PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สถานการณ์ข่าว15/2/60

ปรองดอง
"สุวัจน์" นำคณะพรรคชาติพัฒนา เข้าหารือ อนุฯ ปรองดอง แสดงความคิดเห็น 10 ด้านตามที่ ป.ย.ป. กำหนด 

บรรยากาศที่กระทรวงกลาโหม ในช่วงบ่ายวันนี้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อเดินหน้าสร้างความสามัคคีปรองดอง และให้เป็นไปตามที่วางไว้ว่าทุกจะต้องดำเนินให้แล้วภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งการหารือในวันนี้ ก็ถือเป็นวันที่ 2 ในการเชิญพรรคการเมืองเข้ามาพูดคุย โดยได้มีการเชิญตัวแทนจากพรรคชาติพัฒนา ซึ่งนำโดย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา พร้อมกรรมการบริหารพรรค ได้เดินทางเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การสร้างความสามัคคีปรองดอง

สำหรับการพูดคุยในครั้งนี้จะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ และแนวทาง 10 ด้านที่คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) กำหนดไว้ และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพูดคุยประมาน 2 - 3 ชั่วโมง โดยหลังนั้นจะมีการแถลงให้สื่อมวลชนรับทราบอีกครั้งหนึ่ง
-----
นายกฯ ย้ำ เร่งปฏิรูปทุกมิติ ขับเคลื่อนประเทศสู่ ไทยแลนด์ 4.0 พ้นกับดักรายได้ปานกลาง แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “Opportunity Thailand” พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “โอกาสกับประเทศไทย 4.0” โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงผันผวน มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในแต่ละประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้แต่ละประเทศจะต้องคิดกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศตนเอง รวมทั้งประเทศไทยจะต้องปรับตัว เพื่อรับมือสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเร่งสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในทุก ๆ ด้าน

ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว และการก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ในทุก ๆ มิติ เพื่อสร้างความสมดุลและความยั่งยืน
--------
นายกฯ ย้ำ รบ. นำ ศก.พอเพียง เป็นแนวทางพัฒนาประเทศ มุ่งรักษาสมดุลทุกด้าน สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า รัฐบาลได้น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เป็นหลักคิดที่สอดคล้องกับโมเดลประเทศไทย 4.0 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ซึ่ง "ศาสตร์พระราชา" ได้สอนให้รู้ว่า การพัฒนาจะยั่งยืนได้ ต้องรักษาสมดุล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพ ความสมดุลและความสุขของประชาชนด้วย เช่นเดียวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มุ่งให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ท้องถิ่น ถือเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เร่งแก้ไขปัญหาจากฐานราก และสร้างความเข้มแข็งจากภายใน มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในลักษณะการพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นไปตามพระราชปณิธานที่พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานไว้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา กฎหมาย และความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการรักษาฐานทรัพยากรของประเทศ เพื่อนำพาประเทศไทยสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” อย่างแท้จริง
---------
นายกฯ ย้ำ ประเทศจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจสูโมเดล 4.0 เน้นคุณค่า ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ เพื่อก้าวข้ามไปสู่โมเดลใหม่ของประเทศที่เรียกว่า “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นโมเดลของเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า (Value-Based Economy) และเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) ซึ่งหัวใจสำคัญคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเตรียมไปสู่การเป็น “คนไทย 4.0” ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครอง ในการพัฒนาคนไทย เยาวชนไทย ให้มีทักษะความรู้ ความสามารถให้เท่าทันต่อความเป็นไปของโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาความสามารถด้าน ภาษาต่างประเทศ เพื่อให้บุคลากรไทยมีความพร้อมรองรับความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนในประเทศ และพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรม
------------
นายกฯ หวังผลักดันประเทศเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาค ส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนของภูมิภาค” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือ การส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต เพื่อสร้าง “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Startup) ที่ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ประกอบไปด้วยจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่นำร่อง โดยเร่งการพัฒนาความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็วที่สุด โดยตั้งเป้าหมายให้พื้นที่ EEC นี้ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
-------------
นายกฯ ยัน ตลอด 2 ปี เร่งแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจ ขอลดความหวาดระแวง หวังปฏิรูป 5 ปี แรกให้เกิดความยั่งยืน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งผลักดันการยกร่างกฎหมายและแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติราชการ เพื่อปรับปรุงการบริการของภาครัฐให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จะต้องได้รับความสะดวกรวดเร็วในการประกอบธุรกิจ การทำงานของภาครัฐจะต้องมีความโปร่งใส เป็นธรรม  ไม่ทุจริตคอร์รัปชันและบริหารงานตามหลัก ธรรมาภิบาล คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยมีบรรยากาศที่น่ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะเกิดการเดินหน้า ไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะทุกคนอยู่ในโลกใบเดียวกันบนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง และมีผลประโยชน์ที่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่าจะต้องปฏิรูป 5 ปีแรก ให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงมียุทธศาสตร์ 20 ปี มีเรื่องปฏิรูปกว่า 100 วาระ แบ่งออก 11 กิจกรรม และ 36 กิจกรรม ที่จะสอดคล้องในระยะยาว ซึ่งทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ตลอดไปอีก 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาก็ตาม เพราะได้กำหนดเป็นกฎหมาย และอยากผลักดันให้เกิดความต่อเนื่องทุกรัฐบาลต่อไป
---------
นายกฯ ยืนยันเร่งเดินหน้าปรองดองควบคู่กับนโยบาย Thailand 4.0 แจง PMDU ดึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถช่วยงานไม่ใช่ทหารอย่างเดียว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่วว่า ได้สั่งการให้มีการดำเนินการ 3 เรื่อง สำคัญที่ต้องดำเนินไปควบคู่กับนโยบาย Thailand 4.0 โดยได้มีคำสั่งให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)” เพื่อให้การทำงานเกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น และเร่งขับเคลื่อนแผนงาน เพื่อส่งมอบให้รัฐบาลชุดต่อไป โดยมี 4 คณะกรรมการย่อย ขับเคลื่อนเรื่องที่สำคัญให้สำเร็จได้ด้วยดี

สำหรับ “สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (PMDU)” รัฐบาลจะดึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่ทหารหรือข้าราชการเพียงอย่างเดียว เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดย PMDU จะมีบทบาทในการประสานงาน ติดตาม ขับเคลื่อนนโยบายแต่ละด้าน และรายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี เน้นการทำงานแบบบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในช่วง 5 ปีแรก และนโยบายสำคัญของประเทศ และผลักดันการทำงานของคณะกรรมการย่อยทั้ง 4 ชุด ให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
------
"พล.อ.ประวิตร" ยังไม่เห็นรายละเอียดที่นักการเมืองเสนอ หลังเริ่มเชิญเข้าพูดคุยปรองดอง ไม่รู้เอกสารเกณฑ์คนหนุนโรงไฟฟ้ากระบี่ของจริงหรือไม่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงประเด็นข้อเสนอของนักการเมืองที่เชิญมาพูดคุยเรื่องการสร้างความปรองดอง โดยยืนยันว่า ยังไม่เห็นในรายละเอียดและเพิ่งพูดคุยกัน ส่วนข้อสรุปนั้นจะต้องรวบรวมข้อเสนอจากทุกฝ่ายภายใน 3 เดือน จะต้องฟังจากทุกสถาบันที่จะมาคุยกัน

ส่วนกรณีที่มีเอกสารทางราชการสั่งการให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ในจังหวัดกระบี่ จัดมวลชนเข้าสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ พล.อ.ประวิตร เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบในรายละเอียดว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และขอยืนยันว่าไม่สามารถที่จะเกณฑ์คนมาสนับสนุนได้ และมองว่าคนที่ออกมาสนับสนุนต้องการการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจริง
------------
พล.อ.ประวิตร ไม่รู้ จนท. วางแผนบุกวัดพระธรรมกาย ใช้ กำลัง ทภ.1 ร่วมด้วย ยันเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำ ขออย่ากดดันกองทัพเรือ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงกรณีที่มีกระแสข่าวจะมีการนำกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าค้นวัดพระธรรมกาย ว่า ยังไม่ทราบข่าวดังกล่าว และทางผู้บัญชาการทหารบก ยังไม่มีการรายงานการขอกำลังเข้ามา

ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า จะยังคงซื้อเรือดำน้ำต่อไป แม้จะผ่านปีงบประมาณไป ก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องดังกล่าว ตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบขออย่าไปกดดันกองทัพเรือ ซึ่งโครงการนี้เป็นแผนงานในระยะ 5 - 6 ปี
----------------
พล.อ.ประวิตร ไม่มั่นใจจับปล้นปืน 885 กระบอก อุดรฯ โยงขอนแก่นโมเดล ขอสอบก่อน ชี้กลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองภาคอีสานเบาลง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงการจับกุมผู้ต้องหาที่ขโมยอาวุธปืนจำนวน 885 กระบอกจากค่าย ตชด. 24 จ.อุดรธานี เมื่อปี 2555 ว่า ยังไม่มั่นใจว่าผู้ต้องหาที่จับกุมได้จะเชื่อมโยงกับขบวนการขอนแก่นโมเดลหรือไม่ ต้องดูที่พยานหลักฐาน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ติดตามจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง มาสอบสวน โดยได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และเพิ่งเกิดความชัดเจน เมื่อไม่นานมานี้ โดยตนไม่ได้วางกรอบในการทำงานกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ และเบื้องต้นเข้าใจว่ามีการควบคุมตัวผู้เกี่ยวของมาสอบทั้งหมด 11 คน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการรายงานว่า วันนี้ในเวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร จาก มทบ. 11 จะนำตัวผู้ต้องหาไปส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีที่กองปราบปราม โดยจะมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ เดินทางไปสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดด้วยตนเอง

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ขณะนี้เคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ภาคอีสานลดน้อยลงแล้ว ประเทศไทยต้องนำไปสู่การปรองดองให้ได้ ส่วนใครที่มีคดี ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
--------
"วิษณุ" ย้ำ ยึดทรัพย์จำนำข้าวทำได้เลย ไม่ต้องรอให้สิ้นสุดคดีความในศาลฎีกานักการเมือง ชี้ เป็นคำสั่งทางปกครองจบสิ้นกระบวนการแล้ว

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพวก เพื่อเป็นสินไหมทดแทนความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โดยย้ำว่าสามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่ต้องรอให้สิ้นสุดคดีความในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือรอให้ศาลปกครองมีคำสั่งว่าจะทุเลาคำสั่งทางปกครองหรือไม่ เนื่องจากกระบวนการในการออกคำสั่งทางปกครองตามกฎหมายได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนการที่นายนพดล หลาวทอง ในฐานะทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า สมควรรอคำสั่งศาลปกครองเพื่อความชอบธรรมของรัฐบาลนั้น นายวิษณุ มองว่า อาจเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน เพราะหากพูดเช่นนั้นจริงอาจทำให้เพลี่ยงพล้ำได้

พร้อมกันนี้ นายวิษณุ ยังเปิดเผยว่า กรมบังคับคดี ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อศาลปกครองเรียบร้อยแล้ว โดยชี้แจงว่า ยังไม่ได้เริ่มดำเนินกระบวนใด ๆ
-----------
"ยิ่งลักษณ์ FB อัก รบ. หวังปรองดอง แต่ไม่คำนึงถึงหลักความยุติธรรม ขอรอศาลตัดสินก่อนยึดทรัพย์ 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Yingluck Shinawatra" ว่า ไม่เข้าใจว่านักกฎหมายใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและไว้วางใจ จะใช้ความคิดของตนเองในการให้ข่าวเรื่องการจะยึดทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นธรรม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคดีไปอยู่ในระหว่างการขอทุเลาคำสั่ง และรอผลการพิจารณาจากทางศาลปกครอง สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เท่ากับไม่ได้คำนึงถึงหลักความยุติธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้คำนึงว่า ศาลกำลังจะพิจารณาการร้องขออยู่แม้แต่น้อย แต่กลับให้ข่าวว่า พร้อมที่จะยึดทรัพย์ ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากศาลในเรื่องการขอทุเลาคำสั่งการทางปกครอง และหากศาลมีการทุเลาการบังคับคดีค่อยหยุดกระบวนการยึดทรัพย์ แต่ทรัพย์ที่ยึดไปก่อนหน้านั้นก็จะไม่คืน

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทิ้งท้ายว่า อยากจะถามอีกครั้งว่านี่หรือนักกฎหมายของรัฐที่เพียรพูดว่าจะคำนึงถึงความยุติธรรมและเป็นกลางกับทุกฝ่าย แล้วจะหวังให้ผู้เป็นรัฐบาลยุติธรรมกับผู้อื่นในยามบ้าน
เมืองต้องการเห็นการปรองดองแบบนี้หรือ 
------
ทนาย "ยิ่งลักษณ์" ชี้รัฐต้องรอคำสั่งศาล ยื่นคำแถลงเพิ่มเติมให้ศาลปกครองแล้ว

นายนพดล หลาวทอง ทนายความคดีปกครองและคดีแพ่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าหากทำการยึดอายัดทรัพย์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก เพื่อเป็นสินไหมทดแทนค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวขายทอดตลาดไปแล้ว ต่อมาศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทรัพย์สินที่ยึดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคืน ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นร้องต่อศาลปกครองเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเพื่อหยุดยั้งการใช้อำนาจ ยึด อายัด และขายทอดตลาด ดังนั้น เพื่อความถูกต้องและชอบธรรม ฝ่ายรัฐควรจะต้องรอการพิจารณาและสั่งของศาลก่อน แต่กลับไม่สนใจ มุ่งที่จะยึด อายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังนั้น ในฐานะทนายความ ได้ยื่นคำแถลงเพิ่มเติมให้ศาลปกครองได้รับทราบถึงพฤติการณ์ของฝ่ายรัฐแล้ว 2 ฉบับ โดยเฉพาะพฤติการณ์การกระทำและการแถลงข่าวของ นายวิษณุ
-----
"วิษณุ" คาด ปรับแก้ร่าง รธน. เรียบร้อยวันนี้ ทูลเกล้าฯ ภายใน 18 ก.พ. - ไม่รู้ พรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องคดีความจำนำข้าวพูดคุยปรองดอง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตพระราชทาน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันนี้ ซึ่งหลังจากนี้จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบและลงนาม ก่อนให้สำนักราชเลขาธิการดำเนินการต่อไป ภายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ซึ่งการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยที่นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเข้าเฝ้าฯ ส่วนจะมีการพระราชทานกลับคืนลงมาเมื่อไร อย่างไร นั้น แล้วแต่จะทรงโปรด

พร้อมกันนี้ นายวิษณุ ยังกล่าวถึงการพูดคุยสร้างความปรองดองเอง ของคณะกรรมการเตรียมการที่พรรคเพื่อไทยอาจนำเรื่องคดีความในโครงการรับจำนำข้าวมาเป็นเงื่อนไขในการพูดคุยว่า ส่วนตัว
ไม่ทราบ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่คาดว่า ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานที่ผ่านมาว่า กระบวนการพูดคุยจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตเรื่องคดีความและการกระทำความผิด เนื่องจากการเจรจานั้นจะเป็นการวางแนวทางในอนาคตเท่านั้น
--------
/////////
รัฐธรรมนูญ

กรธ.ย้ำรอบคอบพิจารณาเนื้อหา พรป.ปปช.เพื่อไม่ให้ถูกครหา 2 มาตราฐานอีก เตรียมรับฟังความเห็น พรป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 

นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น เปิดเผยกับสำนักข่าง INN  ว่า ขณะนี้ กรธ.ยังคงอยู่ในช่วงของการพิจารณาเนื้อหารายมาตราของ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งมีความคืบหน้าต่อเนื่องกว่า ครึ่งทางของทั้งฉบับ ที่มีประมาณ 230 มาตราแล้ว ซึ่งในการหารือแต่ละเรื่อง กรธ.ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมาก เพราะมองว่า การทำงานในอดีตที่ผ่านมาของ ปปช. ถือเป็นหนึ่งในมูลเหตุของความขัดแย้ง เนื่องจากมีการไม่ยอมรับในคำวินิจฉัย และถูกมองว่ามี 2 มาตรฐาน จึงจำเป็นต้องปรับแก้ไข เพื่อให้การทำงานของ ปปช.ในอนาคต มีความรวดเร็ว โปร่งใส และน่าเชื่อถือที่สุด  


