองไม่เอา ม็อบไม่สน ทหารก็ไม่เดือดร้อนอะไร
คสช.ลากยาวอำนาจพิเศษอยู่ต่อไป ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่เลือกฝากผีฝากไข้กับทหารมากกว่า
ไม่มีทางปล่อยให้ประเทศวุ่นวาย
ไม่ปล่อยผีนักการเมืองทำรัฐล้มเหลวแน่.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: