.....กรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีนิด้า ตามหมายจับที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ศาลออกหมายจับในข้อหากบฎ ร่วมกับแกนนำ กปปส.อื่น ๆ รวม 30 คน โดยอ้างว่า เพื่อนำตัวมาฟ้องศาลตามที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้ฟ้องคดีต่อศาลแล้วนั้น
.....วันนี้หลังจากจับกุมแล้ว แต่พนักงานอัยการยังไม่อาจนำตัวไปฟ้องต่อศาลได้ พนักงานสอบสวนจึงไปยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญา
.....ปรากฎว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฝากขัง และให้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าการออกหมายจับก็เพื่อให้นำตัวส่งพนักงานอัยการนำตัวมาฟ้องต่อศาลเท่านั้น พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจคุมตัว
.....วันนี้หลังจากจับกุมแล้ว แต่พนักงานอัยการยังไม่อาจนำตัวไปฟ้องต่อศาลได้ พนักงานสอบสวนจึงไปยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญา
.....ปรากฎว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฝากขัง และให้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าการออกหมายจับก็เพื่อให้นำตัวส่งพนักงานอัยการนำตัวมาฟ้องต่อศาลเท่านั้น พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจคุมตัว
.....เรื่องนี้มีเหตุผลให้น่าเชื่อว่า พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนพิเศษ ร่วมกับพนักงานอัยการ กระการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการขอหมายจับกลุ่มแกนนำ กปปส.
.....เชื่อได้ว่า พนักงานอัยการสั่งฟ้องโดยที่ยังอ่านสำนวน พยานเอกสารต่าง ๆ ไม่หมด เพราะทราบว่า สำนวนสอบสวนมีจำนวนประมาณ 50,000 หน้า จะต้องใช้เวลาอ่านเป็นเดือน
.....แต่เรื่องนี้พนักงานอัยการ มีคำสั่งให้ฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหา หลังจากได้รับสำนวนจากพนักสอบสวนประมาณ 4-5 วัน เท่านั้น
.....จึงเป็นการสั่งฟ้องโดยการตั้งธงไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างแน่นอน ไม่ใช่สั่งฟ้องโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญาบัญญัติไว้
.....เชื่อได้ว่า พนักงานอัยการสั่งฟ้องโดยที่ยังอ่านสำนวน พยานเอกสารต่าง ๆ ไม่หมด เพราะทราบว่า สำนวนสอบสวนมีจำนวนประมาณ 50,000 หน้า จะต้องใช้เวลาอ่านเป็นเดือน
.....แต่เรื่องนี้พนักงานอัยการ มีคำสั่งให้ฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหา หลังจากได้รับสำนวนจากพนักสอบสวนประมาณ 4-5 วัน เท่านั้น
.....จึงเป็นการสั่งฟ้องโดยการตั้งธงไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างแน่นอน ไม่ใช่สั่งฟ้องโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญาบัญญัติไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น