พร้อมกันนี้ นายชาติชาย ยังกล่าวด้วยว่า ในวันนี้ จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น โดยเชิญฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พรป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน มาเสนอแนะ เพื่อรวบรวมความเห็นประกอบการพิจารณาอีกครั้ง ส่วนในช่วงสุดสัปดาห์ จะเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับ พรป. ว่าด้วย ส.ส. และ ส.ว. ต่อไป พร้อมกับย้ำว่า ในส่วนของ พรป.ว่าด้วย พรรคการเมือง และ พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้นเรียกร้อยเกือย 100%แล้ว แต่หลังจาก รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ จะมทีการทบทวนอีกครั้ง ก่อนที่จะส่งให้กับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป
----------
"มีชัย" ยืนยัน ร่าง พ.ร.ป.ผู้ตรวจการแผ่นดิน กำหนดอำนาจหน้าที่มุ่งแก้ไขปัญหาส่วนรวมให้เป็นระบบ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. กล่าวเปิดสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยยอมรับว่าการทำงานขององค์กรอิสระในหลายองค์กรมีความซ้ำซ้อน ต่างคนต่างทำหน้าที่ตามกรอบของแต่ละองค์กร จนบางครั้งทำให้เกิดปัญหา เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก กรธ. จึงเขียนอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินแบบเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการตั้งองค์กรอิสระ ที่ต้องมีความเป็นอิสระ น่าเชื่อถือเทียบเท่านานาชาติ สามารถแก้ปัญหาของประเทศในส่วนรวม ดังนั้น กรธ. จึงเขียนลงไปในร่างอย่างชัดเจนว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบมากกว่ามุ่งหาผู้กระทำความผิด และต้องทำหน้าที่โดยไม่ต้องรอให้มีผู้มาร้องเรียน รวมทั้งไม่ควรสร้างขั้นตอน กฎเกณฑ์เกินความจำเป็น ทั้งนี้ หวังว่าสิ่งที่ กรธ. ได้คิด จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อส่วนรวม

พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมา ความเห็นทุกความเห็นที่ได้รับฟัง กรธ. ได้นำมาใช้ประโยชน์ไม่เพียงเฉพาะการทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญได้คิดทบทวนอย่างรอบคอบ

-------
กกต. แจง IRI เตรียมความพร้อมจัดการเลือกตั้งเร่งพัฒนารูปแบบสู่สากล นำเทคโนโลยี - นวัตกรรมใหม่มาใช้

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า สำนักงาน กกต. ได้ให้การต้อนรับ Mr.matthew Hays ผู้อำนวยการ International Republican Institute (IRI) ซึ่งเป็นหน่วยงานส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก โดยได้มีการปรึกษาแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของ กกต. และการเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ได้มีการนำเสนอความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการเพื่อรองรับการจัดการเลือกตั้ง โดยนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการเลือกตั้ง อาทิ ช่องทางการสมัครทางอินเทอร์เน็ต, การจัดทำโปรแกรมการคำนวณคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพื่อจัดสรร จำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในงานด้านอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากที่สุด เช่น การจัดให้มีช่องทางการลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การเปิดระบบให้มีการลงคะแนนทางอินเทอร์เน็ต, การจัดทำแอปพลิเคชันดาวเหนือ

นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงถึงมาตรการป้องกันการทุจริต ซื้อเสียง และการวางตัวไม่เป็นกลางทางการเมืองของข้าราชการ และ ฝ่ายการเมือง การจัดทำแอปพลิเคชันบนมือถือชื่อว่า “ตาสับปะรด” เพื่อให้ประชาชนแจ้งข้อมูลเบาะแสการทุจริตการเลือกตั้งได้โดยตรง ซึ่งเป็นการบริหารงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตลอดทั้งร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศในการพัฒนารูปแบบการเลือกตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ ผู้สูงอายุ ให้ได้มาตรฐานสากล
-------------
"มีชัย" เปิดเวทีรับฟังความเห็น ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เข้าร่วมกว่า 250 คน 

