PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขี้กลากเชื้อราขึ้นหัว"จ่าประสิทธิ์"?

30 ส.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ การประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาว่า กรรมาธิการเสียงข้างน้อยและผู้สงวนคำแปรญัตติยังคงอภิปรายอย่างดุเดือด ท่ามกลางการประท้วงเป็นระยะของฝ่ายรัฐบาล และสมาชิกรัฐสภาที่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาทำหน้าที่ ประธานในที่ประชุม
รายงานระบุว่า จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ครั้งนี้ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ นั่งเกาเชื้อราบนหัวอย่างสบายอารมณ์ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีสาเหตุมาจากการที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ เคยยกรองเท้ามาชู้เล่นในห้องประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ที่มา : เวป แนวหน้า 30 สิงหาคม 2556

คิม จอง อึน สั่งประหารอดีตแฟนสาว-สมาชิกวงออเคสตรา ฐานเผยแพร่สื่อลามก

นาย คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือสั่งประหาร อดีตแฟนสาวและเพื่อนร่วมวงร่วมทั้งสิ้น 12 คน ฐานเผยแพร่สื่อลามกอนาจาร 
           วันนี้(30ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อดีตแฟนสาวของผู้นำเกาหลีเหนือนาย คิม จอง อึน เป็นหนึ่งในสิบสองคนที่ถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  หลังจากทำผิดกฎหมายของประเทศโดยการเผยแพร่สื่อลามกอนาจาร


           หนังสือพิมพ์เกาหลีใต้  โชซอน อิลโบ ระบุว่า นักร้องสาว ฮยอน ซอง วอล  พร้อมกับสมาชิกวงออเคสตราคนอื่นอีก 11 รายถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ในโทษฐานฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านสื่อลามกอนาจารและถูกตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการยิงเป้า 3 วันให้หลังจากที่ถูกจับกุมตัว




              โดยผู้ที่ถูกตัดสินให้ต้องโทษประหารชีวิตทั้ง 12 คนนั้นเป็นสมาชิกในวงออเคสตรา อุนฮาซู   โดยถูกกล่าวหาว่าได้เผยแพร่ภาพวีดีโอที่พวกเขาได้มีเพศสัมพันธ์กันและนำออกไปจำหน่ายไกลถึงประเทศจีน   ซึ่งระหว่างการประหารชีวิต ครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายนั้น ได้ถูกบังคับให้ต้องดูเหตุการณ์ตอนประหาร จากนั้นครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดก็จะถูกส่งตัวไปยังแคมป์นักโทษต่อไป








                   ทั้งนี้ คิม จอง อึน นั้นเคยคบกับ ฮยอน ซอง วอล เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบัน โดยเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่าง คิม จอง อึนและ ฮยอน ซอง วอล นั้นต้องยุติลงเนื่องจากพ่อของคิม จอง อึน นั้นเข้ามาขัดขวางความรักของทั้งคู่  ซึ่งหลังจากนั้น คิม จอง อึน ก็ได้พบรักกับภรรยาคนปัจจุบันนาง รี โซล จู ซึ่งเคยเป็นสมาชิกในวงออเคสตรา อุนฮาซู เช่นเดียวกัน   

"ตึงเครียดหนัก! ปูตินสั่งส่งเรือรบรัสเซีย 2 ลำมุ่งหน้า “ชายฝั่งซีเรีย”

"ตึงเครียดหนัก! ปูตินสั่งส่งเรือรบรัสเซีย 2 ลำมุ่งหน้า “ชายฝั่งซีเรีย” คาดช่วยปกป้อง “รบ.อัสซาด” จากการโจมตีของตะวันตก"..

 เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รัฐบาลรัสเซีย มหามิตรของซีเรีย ตัดสินใจส่งเรือรบ 2 ลำเข้าสู่น่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกแล้ว ส่งสัญญาณชัดพร้อมปกป้องซีเรียจากการรุกราน
ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรตะวันตกที่เตรียมฉวยโอกาสโจมตีซีเรียโดยใช้เหตุผลว่า รัฐบาลซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนของตัวเอง

รายงานของสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ในวันพฤหัสบดี (29) ระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สั่งการให้กองทัพแดนหมีขาวส่งเรือรบ 2 ลำมุ่งหน้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกแล้ว ในขณะที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตกกำลังเตรียมเปิดปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย หนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลาง

รายงานของอินเตอร์แฟกซ์ซึ่งอ้างแหล่งข่าวในกองทัพรัสเซียระบุด้วยว่า ทางกองทัพได้รับคำสั่งให้ส่งเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ และเรือรบต่อต้านเรือดำน้ำเข้าไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก ไม่ไกลจากชายฝั่งของซีเรียแล้ว และคาดว่า เรือรบทั้งสองลำของรัสเซียจะเดินทางถึงพื้นที่เป้าหมายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

อย่างไรก็ดี กองทัพเรือรัสเซียออกมาแถลงในเวลาต่อมาว่า การส่งเรือรบทั้งสองลำเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังทางเรือตามปกติเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในซีเรีย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซีย มีขึ้นในจังหวะเวลาเดียวกับที่ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ โอลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส อดีตประเทศเมืองแม่ของซีเรียออกโรงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกต่อปัญหาซีเรีย โดยใช้ “สันติวิธี” และแนวทางทางการเมือง

ท่าทีของโอลลองด์ดูจะสวนทางกับสหรัฐฯ อังกฤษ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ ที่ต่างเตรียมเปิดการโจมตีต่อซีเรียในเร็ววัน โดยไม่รอฟังแม้กระทั่งผลการตรวจสอบของทีมผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ
(ยูเอ็น) ว่าพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลซีเรียนำอาวุธเคมีมาใช้เข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่

ล่าสุดมีรายงานว่า สหรัฐฯและอังกฤษได้บีบให้องค์การสหประชาชาติสั่งถอนกำลังทีมตรวจสอบอาวุธเคมีที่นำโดย อาเก เซลล์สตรอม ผู้เชี่ยวชาญชาวสวีดิชออกจากซีเรียแล้ว ส่งผลให้ทีมตรวจสอบดังกล่าวซึ่งยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจในการค้นหาคำตอบในซีเรียต้องเร่งเดินทางกลับออกมาภายในช่วงเช้าวันเสาร์ (31) นี้

โดย บัน คี มุน เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นชาวเกาหลีใต้ เผยที่กรุงเวียนนาของออสเตรีย โดยระบุว่า เขาได้หารือกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯแล้วในวันพุธ (28) เกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย

ซึ่ง บัน ย้ำว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาปรารถนาจะให้ทีมตรวจสอบชุดดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ในซีเรียต่อไป แต่ปฏิเสธว่า การที่ทีมตรวจสอบฯต้องเร่งเดินทางออกจากซีเรียนั้นเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่ากองทัพอากาศสหราชอาณาจักรได้ส่งเครื่องบินขับไล่ “Typhoon” จำนวน 6 ลำเข้ามายังฐานทัพอากาศ “อะโครติรี” บนเกาะไซปรัสแล้ว แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมเมืองผู้ดี ปฏิเสธว่า การส่งเครื่องบินขับไล่ดังกล่าวเข้ามายังไซปรัส เป็นเพียงการกระทำเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ” ในฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เท่านั้น โดยไม่ยอมตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า เตรียมใช้ไซปรัสที่อยู่ห่างจากชายฝั่งของซีเรียราว 200 กิโลเมตรเป็นฐานสำหรับการโจมตีซีเรียหรือไม่

http://astv.mobi/Ai6McX3

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นิพิฏฐ์ ท้า ตำรวจจับพรุ่งนี้ยันไม่ใช่แกนนำม็อบยาง

ส.ส.พัทลุง ปชป.ท้าตำรวจภูธรภาค 8 ขี้ข้าอำนาจรัฐจับตัวพรุ่งนี้ ยันไม่ใช่แกนนำปั่นม็อบสวนยาง แต่ทำหน้าที่ผู้แทนฯ เยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ลั่นจับมั่วฟ้องกลับแน่

วันนี้ (29 ส.ค.56) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าตำรวจภูธรภาค 8 เตรียมจะออกหมายจับตน และ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาเป็นแกนนำการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรสวนยาง ว่าไม่มีปัญหา ตนขอท้าให้จับได้เลย เพราะพรุ่งนี้ตอนเที่ยง ตนได้ลาการประชุมสภา เพื่อจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ชุมนุม และผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ที่ถูกดำเนินคดี หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการจะจับตนก็สามารถไปรอได้ที่ชุมนุม รับรองไม่มีหนี ทั้งนี้ ยืนยันว่าการไปที่ชุมนุมทุกครั้ง พรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายให้เป็นตัวแทนไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกับกลุ่มเกษตรกรเท่านั้น ไม่เคยขึ้นเวทีปลุกปั่น หรือวางแผนอยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด เป็นการทำอย่างตรงไปตรงมาไม่มีหลบซ่อน และเป็นหน้าที่ของผู้แทนที่ต้องไปดูแลความเดือดร้อนของประชาชน

“การจะออกหมายจับเป็นเรื่องที่ตลกมาก ไม่รู้จับด้วยข้อหาอะไร หรือมีประเด็นการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แต่กฎหมายก็คือกฎหมายผมไม่กลัว ถ้าไม่ทำเกินสมควรกว่าเหตุก็ยินดีให้จับกุม และจะขอสละเอกสิทธิ์ ส.ส.ยอมมอบตัวโดยดี เพราะผมไม่กลัวเรื่องนี้ เพราะทำงานกับศาลมาตลอดชีวิต แต่ขอเตือนว่าถ้าเอาหลักฐานมั่วๆ มาปรักปรำใส่ร้าย เจอผมเล่นงานกลับแน่นอน” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

ที่มา : เวปผู้จัดการ


สภาแจกเบี้ยยังชีพถาวร1.5หมื่นต่อเดือนให้อดีตสมาชิก๓พันคน

รัฐสภาไทย แจกเบี้ยยังชีพแบบถาวร อดีตสมาชิกรัฐสภา เดือนละ 1.5 หมื่นบาท หลังระเบียบกองทุน ยังชีพสมาชิกรัฐสภาไทย มีผลบังคับใช้ ดีเดย์งวดแรก 31 ต.ค.นี้ มีเข้าข่าย กว่า 3 พันคน 

วันที่ 29 ส.ค. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการกิจการสภา สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่อดีตสมาชิกรัฐสภาเดือนละ 15,000 บาท ตามระเบียบกองทุนเบี้ยยังชีพสมาชิกรัฐสภาว่า ขอให้อดีตสมาชิกรัฐสภาไทย ที่มีอยู่กว่า 3 พันกว่าคน มาลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ ในการรับเงินเบี้ยเลี้ยงยังชีพเดือนละ 15,000 บาทต่อเดือน ก่อนที่จะมีการจ่ายงวดแรกในวันที่ 31 ตุลาคมนี้

มิเช่นนั้น อาจเสียสิทธิ์ได้ โดยขณะนี้ มีผู้ลงทะเบียนแล้วประมาณ 300 คน จากที่เข้าข่ายกว่า 3 พันคนเศษ โดยแหล่งที่มาของกองทุนนี้ มาจากรัฐบาลและจากเงินเดือนของสมาชิกรัฐสภา ที่เดิมต้องเก็บเข้ากองทุนเดือนละ 500 บาท แต่จะเริ่มเก็บเดือนละ 3,000 บาท ในเดือนตุลาคมนี้ จากสมาชิกรัฐสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งถือว่าไม่เกิน 5 % ของเงินเดือนทั้งหมด


โดยจากการสอบถาม กรรมการกองทุนท่านหนึ่ง ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดเงื่อนไข ที่จะจ่ายให้กับอดีตสมาชิก โดยจะจ่ายให้กับอดีตสมาชิกรัฐสภาตลอดชีพ ซึ่งในกรณีนี้ จะรวมถึงผู้ที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอย่างถาวร แต่ไม่รวมถึงผู้ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร จะมีการพิจารณาประเด็นสำคัญหลายเรื่องในสัปดาห์หน้า ได้แก่การสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการเล่นพนันในรัฐสภา อุปกรณ์ไอแพดที่แจกสมาชิกไม่ได้มาตรฐาน การใช้ไอแพดดูรูปวาบหวิวในประชุมสภา จนไปถึงการคุกคามสื่อมวลชนที่ถ่ายรูปสมาชิกที่ใช้ไอแพดดูรูปวาบหวิว ตามที่ประธานชมรมช่างภาพการเมืองได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานสภาผู้แทน ราษฎร



โดย: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/366572

ข้าพเจ้ามีความฝัน / มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนีย

วาทะจุดประกาย: ข้าพเจ้ามีความฝัน / มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนีย



"I have a dream that my four little children will one day live in a nation where they will not be judged by the color of their skin but by the content of their character."
"ข้าพเจ้ามีความฝัน" ว่าในวันหนึ่ง ลูกเล็กๆ ของข้าพเจ้าทั้งสี่ จะอาศัยอยู่ในประเทศ ที่เขาจะไม่ถูกตัดสินด้วยสีผิวของเขา แต่ให้เขาถูกตัดสินด้วยเนื้อหาในความเป็นตัวตนของเขา"
--- มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนีย (Martin Luther King Jr.), 28 ส.ค. 1963

รุ่งอรุณแห่งปัญญา

แล้วครูคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง...การสอน
และท่านพูดว่า ไม่มีมนุษย์ใดอาจเปิดเผยสิ่งใดแก่เธอได้ นอกจากสิ่งที่ได้นอนซบเซาอยู่ก่อนแล้ว

ในขณะรุ่งอรุณแห่งปัญญาของเธอเอ
ครูผู้ยืนอยู่ภายใต้ร่มเงาโบสถ์ 
ในท่ามกลางสานุศิษย์ มิได้ให้ปัญญาของท่าน แต่ให้ความเชื่อมั่นและความรักแก่ศิษย์
ถ้าท่านเป็นปราชญ์อย่างแท้จริงแล้ว ท่านจะไม่นำเธอก้าวล่วงเข้าสู่เคหาสน์แห่งปัญญาของท่าน
แต่จะนำเธอไปสู่แทบธรณีแห่งดวงจิตของเธอเอง

นักดาราศาสตร์อาจกล่าวให้เธอฟัง ถึงความเข้าใจของเขาต่อท้องฟ้า แต่เขาก็ไม่อาจหยิบยกความเข้าใจอันนั้นให้แก่เธอได้

นักดนตรีอาจร้องทำนองเพลงทั้งหลาย อันมีอยู่ในห้วงเวหาให้เธอฟัง แต่เขาก็ไม่อาจให้โสตอันสดับจับทำนอง หรือสำเนียงอันร้องสะท้อนรับทำนองนั้นแก่เธอได้

ผู้ชำนาญทางคณิตศาสตร์อาจบอกเธอถึงมาตรการวัด และระบบการชั่งวัดทั้งหมดแก่เธอ
แต่เขาก็ไม่อาจนำเธอก้าวเลยไปจากนั้น

เพราะว่าการเห็นของบุคคลหนึ่ง
ไม่อาจให้ปีกแก่บุคคลอื่นขอยืมได้

และดังเช่นที่เธอแต่ละคนยืนโดดเดี่ยว
อยู่ในปัญญาของพระเป็นเจ้า
ก็จำเป็นที่เธอแต่ละคนจะต้องยืนอยู่เฉพาะตน
ในขณะเมื่อมีปัญญาหยั่งรู้ถึงพระองค์
และในปัญญาหยั่งรู้พื้นพิภพ

ปรัชญาชีวิต (The Prophet)
ประพันธ์โดย คาลิล ยิบราน (Khalil Gibran, 1923)
แปลและเรียบเรียงโดย ระวี ภาวิไล (2504)

ขอบคุณที่มา http://www.siamintelligence.com/teaching-philosophy-on-khalil-gibran/


เลือก ศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นตุลาการศาล รธน.แทน"วสันต์"

คณะกรรมการสรรหา ตุลาการศาล รธน. มีมติ 4 ใน 5 เสียง เลือก ศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นตุลาการศาล รธน. หลังถกร่วม 4 ชั่วโมงลงมติ 8 ครั้ง

ดร.ทวีเกียรติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ แทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ โดยเป็นการประชุมเลือกตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญประเภทผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ โดยจากนี้จะส่งมติให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไป

การประชุมใช้วิธีการลงมติลับ จากรายชื่อผู้สมัครรวมทั้งสิ้น 9 คน หลังมีการเปิดรับสมัครกันไปเมื่อ 6-13 สิงหาคมที่ผ่านมา

สำหรับนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อายุ 60 ปี แกนนำกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ที่ชูธงต้านผูกขาดอำนาจทางการเมือง-สังคมเบ็ดเสร็จ ประกาศจุดยืนเชิดชู คุณค่าสถาบันกษัตริย์ ขจัดเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ลบล้างความเชื่อสูตรสำเร็จ “ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง”

วุฒิการศีกษา: ประถมศึกษาปีที่ ๑-มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ณ.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต (สาขาอาญา) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เนติบัณฑิตไทย, Master of Law (LL.M., University of Pennsylvania) ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงทางกฎหมายอาญา (D.E.A. de sciences criminelles) และปริญญาเอกเกียรตินิยมทางกฎหมายอาญา (Doctorat en droit pe′nal mention tre′s honorable, I′Universite de Nancy II)


รัฐบาลเอาระเบิดใส่มือลิง



รัฐบาลเอาระเบิดใส่มือลิง
“สิ่งประเทศตะวันตกกำลังทำกับซีเรียและพี่น้องมุสลิม เป็นอันตรายมาก เหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง” เป็นวลีเด็ดของนาย ดีมิตรี โรกาซิน รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าวถึงสิ่งประเทศตะวันตกนำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จ่อจะถล่มซีเรียเพื่อลงโทษฝ่ายประธานาธิบดี บาซาร์ อัล อัสซาด โทษฐานที่ใช้อาวุธเคมีฆ่าทำลายล้างประชาชนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา

โฆษกประจำทำเนียบขาวแถลงว่า “มีหลักฐานแน่ชัดว่า รัฐบาลซีเรีย ใช้อาวุธเคมีฆ่าทำลายล้างประชาชน” อเมริกาพร้อมจะแฉหลักฐานทั้งหมดให้ชาวโลกได้ทราบถึงความเลวร้ายของการใช้อาวุธเคมี ทางด้านรัฐบาลซีเรียก็ออกมาตอบโต้ว่า อเมริกาโกหกอยู่ในกมลสันดาน พิสูจน์ได้จากการโกหกว่ามีอาวุธเคมี มีอาวุธนิวเคลียร์ ในอีรักเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างพี่น้องมุสลิม

รัสเซียผู้หนุนหลังนายอัสซาดกล่าวว่า พันธมิตรตะวันตก ไม่ควรด่วนสรุปว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมีครั้งใหญ่นี้ จนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัดจากยูเอ็น ในการสนทนาโทรศัพท์สายตรงกับนายเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ ประธานาธิบดี วลาดีเมียร์ ปูติน ยังเตือนว่าหากกลุ่มพันธมิตรตะวันตก บุ่มบ่ามแทรกแซงทางทหารในซีเรีย ก่อนที่จะได้หลักฐานแน่ชัดจากยูเอ็น ก็จะพบกับ “ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย” เป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซียกับจีนซึ่งเป็น 2 ใน 5 สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้สิทธิ์ยับยั้ง ( วีโต้ ) มติของที่ประชุมเมื่อต้องการคว่ำบาตรหรือประณามรัฐบาลซีเรียแทบทุกครั้ง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีของสหประชาชาติ สามารถเดินทางเข้าไปยังจุดที่เกิดการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 ศพได้แล้ว หลังถูกสไนเปอร์ลึกลับดักซุ่มยิง นายฟาร์ฮัน ฮัค โฆษกยูเอ็น แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า คณะผู้ตรวจสอบด้านอาวุธเคมีของยูเอ็น 8 คน นำโดยนายอาเค เซลสตรอม สามารถเดินทางเข้าไปยังเมืองโมอาดามิเยต อัล-ชาม ชานกรุงดามัสกัส ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 1,300 ศพได้แล้ว โดยทีมงานกระจายกำลังกันเก็บตัวอย่าง รวมถึงพูดคุยกับผู้ป่วย และคณะแพทย์ที่ดูแลบางส่วนอย่างใกล้ชิด

ในขณะที่รอผลรายงานอย่างเป็นทางการจากคณะผู้ตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของยูเอน สงครามน้ำลายก็เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายต่อต้านกับรัฐบาลซีเรีย ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ทำให้เห็นว่า สงครามกลางเมืองในซีเรีย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในแล้วนับแสนๆคน มีผู้พลัดถิ่นผู้ลี้ภัยสงครามไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลายล้านคนนั้น ผู้สูญเสียอย่างแท้จริงคือซีเรีย แต่ผู้ที่ราดน้ำมันเข้ากองเพลิงทำลายล้างชาติเผ่าพันธุ์ซีเรีย คือ บรรดามหาอำนาจต่างๆที่ให้ท้ายหนุนหลังทั้งฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายต่อต้าน

อังกฤษบอกว่า ไม่อาจนิ่งดูดายต่อการใช้อาวุธสงครามอันเลวร้ายประชาชนซีเรียได้ ฝรั่งเศสบอกว่าผู้กระทำความผิดใช้อาวุธเคมีอันชั่วร้ายต้องได้รับการลงโทษ อเมริกาบอกว่ามีหลักฐานว่าฝ่ายรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีฆ่าประชาชน รัฐบาลซีเรียด่ากลับว่าอเมริกาโกหกหลอกลวงตลอดเวลา ดูเรื่องโกหกว่ามีอาวุธเคมี มีอาวุธนิวเคลียร์ในอีรักเป็นตัวอย่างซิ รัสเซียบอกอย่ากล่าวใครโดยไม่มีหลักฐาน

แต่วลีเด็ดที่ถูกใจคือ คำพูดของรองนายกรัฐมนตรีรัสเซียที่ว่า “สิ่งที่ตะวันตกกำลังกระทำต่อซีเรียเป็นอันตรายมากเหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง” วลีเด็ดประโยคนี้ใช้ได้กับประเทศที่มีเผด็จการพลเรือนอย่างไทยแลนด์ ซึ่งกำลังทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐตำรวจ

รัฐบาลใช้ตำรวจปราบปรามประชาชน ปรามปรามทำร้ายเข่นฆ่าฝ่ายผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งเป็นอันตรายมาก เหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง เพราะสันดานของตำรวจมักใช้อำนาจใช้ความโหดร้ายเกินขอบเขต เหมือนกับยุคทมิฬอัศวินแหวนเพชร ยุคที่ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ตำรวจทำไม่ได้ ยุคที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกสังหารไปถึง 27 คน รัฐบาลนี้กำลังให้ระเบิดอยู่มือลิงอีกครั้งหนึ่ง เห็นได้จากการปรามปรามทำร้ายผู้ชุมชุมทางการเมืองที่เรียกกันว่าม็อบเสธฯอ้าย การใช้ตำรวจสี่หมื่นนายปิดถนน ปิดล้อมสภาปิดล้อมทำเนียบในวันที่สภาผู้แทนฯพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม การส่งกำลังตำรวจปราบจลาจลเข้าคุ้มกันประธานสภา การตายอย่างมีเงื่อนงำของนายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร และ ล่าสุดลิงที่มีระเบิดอยู่ในมือกำลังจะทำให้ประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งมีทีท่าจะเริ่มขึ้นที่สี่แยกบ้านตูล หนองหงษ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ลิงที่มีระเบิดอยู่ในมือสร้างเงื่อนไขขัดแย้ง สร้างความตึงเครียตขึ้นมา จากการใช้อำนาจอันเหี้ยมโหดบ้าคลั่ง เข้าทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องราคายางพาราตกต่ำ แต่ลิงที่ถือระเบิดอยู่ในมือ กลับมองเป็นเรื่องการเมือง กล่าวหาประชาชนว่าเป็นกลุ่มหน้ากากขาว วางแผนล้มล้างรัฐบาล ใช้กำลังป่าเถื่อนเข้ากลุ่มรุมทำร้าย จนทำให้เหตุการณ์บานปลาย กลายเป็นความตึงเครียดโกรธแค้น ขยายตัวกว้างขวางออกไปจากการชุมอย่างสงบเพียงจุดเดียว เป็นปิดเส้นทางรถยนต์ ปิดทางเดินรถรถไฟ

ด้วยความจงใจที่จะลงโทษทำร้ายคนใต้ เพราะเป็นภาคเดียวของประเทศที่ปฏิเสธระบอบทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แทนที่จะเจรจากันด้วยเหตุด้วยผลรัฐบาลยั่วยุสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง เพิ่มความโกรธแค้นให้กับประชาชน โดยส่งคนไร้ราคาอย่างนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แรมบ้าแห่งอีสานเป็นตัวแทนรัฐบาลไปเจรจากับผู้ชุมนุม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า แรมบ้าคนนี้เป็นที่เกลียดชังของคนใต้ เพราะพฤติกรรมชั่วทรามที่มันด่าประณาม และขู่จะแขวนคอประธานองค์มนตรี พล.เอกเปรม ติณสุลานนท์ และ ความชั่วร้ายของมันที่ถืออาวุธสงครามขึ้นมาโชว์ในการชุมนุมคนเสื้อแดง

นอกจากการกระทำที่เป็นการดูหมิ่น เยาะเย้ยผู้ชุมนุม ด้วยการส่งจำเลยคดีก่อการร้ายไปเป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจาแล้ว รัฐบาลยังยั่วยุโดยการส่งกำลังเข้าโอบล้อมผู้ชุมนุม แจกใบปลิวโจมตีผู้ชุมนุม ส่งกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้าไปสร้างความแตกแยกในหมู่ผู้ชุมนุม ให้ผู้ว่าฯซึ่งเคยใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งสั่งให้ตำรวจสลายฝูงชน รวมทั้งขอหมายศาลจับกุมผู้ชุมนุ

การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงของนักการเมืองฟากรัฐบาลออกมาเป็นระบบ นายกรัฐมนตรีแทนที่จะให้เหตุผลในการเจราจา กลับออกมาให้ข้อมูลที่เหมือนกับการยั่วยุว่า ผู้ชุมนุมชาวสวนยางพารา “ขอหนักไป” คำอธิบายของนายกฯอ้างว่า ต้องอิงราคาตลาดโลก ต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาด “และที่สำคัญปริมาณการส่งออกของเรามีน้อย ไม่มีอำนาจต่อรองราคาในตลาดโลก” นายกพูดออกมาโดยไม่รู้ตามประสาของเธอ หรือเธอแกล้งยั่วยุ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ประเทศไทยส่งยางออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตลอดเวลาสิบกว่าปี ส่งออกมากกว่าอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามกว่า 31 เปอร์เซ็นต์ของยางพาราที่เข้าสู่ตลาดโลกไปจากประเทศไทย

รัฐบาลอ้างกลไกตลาด อ้างราคาตลาด ราวกับลืมไปว่า ตัวเองรับซื้อข้าวจากชาวนาแพงกว่าราคาในตลาดโลกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ รัฐบาลใช้เงินกับโครงการจำนำข้าวที่อ้างว่าพื่อช่วยเหลือชาวนาไปกว่าหกแสนล้านบาท แต่เงินตกถึงมือเกษตรกรจริงๆไม่กี่แสนล้าน ข้าวที่ซื้อมาเก็บไว้ล้นโกดังกว่าสิบแปดล้านตัน กลายเป็นข้าวเน่า ข้าวเสียก็มาก แต่ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เงินแทรกแซงราคายางเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยาง เพียงสองหมื่นล้านบาท ซื้อข้าวมาตุนไว้มีแต่รอวันเน่าวันเสีย ยางพาราไม่มีวันเสีย แต่รัฐบาลไม่ยอมแทรกแซงซื้อมาเก็บกักไว้ เพื่อเก็งราคาตลาด

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะมองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเห็นรัฐบาลมีสองมาตรฐาน กลั่นแกล้งทำร้ายประชาชนชาวใต้และเกษตรกรที่ปลูกยางพารา ด้วยความตั้งใจจะลงโทษที่คนใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย โดยการเอาระเบิดไปใส่ในมือลิง

สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลพึงสังวรไว้คือ ความรุนแรง การใช้กำลังปราบปรามอันเหี้ยมโหด รังแต่จะทำให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองยากที่จะแก้ไข เหตุการณ์ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส กับการยิงอาวุธหนักเข้าถล่มมัสยิสครือเซะในปี 2547 น่าจะเป็นบทเรียนแก่รัฐบาลได้ดีว่าการการกำลังปราบปราบ การเอาระเบิดไปไว้ในมือลิง มีแต่จะสร้างโกรธแค้น และทำให้ปัญหาบานปลายไปจนไม่สามารถแก้ไขได้ ลองย้อนกลับไปดูการปรามปรามผู้ต้องสงสัยว่า เป็นแนวร่วมให้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่จังหวัดพัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ด้วยการจับใส่เฮลิคอปเตอร์แล้วโยนในภูเขา เผาในถังแดงเมื่อสี่สิบปีก่อน ซึ่งเป็นบทเรียนได้ว่า “ยิ่งกดยิ่งเกิด ยิ่งปราบยิ่งมาก”

การกระทำต่อเกษตรกรชาวสวนยางพาราครั้งนี้ ยังไม่แน่ว่าจะจบลงอย่างไร แต่ทำนายได้ว่ารัฐบาลจะได้บทเรียนอันสาสม จากการเอาระเบิดไปใส่ในมือลิง

แนวหน้า

เมื่อ "กำนันอดีตพูโล" พูดถึง "บีอาร์เอ็น"


เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 29 สิงหาคม 2556 เวลา 07:36 น.
เขียนโดย
ไพศาล เสาเกลียว
ที่มา อิสรา
Print
แม้เหตุผลของการตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนอย่าง "บีอาร์เอ็น" ของวัยรุ่นที่ชายแดนใต้ในปัจจุบันจะถูกบอกเล่าผ่านสื่อมาแล้วหลายครั้ง แต่เรื่องราวลักษณะนี้ก็ยังน่าสนใจอยู่เสมอ
kamnan
          เพราะด้านหนึ่งย่อมเป็นดั่งกระจกสะท้อนให้ "รัฐบาลไทย" ทราบว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เหตุใดผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงยอมเสี่ยงตาย ยอมลำบาก เพื่อต่อสู้รับใช้อุดมการณ์หรือความเชื่อแบบนั้น
          และยิ่งเป็นประสบการณ์ของคนที่ผ่านยุคสมัยแห่งการต่อสู้ รวมทั้งเฝ้ามองสถานการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่าง มาหามะ เจ๊ะแหม กำนัน ต.กาลิซา อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้าร่วมกับขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนนาม "พูโล" ขณะที่ปัจจุบันเขากลับใจมาอยู่ข้างรัฐ พร้อมประกาศต่อสู้กับขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนทุกรูปแบบด้วยแล้ว...เรื่องราวของเขายิ่งน่าสนใจ 
          "ผมเคยเป็นทหารเกณฑ์มาก่อน เมื่อปลดประจำการณ์ก็กลับมาทำสวนกับครอบครัวที่บ้านกาเด็ง ต.กาลิซา ทำสวนได้ไม่นาน แกนนำพูโลระดับพื้นที่รายหนึ่งก็ชักชวนเข้าร่วมอุดมการณ์ ช่วงนั้นผมยังเป็นวัยรุ่น มีความอยากรู้อยากเห็น จึงตัดสินใจเข้าร่วม เหตุผลหลักๆ ก็เพื่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่มยกย่องสรรเสริญ ไปไหนมาไหนก็สามารถเบ่งได้"
          มาหามะ เล่าว่า เมื่อเข้าร่วมกับขบวนการฯแล้ว หัวหน้ากลุ่มได้สอนให้มีแนวคิดเรื่องรัฐปาตานี ปลุกจิตใจให้มีความรู้สึกต้องแย่งชิงแผ่นดินจากรัฐไทยกลับมาให้ได้ พร้อมทั้งให้ฝึกอาวุธเพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
          "ผมเคลื่อนไหวในแถบ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เคยลอบยิงตำรวจ ทหารมาแล้วหลายราย วิธีการก่อเหตุก็มีลักษณะคล้ายๆ กับแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบในปัจจุบัน"
          แต่แล้วการต่อสู้ของ มาหามะ ก็มาถึงจุดเปลี่ยน...
          "หลังจากผมใช้ชีวิตกับขบวนการนานกว่า 6 ปี ผมก็คิดว่านี่มันไม่ใช่ เพราะชีวิตผมช่วงนั้นต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ บางวันไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่ ชีวิตในขณะนั้นลำบากมากๆ ถูกทางการประกาศไล่ล่า ต้องหลบหนีอยู่ตลอดเวลา จึงรู้สึกว่าเข้าร่วมขบวนการแล้วไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเรา แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ"
          "กระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกสำนึกผิด คือเขาสั่งให้ผมไปยิงชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธและไม่มีทางต่อสู้ ผมก็ลงมือทำตามคำสั่ง แต่มารู้ทีหลังว่าเป้าหมายเป็นผู้บริสุทธิ์ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเสียใจมาก และตำหนิตนเองว่าทำไปได้อย่างไรทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเราเลย จากนั้นเมื่อมีคำสั่ง 66/23 (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23) ให้ผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐวางอาวุธเพื่อเข้าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ผมจึงตัดสินใจออกจากป่าเพื่อมอบตัว"
          ไม่ใช่แค่ล้างมือจากขบวนการฯเท่านั้น แต่ภายหลังออกจากป่า มาหามะ ได้เบนเข็มเข้าสู่การเมืองระดับท้องถิ่น กระทั่งได้ดำรงตำแหน่ง กำนัน ต.กาลิซา ซ้ำยังประกาศจุดยืนว่าจะต่อสู้กับขบวนการฯทุกรูปแบบด้วย
          "หลังจากมอบตัวผมได้ประกาศจุดยืนว่าถ้ากลุ่มแนวร่วมแบ่งแยกดินแดนมาก่อเหตุหรือผ่านตำบลที่ผมอาศัยอยู่ ผมจะขอสู้กับขบวนการฯจนสุดชีวิต"
          อดีตสมาชิกพูโล ยังกล่าวถึงกลุ่มบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นขบวนการหลักที่เคลื่อนไหวต่อสู้กับรัฐบาลไทยอยู่ในปัจจุบันว่า ในอดีตบีอาร์เอ็นเป็นกลุ่มเล็กๆ และไม่ค่อยมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพูโลเท่าใดนัก เพราะมีแนวคิดแตกต่างกันหลายอย่าง แต่สำหรับปัจจุบันดูเหมือนทั้ง 2 กลุ่มจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น
          "ฮัสซัน ตอยิบ (แกนนำคณะพูดคุยสันติภาพฝ่ายบีอาร์เอ็น) สมัยก่อนแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ปัจจุบันกลับมีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้สึกงงๆว่าทำไมต้องไปเจรจากับ ฮัสซัน ตอยิบ ด้วย ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่มีหลายมิติ แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะมีกลุ่มการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง"
          เขากล่าวอีกว่า แนวร่วมบีอาร์เอ็นในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนอง อยากรู้อยากเห็น จึงเข้าร่วมกับขบวนการฯ ยิ่งใครทำร้ายฝ่ายตรงข้ามหรือเจ้าหน้าที่รัฐได้ก็จะได้รับการยอมรับนับถือจากกลุ่มวัยรุ่นด้วยกัน ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนพูดถึง
          อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นเข้าร่วมขบวนการฯคือเรื่องยาเสพติด โดยขบวนการฯจะนำมาเป็นตัวล่อเพื่อดึงเยาวชนให้จำยอมเข้าร่วม
          "ประเด็นนี้ทำให้ผมคิดประกาศปราบยาเสพติดทุกชนิด โดยจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจปัสสาวะวัยรุ่นทุกคนในตำบล หากพบว่าปัสสาวะสีม่วง หรือมีสารเสพติดในร่างกายก็จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปบำบัดทันที"
          เขายังเสนอว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่จะปกป้องไม่ให้กลุ่มวัยรุ่นเข้าร่วมขบวนการฯ คือสถาบันครอบครัว โดยพ่อแม่ต้องเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานของตนอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่หลงผิดเข้าไปร่วมกับขบวนการฯ
          "ที่กาลิซาทุกวันนี้ประชาชนทุกกลุ่มร่วมมือกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำศาสนา และชาวบ้านทุกครัวเรือน เราได้ร่วมกันประกาศต่อสู้กับขบวนการก่อความไม่สงบ พวกเรารู้ดีว่าต้องยืนหยัด เพราะลุกขึ้นสู้แล้วจะถอยไม่ได้ ถ้าวันไหนเราถอยแค่ก้าวเดียววันนั้นเราจะพบกับความพ่ายแพ้ทันที"
         "ผมเคยถูกแนวร่วมก่อความไม่สงบดักยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนั้นคือผมเข้าไปห้ามคนที่จะเข้าร่วมกับขบวนการฯ ซึ่งเขาเป็นคนในตำบลใกล้เคียง ผมบอกว่าอย่าไปยุ่งเลย แต่เขาก็ไม่เชื่อ ผมจึงท้าว่าถ้าเข้าไปยุ่งเรามายิงกันเลยดีกว่า พอพูดจบผมก็ขับรถกลับบ้าน ปรากฏว่าระหว่างทางก็ถูกดักยิงจนได้รับบาดเจ็บที่แขน จังหวะนั้นผมชักปืนยิงสู้จนแนวร่วมล่าถอย ถ้าวันนั้นผมไม่สู้ป่านนี้คงตายไปแล้ว"
          มาหามะ กล่าวด้วยว่า ชาวบ้าน ต.กาลิซา ร่วมมือกันเป็นอย่างดี โดยทุกหมู่บ้านจะจัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ขึ้นมา ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐเดือนละ  20,000 บาท และเงินทั้งหมดจะมอบให้ชุด ชรบ.ไปบริหารจัดการกันเอง นำไปซื้อกาแฟหรืออาหารต่างๆ มากินร่วมกัน และจะมีการประชุมหารือกันแทบทุกเดือน เวลาประชุมจะมีชาวบ้านในตำบลแทบทุกหลังคาเรือน ซึ่งมีอยู่กว่า 1 พันคนเข้าร่วม
          "ผมเคยบอกกับผู้ใหญ่บ้านใน ต.กาลิซา ทุกหมู่บ้าน และ ชรบ.ทุกคนว่าใครแก้ปัญหาในหมู่บ้านไม่ได้ หรือปล่อยให้มีแนวร่วมเคลื่อนไหวในหมู่บ้านก็ควรเขียนใบลาออกจากตำแหน่ง เพราะยังมีอีกหลายคนที่เขาพร้อมจะทำหน้าที่และแก้ปัญหา"
          ท้ายสุดอดีตสมาชิกพูโลซึ่งปัจจุบันเป็นกำนัน ต.กาลิซา ได้ฝากข้อความไปถึงแนวร่วมก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่ว่า ขอให้เปลี่ยนใจกลับมาร่วมพัฒนาหมู่บ้านเหมือนคนอื่นๆ ดีกว่า เพราะนั่นคือหนทางสู่สันติภาพที่ดีที่สุด!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : มาหามะ เจ๊ะแหม ในเครื่องแบบกำนันเต็มยศ

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปูด "ส" คนทำสื่อดาวเทียมหอบ20ล.หนุนม็อบยาง

3 ส.ส.แดงจวก ปชป. โหนกระแสม็อบยางถล่มรัฐ บี้หยุดแทรกแซงชุมนุม ปูด คนทำสื่อดาวเทียมอักษรย่อ "ส." หอบ 20 ล้าน ร่วมกับ นักการเมือง "ส." หนุนม็อบ

ที่รัฐสภา นายก่อแก้ว พิกุลทอง พร้อมด้วย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงเรียกร้องถึงพรรคประชาธิปัตย์อย่านำการเมืองเข้าสู่การชุมนุม เรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

โดย นายก่อแก้ว กล่าวว่า ขณะนี้ชาวสวนยางพาราบางส่วนรับข้อเสนอของรัฐบาลที่จะประกันราคายางพาราอยู่ ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม แต่ชาวสวนยางบางส่วนไม่ยอมรับและจะปิดถนนเพิ่ม ทั้งที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา ซึ่งจะนำมาเทียบกับการแก้ปัญหาราคาข้าวไม่ได้ เนื่องจากยางพาราไม่ใช่สินค้าพรีเมียม สร้างความแตกต่างของสินค้าไม่ได้ จึงกำหนดราคาตลาดโลกเองไม่ได้ ตนก็เป็นลูกชาวสวนยางคนหนึ่งคิดว่าราคา 80 บาท ต่อกิโลกรัมอยู่ได้สบายๆ

ด้านนายวิภูแถลง กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ อ.ชะอวด พบว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการใช้ม็อบสวนยางโค่นรัฐบาล เห็นได้จากการที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายวิทยา แก้วภราดัย และนายอภิชาต การิกาญจน์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ขึ้นเวทีปราศรัยประกาศว่าอยู่เบื้องหน้าการชุมนุมครั้งนี้ ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง รัฐบาลจึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลสถานการณ์อย่าให้มีมือที่ 3 เพราะหากเลือดตกยางออกมีคนเสียชีวิตก็จะเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้พรรคประชาธิปัตย์หยุดพฤติกรรมดังกล่าวอย่าให้การเมืองเข้าไปแทรกการชุมนุมไม่เช่นนั้นจะจบลำบาก และทราบว่ามีการขนคนจากจังหวัดอื่นมาร่วมชุมนุม

ขณะที่นายวรชัย กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเดินแผนล้มรัฐบาลก็เดินไปแต่อย่าขวางรัฐบาลช่วยเหลือ ประชาชน ซึ่งขณะนี้มีคนทำสื่อดาวเทียมอักษรย่อ “ส.” หอบเงิน 20 ล้าน ร่วมกับนักการเมือง “ส.” ในการชุมนุมของทางภาคใต้ ซึ่งอยากให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมในสภาปฏิรูปการเมือง ใช้สภาแก้ปัญหาดีกว่าออกมาสู้นอกสภา


"อาลัย..วิสรรชนีย์ นาคร - จิราภรณ์ เจริญเดช"

วันที่ 27 สิงหาคม 2556 19:23

"อาลัย..วิสรรชนีย์ นาคร - จิราภรณ์ เจริญเดช"

จิราภรณ์ เจริญเดช อดีตบรรณาธิการเซ็คชั่นจุดประกาย

เมื่อปีที่แล้วมีโอกาสไปเยี่ยม "วิสรรชนีย์ นาคร" ที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสถานที่รักษาตัวเธอ นับตั้งแต่ย้ายจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โดยในวันนั้นผมได้ชวนคุณ"เตือนใจ ดีเทศน์"ไปเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจเธอด้วย
แม้ว่าวิสรรชนีย์ จะไม่สามารถพูดคุยกับผมและคุณเตือนใจ ดีเทศน์ได้ แต่ก็สามารถจะสื่อสารกันได้ด้วยการกระพริบตาส่งสัญญาณให้ญาติคนหนึ่งที่เฝ้าดูแลเธอเขียนเป็นข้อความบอกความหมายให้รับรู้ได้ ในวันนั้นคุณเตือนใจ ดีเทศน์ทำพิธีสวดมนต์ให้กับวิสรรชนีย์พร้อมทั้งชวนพูดคุย เท่าที่ผมสังเกตุดูแล้ว เธอเหมือนจะตื่นเต้นดีใจ ที่จู่ๆก็มีคนโผล่เข้าไปเยี่ยมสองคน โดยไม่ได้นัดหมายหรือบอกให้รู้ล่วงหน้าแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้วเราทั้งสองคนก็ไม่รู้หรอกว่าโรงพยาบาลนี้อยู่ที่ไหน แต่บังเอิ๊ญบังเอิญเจอคุณพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในท้องที่และเคยทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย เรื่องยากจึงกลายเป็นเรื่องง่าย
ถ้าจะบอกว่าการไปในครั้งนั้นเป็นการพบปะพูดคุยกับวิสรรชนีย์ครั้งสุดท้ายก็ย่อมได้ เพราะนับตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเธออีกเลย ได้แต่ติดตามข่าวคราวจากเพื่อนร่วมงานในกองจุดประกาย และเพื่อนนักเขียนต่างจังหวัดที่อยู่แถวๆ ภาคใต้เท่านั้น
จนกระทั่งในวันที่ 27 ส.ค.56 ก็ทราบว่า"วิสรรชนีย์ นาคร" จากไปอย่างสงบแล้ว ในช่วงเวลาบ่ายสองโมงที่ ร.พ.ท่าโรงช้าง จ.สุราษฎร์ธานี เป็นการจากไปชั่วนิรันดร์หลังจากที่ต้องเผชิญกับโรคเซลล์เสื่อม จนไม่สามารถจะขยับร่างกายได้นานร่วมๆ 5 ปี จะเคลื่อนไหวได้ก็มีเพียงการกระพริบตาเท่านั้น
"วิสรรชนีย์ นาคร" หรือ "จิราภรณ์ เจริญเดช" มีชื่อเล่นว่า "อ้น" แต่สำหรับเพื่อนนักเขียนร่วมยุคสมัยด้วยกันแล้วจะเรียกเธอ "วิสรรชนีย์" มากกว่า เป็นนักเขียนหญิงที่ร่วมก่อตั้งกลุ่ม "นาคร" ในยุคแรกๆ
"วิสรรชนีย์ นาคร" ถือได้ว่าเป็นนักเขียนหญิงที่มีความสามารถอีกคนหนึ่งในยุคนั้น เพราะเขียนหนังสือได้หลายรูปแบบ ทั้งเรื่องสั้น บทกวี สกู๊ปพิเศษ และเขียนบทสัมภาษณ์ นอกจากนี้แล้วเธอยังเป็นนักข่าวหญิงไฟแรงในยุคนั้นด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่เธอเป็นนักข่าวประจำที่หนังสือมาตุภูมิสมัยที่อยู่ใกล้กับตีนสะพานวันชาติ หรือใกล้กับร้านข้าวต้มเจ๊อ๋า แถวๆวัดตรีทศเทพ วิสุทธกษัตริย์นั่นแหละ ซึ่งหนังสือพิมพ์มาตุภูมิในยุคนั้นมีนักข่าวนักเขียนหนุ่มไฟแรงหลายคนประจำอยู่ที่นี่ เช่น สำราญ รอดเพชร และ คมทวน คันธนู รวมทั้งนักข่าวหญิงที่ชื่อวิสรรชนีย์ นาครด้วย
จำได้ว่า มีงานเขียนบทความของเธอชิ้นหนึ่งที่ทำเอาหนังสือพิมพ์มาตุภูมิที่เธอทำอยู่ต้องเดือดร้อน เพราะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์งานหนึ่งเกี่ยวกับทหารกล้าที่พลีชีพในสนามรบนั่นเอง แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี แม้งานข่าวช่วงนั้นของเธอจะลดความร้อนแรงบ้างก็ตาม
ในบรรดาเพื่อนนักเขียนที่สนิทคุ้นเคยกับวิสรรชนีย์อีกคนหนึ่งก็คือ โดม วุฒิชัย เหตุที่นักเขียนยุคนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะมีจุดพบปะกันนั่นแหละ โดยเฉพาะสำนักงานนิตยสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพราะเป็นยุคที่ไม่มีอีเมลใช้อย่างทุกวันนี้ จะส่งต้นฉบับก็ส่งได้ทางไปรษณีย์ หรือไม่ก็ต้องถือต้นฉบับไปส่งถึงสำนักงานเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้นแหละ ตามสำนักงานนิตยสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆ จึงกลายเป็นแหล่งพบปะของนักเขียนไปโดยปริยาย และที่แห่งหนึ่งก็คือสำนักงานนิตยสารหนุ่มสาวของพี่กรณ์ ไกรลาศ หรือปกรณ์ พงศ์วราภา ซึ่งนับเป็นนิตยสารคุณภาพ และเป็นแหล่งตีพิมพ์เรื่องสั้น,เรื่องแปล,บทกวี และสกู๊ปพิเศษของนักเขียนมือฉมังที่สร้างผลงานเข้มข้น มีนักเขียนหนุ่มเดินเข้าออกแทบทุกวัน และนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งก็คือ โดม วุฒิชัย ที่ทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการแห่งนี้ด้วย
เพื่อนนักเขียนร่วมยุคสมัยเดียวกันกับ "วิสรรชนีย์ นาคร"นั้น จะรู้จักกันด้วยการอ่านผลงานของกันและกันเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะมาสนิทสนมกันในเวลาต่อมา ซึ่งส่วนมากแล้วจะมีโอกาสพูดคุยกันเวลามาพบหน้าค่าตาตามสำนักงานนิตยสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆนั่นแหละ
“วิสรรชนีย์ นาคร” เป็นนครศรีธรรมราช จบปริญญาโท สาขาวารสารศาสตร์ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ และศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ระดับปริญญาเอก สาขาสื่อสารมวลชน แต่ก็ต้องหยุดเมื่อล้มป่วย
เริ่มมีผลงานปรากฏให้เห็นราวๆ ปี 2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์ทางการเมืองกำลังร้อนแรง ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้นักเขียนหนุ่มสาวตามรั้วมหาวิทยาลัย และกลุ่มวรรณกรรมตามภาคต่างๆ มีผลงานปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นอีกยุคหนึ่งที่บรรดานักเขียนหนุ่มสาวสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนภาพการเมืองเผด็จการและวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างเผ็ดร้อน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมชาติ โดยนักศึกษาถูกล้อมฆ่าจนเสียชีวิตจำนวนมาก และถูกคณะปฎิวัติยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้ผลงานเขียนของคนหนุ่มสาวชะงักงันไปชั่วคราว และหันไปทำงานด้านอื่นๆ เช่นเดียวกับวิสรรชนีย์ ซึ่งเธอเข้าทำงานอยู่ตามนิตยสารต่างๆหลายแห่ง เช่น จีเอ็ม,ไฮคลาส,กรวิก รวมทั้งนิตยสารลลนายุคหลังสุด นอกจากนี้ยังเขียนงานสารคดี เรื่องสั้นและนวนิยายด้วย...และในช่วงก่อนที่วิสรรชนีย์ นาครจะล้มป่วยนั้น เธอเป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์ผู้โฆษณาเซคชั่นจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สำหรับพิธีศพ "วิสรรชนีย์ นาคร" นั้น ตั้งศพอยู่ที่วัดหน้าพระบรมธาตุ ศาลาจตุคาม (ศาลาแรก) ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม กำหนดวันฌาปนกิจ วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม เวลา 16.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 081-958-7345 (คุณแม้ว) ณ เมรุวัดหน้าพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช
จากเพื่อนถึงเพื่อน...ขอให้เพื่อนจงเดินทางสู่ดินแดนแห่งความสุขอันนิรันดร์ที่วิจิตรตระการตาและจงอยู่ท่ามกลางนางฟ้าที่งดงาม!

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทบาทของสื่อมวลชนในการสร้างความเป็น "ประชาคมอาเซียน"


  2013-08-26 18:02:52  cri
ธงอาเซียน
กวี จงกิจถาวร ประธานเครือข่ายสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีป้า) สื่อมวลชนและคอลัมน์นิสอิสระ ให้สัมภาษณ์พิเศษ กับสถานีวิทยุ ซีอาร์ไอ เกี่ยวกับบทบาทของสื่อมวลชนในการสร้างประชาคมอาเซียน ที่ชาติสมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ อาเซียน ภายในปีค.ศ. 2015 นั่นก็หมายถึงว่า มีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงไม่ถึงสองปี

กวีเห็นว่า ประชาคมอาเซียน แม้จะมีความร่วมมือในมิติต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมแล้ว แต่ก็ไม่อาจรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสมบูรณ์ หากสื่อมวลชนของประเทศต่างๆ ยังไม่มีความร่วมมือหรือมีความเข้าใจในบทบาทและสถานะของอาเซียนได้อย่างถ่องแท้

" อาจพูดได้ว่า ตอนนี้ แม้สื่อในอาเซียนจะมีเสรีภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในอดีต โดยเฉพาะในพม่าที่มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ แต่ในภาพรวมก็ถือว่ายังน้อย การเป็นประชาคมอาเซียน สื่อมวลชนต้องมีความร่วมมือกันก่อน ถ้าสื่อไม่เขียนถึงการเป็นอาเซียน สังคมก็จะไม่เข้าใจ ถ้าเราย้อนดูการรวมกลุ่มสหภาพยุโรป จะเห็นว่า สื่อมีบทบาทสำคัญมากดังนั้น จากนี้ไปประเทศต่างๆต้องอาศัยสื่อมากขึ้นในการทำความเข้าใจเรื่องนี้ต่อคนในชาติ"

นอกเหนือจากประเด็นการสร้างความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชนแขนงต่างๆในประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันเองที่ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอแล้ว เมื่อลงรายละเอียดถึงสื่อมวลชนในประเทศไทย กวีเห็นว่า ยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่สะท้อนว่ายังมีข้อจำกัดในการทำหน้าที่ นั่นคือ ตัวของนักข่าวและบก.ยังไม่มีความเข้าใจมากเพียงพอต่อความเป็นไปของประเทศในอาเซียน ทั้งในแง่ ประวัติศาสตร์ ความมั่นคง ด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ส่วนใหญ่เวลาเขียนจะมองแต่มุมเศรษฐกิจ ทั้งๆที่ในทางปฏิบัติมีความร่วมมือที่กว้างขวางมากกว่านั้น ซึ่งอาเซียนจะอยู่ได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว แต่ยังมีความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรมและการเมืองด้วย โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานของการสร้างความมั่นคงให้กับอาเซียน คนในชาติต่างๆต้องมีความเข้าใจ สามารถชื่นชมในอัตลักษณ์และความแตกต่างระหว่างกันได้ แต่ในเวลานี้ภาพของอาเซียน ยังไม่ได้มีสิ่งที่ร่วมกันเพียงพอ เรามีแต่ธงและเพลงอาเซียนเท่านั้นที่พอจะเป็นสัญลักษณ์ได้ซึ่งก็ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง เแต่เรายังไม่มีอัตลักษณ์ร่วมของอาเซียน เรายังไม่มีสิ่งร่วมอื่น เช่น พาสปอร์ต หรือวีซ่าแบบเช็งเกนของยุโรป หรือสกุลเงินร่วม