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดโครงการสัมมนา เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ... โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวเปิดโครงการ จากนั้นเป็นการอภิปรายนำเสนอเกี่ยวกับร่างกฎหมายลูกฉบับนี้ โดย นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และจะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมสัมมนาได้เสนอความคิดเห็น

ทั้งนี้ มีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกว่า 250 คน ประกอบด้วย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้แทนจากกระทรวงต่าง ๆ ผู้แทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนขององค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรมหาชน สมาชิกพรรคการเมือง ตลอดจนประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชนเข้าร่วมในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม กรธ. จะนำความเห็นที่ได้รับจากการสัมมนาเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
//////
น้องนายกฯ

"สุรพงษ์" จี้ นายกฯ ปรับเปลี่ยนตัว สนช. ชี้บางคนกินเงินเดือน 2 ทาง แต่ไม่ทำหน้าที่ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของ คสช. 

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจกับข่าวที่ ไอลอว์ ตรวจสอบพบข้อมูล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับเงินเดือน 2 ทาง หรือ 2 ตำแหน่ง แต่กลับไม่มาทำหน้าที่ ในฐานะสนช. ขาดการประชุมสภาหลายครั้ง ซึ่งโดยหลักการแล้วสมควรที่จะมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และควรรู้สึกละอายแก่ใจ เชื่อว่าทุกคนคงจะตั้งใจทำหน้าที่ แต่อาจจะติดภารกิจอื่น ๆ ซึ่งถ้าเป็นนักการเมือง ก็คงจะถูกตำหนิจากสื่อมวลชนและสังคม และคงถูกกดดันให้ลาออกหรือต้องรีบเอาเงินเดือนไปคืน และโดยสามัญสำนึกคงจะไม่มีใครคิดที่จะกินเงินภาษีราษฎรโดยไม่ทำงานตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด จึงอยากขอฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและในฐานะหัวหน้า คสช. รีบพิจารณาปรับเปลี่ยนคนใหม่ที่สามารถทำหน้าที่ได้เข้ามาแทน เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของ คสช.
-------
"พรเพชร" ปัดตั้งกรรมการสอบ "น้องนายกฯ" และคณะ หลัง 7 สนช. ขาดลงมติ ยืนยัน ยื่นใบลาถูกต้อง เชื่อไม่กระทบภาพลักษณ์

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปฏิเสธที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำหน้าที่ของ 7 สนช. ที่ขาดการประชุมจนอาจจะพ้นสมาชิกภาพ ซึ่ง 1 ในนั้นมี พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายนายกรัฐมนตรีด้วย แม้ว่าจะมีผู้ติดใจและเตรียมยื่นร้องเรียนในเรื่องนี้ เนื่องจากตนได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้นไปแล้ว พบว่าสมาชิกทั้งหมดยื่นใบลาถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับการประชุม สนช. ทุกประการ และเชื่อว่าสถิติการขาดลงมติที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การทำงานของ สนช. จนต้องแก้ไขข้อบังคับการประชุม เพราะข้อบังคับ

ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกมาแล้ว และผู้ที่ขาดการลงมติก็มีเหตุผลอธิบายได้ จึงไม่เห็นว่ามีประเด็น แต่ยอมรับว่าต่อไปจะเข้มงดกวดขันกับการลาของสมาชิกมากขึ้นด้าน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า การตรวจสอบจริยธรรมของ 7 สนช. จะต้องมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนมา ผู้ตรวจฯ จึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ แต่ในเรื่องนี้ต้องให้อำนาจต้นสังกัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะหากต้นสังกัดมีกลไกตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ผู้ตรวจฯ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบทุกเรื่อง ขณะที่ในเรื่องนี้ ประธาน สนช. ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่พบความผิดปกติ พร้อมเห็นว่า ไม่น่าจะเกิดจากปัญหา สนช. สวมหมวกหลายใบ เพราะยังสามารถบริหารจัดการเวลาได้
//////////////////
จับตากลุ่มหนุน-ค้าน สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่

วันศุกร์นี้ อาจมีความชัดเจนมากขึ้นว่า โรงไฟฟ้าถ่านหิน จะเกิดขึ้นในจังหวัดกระบี่ และ สงขลา หรือไม่ เพราะจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ท่ามกลางการเคลื่อนไหวทั้งกลุ่มสนับสนุน และ คัดค้าน

เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน และเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ หรือ เปอร์มา ตามาส เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร วันที่ 16 ก.พ.นี้ เพื่อคัดค้านและรอฟังผลการพิจารณาของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 17 ก.พ.ว่า จะเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งใน อ.เทพา จ.สงขลา และ จ.กระบี่ หรือไม่ หลังนายกรัฐมนตรี สั่งชะลอโครงการตั้งแต่ปลายปี 2558

ขณะที่กลุ่มสนับสนุน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายอำเภอเหนือคลอง เมื่อวันที่ 9 ก.พ. เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างฯ เนื่องจากเป็นความมั่นคงของประเทศขณะที่นายธีระพงษ์ สันติภพ นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เสนอว่า ภาครัฐ อาจต้องทำผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA ) อีกครั้ง และเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายสะท้อนข้อมูลและเห็นว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ตามแผนงานเคร่งครัด รวมถึง การลำเลียงขนส่งถ่านหิน

ขณะที่กระทรวงพลังงาน ระบุว่า พร้อมสนับสนุนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน โดยมีนโยบายรับซื้อในรูปแบบสัญญาเสถียร และ แบบสัญญาณเสถียรตามช่วงเวลา

ด้านนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า วันที่ 17 ก.พ. จะได้คำตอบว่า จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อหรือไม่

สภาพธรรมชาติที่สวยงามใน จ.กระบี่ ซึ่งเป็นจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว สร้างรายได้เป็นอันดับ 5 ในประเทศ จนนำไปสู่การทำปฏิญญา Krabi Goes Green ระหว่างภาครัฐ และภาคีเอกชน ผลักดันให้
กระบี่ เป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการเกือบ 50 ราย สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เองจากพลังงานหมุนเวียน และภาครัฐเคยสนับสนุนจริงจังตั้งแต่ปี 2555 แต่เมื่อภาครัฐ พยายาม
เดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินครั้งนี้ จึงทำให้หลายกลุ่ม ออกมาคัดค้าน

สำหรับโครงการไฟฟ้าถ่านหิน นายกรัฐมนตรี สั่งระงับตั้งแต่ปลายปี 2558 จากนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการไตรภาคีศึกษาผลกระทบและแนวทางการใช้พลังงานทดแทนแต่เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า ภาครัฐไม่ได้ข้อสรุปว่า จะตัดสินใจอย่างไร ขณะที่ผู้ประกอบการยืนยันว่า กระบี่มีศักยภาพมากพอในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และเกินขีดความสามารถของการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ หากภาครัฐสนับสนุนจริงจัง
//////////
กลุ่มค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ชวนคนกรุงฯ บุกทำเนียบ 17 ก.พ.

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.นายประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ประสิทธิ์ชัย หนูนวล” แสดงความเห็นหลังมีการนัดเดินขบวนเคลื่อนไหวแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ โดยนาบประสิทธิชัยระบุว่า วันนี้คนมารวมกันอย่างต่ำ 3,500 คน นำโดย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ประธานหอการค้าจังหวัดกระบี่ ผู้ประกอบการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม สมาคมชาวประมงพื้นบ้าน ฯลฯ ในแถลงการณ์เริ่มต้นและลงท้ายมีมติว่า 1.วันที่ 17 พร้อมกันที่ทำเนียบรัฐบาล 2.ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปกรุงเทพได้ให้มารวมตัวกันที่ศาลากลาง 3.เราจะเดินหน้ายุติโรงไฟฟ้าถ่านหินจนสำเร็จไม่ว่าจะเผชิญความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม ขอพี่น้อง

ทุกคนโปรดเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจตามที่ได้ตกลงนัดหมายกันไว้ เรียนไปยังพี่น้อง กทม.และพี่น้องทั่วประเทศ เครือข่ายปกป้องอันดามันยังยืนยันคำเดิม ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน 17 กพ.ที่ทำเนียบ