กวีเห็นว่า ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาสื่อมวลชนไทย มีการนำเสนอข่าวคราวอาเซียน แต่มักจะเน้นเรื่องกระแสเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนอีกด้านจะเน้นความน่ากลัวของการรวมเป็นอาเซียน ในเชิงว่า ไทยจะเสียเปรียบในการแข่งขันหรือไม่ อย่างไร อีกด้านหนึ่งการเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่า ไทยจะตามหลังชาติอื่นเพราะพูดอังกฤษไม่คล่อง กลายเป็นว่า การเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน คือการรณรงค์ ให้ความสำคัญกับการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งในข้อเท็จจริง มีรายละเอียดด้านอื่นๆอีกมากกว่านั้น

" เวลารายงานจะเป็น ไทยได้อะไรจากอาเซียน ลาว สิงคโปร์จะได้อะไรจากอาเซียนฯลฯ แต่ไม่ได้รายงานในมุมว่า อาเชียน ในการเป็นองค์กรร่วม จะเป็นอย่างไรในภาพรวมจากนี้ไป หรือแต่ละประเทศจะต้องเสียสละอะไรเพื่อให้ความเป็นอาเซียนมั่นคงได้มากขึ้นประชาคมอาเซียนจะเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ ถ้าสื่อยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้มากเพียง พอ ไม่ได้หยิบยกสาระแท้ๆ ของอาเซียนมานำเสนอ การรวมของยุโรป แต่ละประเทศต้องเฉือนอธิปไตยของตนเพื่อเพิ่มอำนาจกำลังต่อรองในนามสหภาพยุโรป แต่ในอาเซียน ไม่มีทาง... แต่ละประเทศ ไม่ยอม ยังยืนยันที่จะสงวนประโยชน์ตัวเองให้มากที่สุด ดังนั้น สื่อมีหน้าที่จะต้องนำเสนอเนื้อหาต่างๆให้รอบด้านมากที่สุด"

กวีเห็นว่า จากนี้ไป ความหมายของประเทศ ที่วัดด้วยพรมแดนทางภูมิศาสตร์ จะลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นในประเทศหนึ่งของอาเซียน จะเป็นเรื่องที่ประเทศอื่นๆ ได้รับผลกระทบด้วย ไม่อาจแยกส่วน แบบโดดเดี่ยวได้อีกต่อไปนี่จึงเป็นสิ่งท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

" เขตแดนประเทศคือ คนที่อยู่ข้างหน้าเรา ข้างหลังและข้างๆ เรา แต่ไม่ใช่พรมแดนอีกต่อไป ถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราก็ไม่สามารถสานความสัมพันธ์ได้ราบรื่นต่อไปคนที่อยู่ข้างหน้าเรา อาจเป็นมาเลเซีย อาจเป็นลาว อาจเป็นพม่า กัมพูชา คำถามคือ เราเข้าใจทำความเข้าใจพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน "

ประธานซีป้ายังเห็นว่า ขณะนี้ รัฐบาลไทยมีสิ่งท้าทายใหม่ในการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบอาเซียน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กับจีน ญี่ปุ่น เดิมเราให้ความสำคัญกับสหรัฐมาก แต่ขณะนี้ สถานการณ์ในเวทีโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ญี่ปุ่นเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้น ยิ่งเมื่อมีปัจจัยเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ และความร่วมมือแบบทวิภาคีมาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งทำให้การกำหนดนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีความซับซ้อนมากขึ้น ไทยจะวางบทบาทอย่างไรระหว่าง จีนกับญี่ปุ่น เพราะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเขาเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลไทยในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังไม่ดีเพียงพอ เพราะ ยังไม่สามารถช่วงชิงบทบาทนำผลประโยชน์มาให้ชาติได้เต็มที่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศในเวลานี้

"น่าเสียดายที่ตอนนี้ ไทยไม่ได้มีบทบาทนำในอาเซียนเหมือนอดีต 46 ปีที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้เรามีบทบาทสำคัญหลายเรื่อง ทั้งความร่วมมือด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศของไทยเอง แต่สภาพที่เราเป็นอยู่ขณะนี้ ก็ยังมีโอกาส ในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียน ซึ่งเหลือเวลาอีก 20 เดือน ที่เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะไทยมีความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่ดีที่สุดกับจีนในเวลานี้"

กวีเห็นว่า ไทยต้องวางแนวทางสองบทบาทคือ ในความเป็นประเทศไทย และอีกบทบาทคือหนึ่งในสมาชิกอาเซียน เพราะต่อไปประชาคมอาเซียนจะถูกอ้างอิงเป็นหนึ่งเดียวที่มีประชากร 630 ล้านคน (แม้ในทางปฏิบัติอาจไม่เป็นอย่างนั้น)

ด้วยเหตุนี้ สื่อมวลชน ในฐานะหนึ่งในสถาบันหลักของสังคม ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เท่าทันและติดตามความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวในทุกมิติของสถานการณ์โลก เพื่อสามารถรายงานข้อมูลข่าวสารได้อย่าง ลึก รอบด้าน และทำให้ประชาชนผู้รับข่าวสารได้รับประโยชน์สูงสุด และจะเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อม นำพาประเทศ ก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนได้อย่างสมภาคภูมิ...ในที่สุด
โสภิต หวังวิวัฒนา เรียบเรียง

สิ้นแล้ว “วิสรรชนีย์ นาคร” นักเขียนสาวมากฝีมือจากไปในวันคล้ายวันเกิด

สิ้นแล้ว “วิสรรชนีย์ นาคร” นักเขียนสาวมากฝีมือจากไปในวันคล้ายวันเกิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 สิงหาคม 2556 18:07 น.

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “วิสรรชนีย์ นาคร” หรือ จิราภรณ์ เจริญเดช นักเขียนสาวผู้มากฝีมือ ซึ่งป่วยเป็นโรคเซลล์เสื่อมมานานกว่า 4 ปี เสียชีวิตลงแล้วเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (27 ส.ค.) ซึ่งตรงกับวันเกิดของเธอเอง สำหรับพิธีสวดอภิธรรมศพ จะจัดขึ้นที่วัดหน้าพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
      
       ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า “วิสรรชนีย์ นาคร” หรือ จิราภรณ์ เจริญเดช นักเขียนสาวผู้มากฝีมือ ซึ่งป่วยเป็นโรคเซลล์เสื่อมมานานกว่า 4 ปี และนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเรื่อยมา โดยไม่สามารถขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และสื่อสารกับผู้คนด้วยการกะพริบตาเท่านั้น ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (27 ส.ค.) ซึ่งตรงกับวันเกิดของเธอเอง ทั้งนี้ พิธีสวดอภิธรรมศพจะจัดขึ้นที่วัดหน้าพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
      
       ในวันเกิดเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา เธอเขียนกลอนขึ้นบทหนึ่ง โดยการบอกจดด้วยวิธีที่น้องสาวเอาแผ่นอักษรพยัญชนะ และสระมาชี้ให้เธอเลือก โดยแสดงการเลือกด้วยสายตาทีละตัวๆ จนประสมกันเป็นกลอนครบ 1 บท โดยไม่มีใครคาดคิดว่า 2 ปีถัดมา เธอจะจากลาโลกนี้ไปในวันคล้ายวันเกิดของเธอเช่นเดียวกัน
      
       “...จากใจพี่อ้น
      
        ซาบซึ้งในทุกมือที่มาช่วย
        ต่างร่วมด้วยดูแลพร้อมรักษา
        พยาบาลทุกคนกรุณา
        อยากเปล่งเสียงคำว่าแสนขอบคุณ
      
        จิราภรณ์ เจริญเดช
        ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๔...”