รัฐบาล ด้วยความเคารพ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน
----------
เครือข่ายปกป้องอันดามันเดินหน้าค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไปทำเนียบ 17 ก.พ.นี้

กระบี่ - กลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ในจังหวัดกระบี่ กว่า 600 คน รวมตัวกันที่ลานประติมากรรมปูดำ เมืองกระบี่ พร้อมเดินขบวนแสดงพลังคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน เชิญชวนประชาชนร่วมเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันให้รัฐบาลยกเลิกโครงการ 17 ก.พ.นี้

 เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (13 ก.พ.) ที่บริเวณปติมากรรมปูดำ ริมเขื่อนหน้าเมืองกระบี่ จ.กระบี่ กลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน จังหวัดกระบี่ นำโดยตัวแทนภาคธุรกิจท่องเที่ยว และภาคประชาชน ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หอการค้าจังหวัดกระบี่ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 11 องค์กร รวมจำนวนประมาณ 600 คน รวมตัวกันชุมนุม และอ่านแถลงการณ์แสดงเจตนารมณ์คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 800 เมกะวัตต์ ที่จะมีโครงการก่อสร้างขึ้นที่บ้านคลอรั้ว ต.คลองขนาน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่

 เครือข่ายปกป้องอันดามันเดินหน้าค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไปทำเนียบ 17 ก.พ.นี้

        ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรี สั่งชะลอโครงการ จากนั้นร่วมเดินขบวนจากลานประติมากรรมปูดำ ผ่านย่านการค้าตัวเมืองกระบี่ มุ่งหน้าไปที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ เพื่อรณรงค์คัดค้านโครงการสร้างโรงไฟฟ้า และโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเหนือคลอง ทั้งนี้ หลังเคลื่อนขบวน นายอมฤต ศิริพรจุฑากุล ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.กระบี่ ในฐานะตัวแทนของเครือข่ายปกป้องอันดามันจกถ่านหิน ได้อ่านแถลงการณ์


        ในวันนี้ย่อมประจักษ์ชัดแก่สายตาชาวโลกว่า เราไม่ต้องการให้จังหวัดกระบี่ ถูกทำลายจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน เราต้องการรักษากระบี่ให้เป็นแหล่งอาหาร การเกษตรการ ท่องเที่ยวสืบไป เป็น
มรดกสำคัญแก่ลูกหลานซึ่งเป็นภาระของคนรุ่นเราที่พึงกระทำ พลังของคนกระบี่เป็นพลังบริสุทธิ์ไม่มีผู้ใดถูกว่าจ้างมาด้วยวิธีการอื่นใด ทุกคนมาด้วยหัวใจแห่งการปกป้อง เราจะร่วมใจกันขจัดภัยคุกคามจากโรงไฟฟ้าถ่านหินจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็ตามเพราะความหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะนั่นคือ การฆ่าประชาชนทั้งอันดามัน


        ดังนั้น เพื่อให้รัฐบาลรับทราบข่าวชาวกระบี่ ไม่มีวันยอมก้มหัวให้แก่การเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ เราจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล และจะอยู่ที่นั่นจนกว่ารัฐบาลจะยกเลิก และขอเชิญทุกคนในที่นี้ รวมถึงทุกคนในประเทศไทยรวมตัวพร้อมกันที่ทำเนียบรัฐบาลเวลา 10.00 น เราจะยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินกระบี่และทะเลอันดามัน เราจะไม่ยอมให้โรงไฟฟ้าถ่านหินมาทำลายชีวิตผู้คนจนพังยับเยิน

        ด้าน นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมา จังหวัดกระบี่ มีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวปีละกว่า 8 หมื่นล้านบาท รายได้จากภาคการเกษตร ปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าเมื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบทั้ง 2 ภาคส่วน และสุขภาพของประชาชนรอบโรงไฟฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะนำความเห็นของภาคเอกชนเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน และหันมาสร้างโรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งพลังงานทางเลือกในพื้นที่ จ.กระบี่ มีเพียงพอที่จะผลิตเอง ใช้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาถ่านหิน

ไม่มีความคิดเห็น: