PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตัดแปะข่าวระเบิดศาลอาญา

จากพารากอนถึงศาลอาญา บึ้มป่วนเมือง สอบสวน 2 คนร้าย เตรียมจะก่อเหตุรุนแรงโดยใช้วัตถุระเบิดในวันที่ 12 และ 15 มีนาคมนี้

ที่มา ผู้จัดการ09มี.ค.58
     
       แม้หน่วยงานความมั่นคงจะพยายามสกัดกั้นกลุ่มคนร้ายที่มีพฤติการณ์ป่วนเมือง เพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ให้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นในกรุงเทพมหานคร แต่ดูเหมือนความพยายามนั้นไม่เป็นผลเมื่อ 2
คนร้าย สามารถเล็ดรอดนำระเบิด RGD5 ขว้างเข้าใส่บริเวณลานจอดรถด้านหน้าอาคารศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 7 มีนาคม 2558
     
       เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของหน่วยงานด้านการข่าวทั้งของทหารและตำรวจ ซึ่งแม้คนร้ายจะลงมือก่อเหตุได้สำเร็จ แต่ก็หนีไม่รอดจากการติดตามจับกุม กลายเป็น
เบาะแสสำคัญที่นำไปสู่การขยายผลกระชากหน้ากากจอมบงการ
     
       นับตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดบริเวณทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าสยาม กับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทหาร และตำรวจ ได้ร่วมกันติดตามเบาะแสจากบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายต้องสงสัยก่อเหตุรุนแรงหลายคน กระทั่งได้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่หวังผลทางการเมืองมีแผนจะก่อเหตุรุนแรงโดยการใช้วัตถุระเบิดในสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร รวม 10 จุด ซึ่งเป้าหมายมีทั้งสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกผล่าน ซึ่งศาลอาญา เป็นหนึ่งในเป้าหมายนั้น
     
       ข้อมูลการข่าวทั้งทหารและตำรวจยืนยันตรงกัน เครือข่ายหัวรุนแรงที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันของกลุ่มเดิมๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล คือ กลุ่มชลบุรี ที่มีหัวเรือใหญ่เป็นผู้หญิงชื่อย่อ ม. กลุ่มปทุมธานี ที่เคยมีบทบาทสำคัญในช่วงการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2557 มีหัวเรือใหญ่เป็นผู้ชายชื่อย่อ ก. และกลุ่มมีนบุรี
     
       ทหารและตำรวจจัดชุดลาดตระเวนนอกเครื่องแบบตรึงพื้นที่เป้าหมายที่กลุ่มหัวรุนแรงจะก่อเหตุมาได้ระยะหนึ่ง กระทั่งช่วงหัวค่ำคืนวันที่ 7 มีนาคม พบเห็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮา

สีน้ำเงิน - ดำ ทะเบียน วงต 967 กรุงเทพมหานคร มาที่หน้าศาลอาญารัชดาฯ แล้วคนซ้อนท้ายได้ปาสิ่งของเข้าไปภายในบริเวณศาลอาญา ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น
     
       ทหารนอกเครื่องแบบซึ่งลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้น จึงไล่สกัดควบคุมตัวบุคคลทั้งสอง แต่คนซ้อนท้ายได้ใช้ปืนยิงเพื่อเบิกทางหนี ทหารจึงยิงตอบโต้กระสุนถูกผู้ขับขี่จำนวน 4 นัด จนรถ

จักรยานยนต์ล้มคว่ำ ทหารจึงควบคุมตัวผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ ส่วนคนซ้อนท้ายได้ปีนกำแพงเข้าไปในพื้นที่หมู่บ้านหลังสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ทหารจึงออกติดตามก่อนจะควบคุมตัว

เอาไว้ได้ พร้อมกับปืนลูกโม่ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต อีก 1 เครื่อง
     
       ทหารได้นำผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ ก่อนจะควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผล ส่วนอีกคนถูกคุมตัวเข้าไปในค่ายทหาร ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า ผู้ขับขี่รถ

จักรยานยนต์ชื่อ นายยุทธนา เย็นภิญโญ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/11 หมู่ 7 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติ พบมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดติดตัว ส่วนคนซ้อนท้ายชื่อ

นายมหาหิน ขุนทอง อายุ 34 ปี ที่อยู่ตามบัตรประชาชนคือ บ้านเลขที่ 4 หมู่ 12 ต.สวาท อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
     
       ตำรวจและทหารได้ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการก่อเหตุ พบหนังสือการซื้อขายรถคันดังกล่าวระหว่างนายยุทธนา กับชายรายหนึ่ง ซึ่งมีที่พักอยู่ในย่านหนองจอก ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันนี้ แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอน หลังจากนี้ ตำรวจจะเชิญตัวรายนี้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่
     
       จากการตรวจสอบแท็บเล็ตที่ยึดได้จากคนร้าย พบว่ามีการสื่อสารผ่านไลน์กับผู้ที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้หญิง ใช้ชื่อในโปรไฟล์ว่าเดียร์ ซึ่งการสนทนามีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสั่งการให้ไปก่อเหตุที่ไหน กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ทั้งตำรวจและทหารใช้ในการขยายผลติดตามตัวผู้บงการ
     
       ส่วนการสอบสวน นายยุทธนา อ้างว่า รับว่าจ้างมาก่อเหตุจำนวน 20,000 บาท เพื่อให้นำระเบิดมาขว้างป่วนเมือง เพื่อหวังให้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในประเทศไทย
     
       หลังคำให้การดังกล่าว ทหารและตำรวจได้เข้าตรวจค้นคอนโดมิเนี่ยมแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นที่พักของนายยุทธนา และ นายมหาหิน พบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้ตรวจสอบและขยายผลต่อไป
     
       ในการสอบสวนทั้ง 2 คน ทำให้ตำรวจและทหาร ได้ข้อมูลที่ยืนยันการข่าวก่อนหน้านี้ ที่พบว่ากลุ่มผู้ไม่หวังดีเตรียมจะก่อเหตุรุนแรงโดยใช้วัตถุระเบิดในวันที่ 12 และ 15 มีนาคม นี้ แต่ยังไม่ทราบจุดว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง โดยผู้ลงมือเป็นเครือข่ายเดียวกันกับที่ก่อเหตุระเบิดบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าสถานีสยาม กับ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน มีตัวเชื่อมสำคัญคือ “ดราก้อน” มือประกอบระเบิดคนใกล้ชิดอดีตทหารพรานใน จ.ลพบุรี เครือข่ายหัวรุนแรงกลุ่มตรงข้ามรัฐบาล
////////////////
จากพารากอนถึงศาลอาญาบึ้มป่วนเมือง

จากพารากอนถึงศาลอาญา บึ้มป่วนเมืองดึงยูเอ็นแทรกไทย : ทีมข่าวอาชญากรรม
ที่มา :คมชัดลึก 9มี.ค.58

            แม้หน่วยงานความมั่นคงจะพยายามสกัดกั้นกลุ่มคนร้ายที่มีพฤติกรรมป่วนเมืองเพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ให้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นในกรุงเทพมหานคร แต่ดูเหมือนความพยายามนั้นไม่เป็นผล เมื่อ 2 คนร้ายสามารถเล็ดลอดนำ "ระเบิดอาร์จีดี 5" ขว้างเข้าใส่บริเวณลานจอดรถด้านหน้าอาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 7 มีนาคม

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของหน่วยงานด้านการข่าวทั้งของทหารและตำรวจ ซึ่งแม้คนร้ายจะลงมือก่อเหตุได้สำเร็จ แต่ก็หนีไม่รอดจากการติดตามจับกุม กลายเป็นเบาะแสสำคัญที่นำไปสู่การขยายผลกระชากหน้ากากจอมบงการ

            นับตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดบริเวณทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าสยามกับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทหารและตำรวจ ได้ร่วมกันติดตามเบาะแสจากบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายต้องสงสัยก่อเหตุรุนแรงหลายคน กระทั่งได้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่หวังผลทางการเมืองมีแผนจะก่อเหตุรุนแรงโดยการใช้วัตถุระเบิดในสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครรวม 10 จุด ซึ่งเป้าหมายมีทั้งสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งศาลอาญา เป็นหนึ่งในเป้าหมายนั้น

            ข้อมูลการข่าวทั้งทหารและตำรวจยืนยันตรงกัน เครือข่ายหัวรุนแรงที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันของกลุ่มเดิมๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล คือกลุ่มชลบุรี ที่มีหัวเรือใหญ่เป็นผู้หญิงชื่อย่อ ม กลุ่มปทุมธานี ที่เคยมีบทบาทสำคัญในช่วงการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2557 มีหัวเรือใหญ่เป็นผู้ชายชื่อย่อ ก และกลุ่มมีนบุรี

            ทหารและตำรวจจัดชุดลาดตระเวนนอกเครื่องแบบตรึงพื้นที่เป้าหมายที่กลุ่มหัวรุนแรงจะก่อเหตุมาได้ระยะหนึ่ง กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 7 มีนาคม พบเห็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า สีน้ำเงิน-ดำ ทะเบียน วงต 967 กรุงเทพมหานคร มาที่หน้าศาลอาญารัชดา แล้วคนซ้อนท้ายได้ปาสิ่งของเข้าไปภายในบริเวณศาลอาญา ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น

            ทหารนอกเครื่องแบบซึ่งลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้น จึงไล่สกัดควบคุมตัวบุคคลทั้งสอง แต่คนซ้อนท้ายได้ใช้ปืนยิงเพื่อเบิกทางหนี ทหารจึงยิงตอบโต้กระสุนถูกผู้ขับขี่ 4 นัด จนรถจักรยานยนต์ล้ม ทหารจึงควบคุมตัวเอาไว้ได้ 1 คน ส่วนอีกคนได้ปีนกำแพงเข้าไปในพื้นที่หมู่บ้านหลังสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ทหารจึงออกติดตามก่อนจะควบคุมตัวเอาไว้ได้ พร้อมกับปืนลูกโม่ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และแท็บเล็ตอีก 1 เครื่อง

            ทหารได้นำผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ก่อนจะควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผล ส่วนอีกคนถูกคุมตัวเข้าไปในค่ายทหาร ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า ผู้ขับขี่รถ
จักรยานยนต์ชื่อ นายยุทธนา เย็นภิญโญ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/11 หมู่ 7 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จากการตรวจสอบประวัติพบมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดติดตัว ส่วนคนซ้อนท้ายชื่อ นายมหาหิน ขุนทอง อายุ 34 ปี ที่อยู่ตามบัตรประชาชนคือ บ้านเลขที่ 4 หมู่ 12 ต.สวาท อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร แต่ก่อนถึงหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ประมาณ 200 เมตร มีการสลับผู้ขับขี่เปลี่ยนจากนายยุทธนามาเป็นนายมหาหินแทน เพื่อให้นายยุทธนา เป็นผู้ขว้างระเบิด

            ตำรวจและทหารได้ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการก่อเหตุ พบหนังสือการซื้อขายรถคันดังกล่าวระหว่างนายยุทธนา กับชายรายหนึ่ง ซึ่งมีที่พักอยู่ย่านหนองจอก มีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันนี้ แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอน หลังจากนี้ตำรวจจะเชิญตัวบุคคลรายนี้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่

            การตรวจสอบแท็บเล็ตที่ยึดได้จากคนร้าย พบว่า มีการสื่อสารผ่านไลน์กับผู้ที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้หญิง ใช้ชื่อในโปรไฟล์ว่าเดียร์ ซึ่งการสนทนามีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสั่งการให้ไปก่อเหตุที่ไหน กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ทั้งตำรวจและทหารใช้ในการขยายผลติดตามตัวผู้บงการ

            ส่วนการสอบสวนนายยุทธนา อ้างว่า รับว่าจ้างมาก่อเหตุจำนวน 2 หมื่นบาท ให้นำระเบิดมาขว้างป่วนเมือง เพื่อหวังให้องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในประเทศไทย

            หลังคำให้การดังกล่าว ทหารและตำรวจได้เข้าตรวจค้นคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นที่พักของนายยุทธนา และนายมหาหิน พบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้ตรวจสอบและขยายผลต่อไป

            ในการสอบสวนทั้ง 2 คน ทำให้ตำรวจและทหาร ได้ข้อมูลที่ยืนยันการข่าวก่อนหน้านี้ ที่พบว่ากลุ่มผู้ไม่หวังดีเตรียมจะ ก่อเหตุรุนแรงโดยใช้วัตถุระเบิดในวันที่ 12 และ 15 มีนาคม นี้ แต่ยังไม่ทราบจุดว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง โดยผู้ลงมือเป็นเครือข่ายเดียวกันกับที่ก่อเหตุระเบิดบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าสถานีสยามกับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน มีตัวเชื่อมสำคัญคือ “ดราก้อน” มือประกอบระเบิดคนใกล้ชิดอดีตทหารพรานใน จ.ลพบุรี เครือข่ายหัวรุนแรงกลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาล

อาร์จีดี-5 ระเบิดการเมือง

            ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า อาร์จีดี-5 ถูกกลุ่มป่วนเมืองนำมาใช้ก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา ทั้งบนถนนบรรทัดทอง เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อปี 2557 ซึ่งในห้วงเวลานั้นตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (191) จับกุมผู้ต้องหา 4 คน ภายในรถกระบะบริเวณแยกบางนา ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเหตุปาระเบิดบ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

            ระเบิดสังหาร อาร์จีดี-5 หรือ Ruchnaya Granata Distantsionnaya มีลักษณะรูปทรงเป็นรูปไข่ พื้นผิวมีรอยบุ๋มเล็กน้อย มีโทนสีเขียวหรือสีมะกอก สามารถขว้างหรือโยนได้ไกล 35-45 เมตร ผลิตในประเทศรัสเซีย ราคาต้นทุนการผลิตไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพการทำลายสูง

            ระเบิดชนิดนี้ผลิตขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี 1950 และถูกนำมาใช้ปี 1954 ในกองทัพรัสเซีย และมีใช้แพร่หลายในอิรัก และประเทศแถบตะวันออกกลาง

            อาร์จีดี-5 บรรจุดินระเบิดทีเอ็นที 110 กรัม มีสะเก็ดประมาณ 350 ชิ้น รัศมีอันตราย 25 เมตร น้ำหนัก 310 กรัม ปัจจุบันระเบิดชนิดนี้ผลิตในรัสเซีย, บัลแกเรีย, จีน และจอร์เจีย โดยมีการพัฒนา อาร์จี อาร์จีดี-5เอส เพื่อ “เจาะเกราะ” สนนราคาในการผลิตตกราคาลูกละประมาณเกือบ 200 บาท

            ระเบิดรุ่นนี้ได้รับความนิยมในประเทศค่ายคอมมิวนิสต์รอบประเทศไทย สามารถหาซื้อได้ในราคาลูกละไม่กี่ร้อยบาทตามตะเข็บชายแดน โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา และมีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะ 3-5 เมตร ทำให้บาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตได้

            ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดคนเดิมเปิดเผยว่า ระเบิด อาร์จีดี-5 ที่ตรวจยึดได้ที่แยกบางนา มีเลขลอตนัมเบอร์ 152-82Y3PRM-2 จำนวน 4 ลูก ส่วนระเบิดบรรทัดทองเป็นชนิดเดียวกัน แต่เป็นนัมเบอร์ 48 การเลือกใช้อาวุธนอกสารบบราชการไทยก็เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบติดตามเพื่อไม่ให้สาวถึงต้นตอ ซึ่งในแนวทางการสืบสวนพบว่า ในช่วงการชุมนุมปี 2557 ระเบิด อาร์จีดี-5 ถูกนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันออกลอตมหึมา โดยเครือข่ายคนบางกลุ่ม

            ระเบิด อาร์จีดี-5 ถูกนำมาใช้ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม 2558 โดยคนร้ายปาเข้าไปในพื้นที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยระเบิดมีซีเรียลนัมเบอร์ 57 ซึ่งแนวทางการสืบสวนของฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า เป็นระเบิดจากกลุ่มผู้สร้างสถานการณ์ทางการเมืองกลุ่มเดียวกันกับที่ใช้ระเบิดก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา
///////////
‘ผบ.ตร.’ชี้บึ้มศาลโยงพารากอน

‘ผบ.ตร.’ ชี้เหตุระเบิดศาลอาญากับพารากอนเชื่อมโยงกัน ไม่ประมาทสั่งเฝ้าระวังจุดเสี่ยง ขณะที่ ‘แรมโบ้อีสาน’ โผล่แจง ‘สตช.’ ยันไม่รู้จักมือปาป่วน

           9 มี.ค.58 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีปาระเบิดศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่าเป็นขบวนการเดียวกันกับเหตุระเบิดบริเวณทางเดินเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม หน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน แต่มีวิธีการและรูปแบบการก่อเหตุที่แตกต่างกันไปตามความชำนาญของแต่ละกลุ่ม โดยจุดที่คนร้ายลงมือทั้งสยามพารากอน และศาลอาญารัชดานั้น เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ เพราะเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังมาตลอด เปรียบเสมือนการเก็งข้อสอบถูก

           ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า จะมีการก่อเหตุระเบิดอีกหลายจุดทั่วประเทศในวันที่ 15 มี.ค.นี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ประมาท ได้สั่งการให้มีการปรับแผนจัดกำลังเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จำเป็นจะต้องจัดกำลังตำรวจทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบดูแลสถานที่สำคัญ สถานที่ราชการ และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ รวมทั้งจุดที่มีนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก แต่จะเน้นการใช้กำลังนอกเครื่องแบบให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและภาวะทางเศรษฐกิจ

           “การตรวจสอบบุคคลที่มีรายชื่อตามที่ผู้ต้องหากล่าวถึงนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบและหาพยานหลักฐาน ถ้าพบความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่ถูกอ้างถึง ก็จะเรียกมาสอบทุกคน ทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้น แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคนด้วย” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว

           นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ ยังกล่าวถึงการทำงานของสื่อมวลชนว่า หากมีบางเรื่องที่นำเสนอไปแล้วทำให้การทำงานเจ้าหน้าที่ติดขัด หรือกระทบรูปคดี ต้องใช้วิจารณญาณด้วย เนื่องจากเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

           ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ให้ตรวจสอบข้อความสนทนาในไลน์มือถือ หลังจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ามีบุคคลชื่อ “เดียร์” ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้ว่าจ้างให้มาก่อเหตุครั้งนี้ว่า บุคคลดังกล่าวเป็นใคร เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป


‘แรมโบ้อีสาน’ โผล่แจง ‘สตช.’ ยันไม่รู้จักมือปาบึ้มศาลอาญา


           เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 มีนาคม 2558 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน ได้เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ภายหลังมีเหตุการณ์คนร้ายปาระเบิดหน้าศาลอาญา ถ.รัชดา เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายสุภรณ์ กล่าวว่า ตนได้ติดตามข่าว และเห็นผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ได้มีสัญลักษณ์ผ้าพันคอสีขาวซึ่งเขียน อพปช. (อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ) ปรากฎในภาพข่าวด้วยนั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้จักบุคคลทั้งสองแต่ประการใด เพราะได้ประกาศยุติองค์กร อพปช. และยุติบทบาททางการเมืองแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

           “เพื่อเป็นการการป้องกันการเอาชื่อองค์กร อพปช. ที่ได้ประกาศยุบและยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไปแอบอ้างในการก่อความไม่สงบ หรือสร้างสถานการณ์ที่รุนแรงในบ้านเมือง ผมได้เข้าแจ้งความที่กองปราบปรามไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลที่ใช้ชื่อ อพปช. มาแอบอ้าง ผมไม่ยินยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเอาชื่อ อพปช. ที่ได้ประกาศยุบและยุติบทบาทโดยสิ้นเชิงแล้ว ไปสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายต่อประเทศชาติ และประชาชน ผมพร้อมให้ความร่วมมือกับทางราชการเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุข เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอย่างสุดความสามารถ” นายสุภรณ์ กล่าว
///////////
“คำรณวิทย์” ยันไม่เกี่ยวข้องเหตุบึ้มศาลอาญาป่วนเมือง ไม่รู้จักแฟนสาว “มหาหิน” บอกไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองตั้งแต่เกษียณ ด้าน “ยะใส” จวกพวกเพรียกหาเสรีภาพแต่มือยังถือระเบิด
     
       วันนี้ (9 มี.ค.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. กล่าวยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาปาระเบิดศาลอาญา รัชดาภิเษก หลังถูกนายมหาหิน ขุนทอง ผู้ต้องหาปาระเบิด

ศาลอาญา รัชดาฯ กล่าวพาดพิง ส่วนกรณีที่นายมหาหินอ้างว่าแฟนสาวเคยทำงานกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และรู้จักกับตนเองนั้น ยืนยันไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกับคนร้ายหรือแฟนสาวแต่อย่างใด
     
       ทั้งนี้ รู้สึกแปลกใจที่มีชื่ออยู่ในสมุดจดบันทึกของนายมหาหิน และตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เกษียณราชการมุ่งมั่นรักษาคนป่วยที่มารักษาวันหนึ่งรวม 50 กว่า

คนตั้งแต่เช้าจนบ่าย และไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนักการเมือง
     
       “ยังงงๆ อยู่เลยว่าเป็นใคร มาจากไหน ทุกวันนี้ได้ยุติบทบาททางการเมืองไปแล้ว ไม่เคยเกี่ยวข้องเลย วันๆ มัวแต่รักษาผู้ป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณด้วยการฝังเข็มฟรีที่มูลนิธิมงคล-จงกล

ธูปกระจ่าง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เท่านั้น ผมเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ประชาชนทั้งประเทศจะรู้จัก”
     
       ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีใจความ “เพรียกหาประชาธิปไตย แต่ฝักใฝ่ความรุนแรง! ...การแถลงจับกุมคนร้ายและการขยายผลเครือข่ายร่วม

ขบวนการระเบิดหน้าศาลอาญา รัชดาฯ แม้จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายมากมายอะไร แต่ถ้าดูเนื้อนัยของการก่อเหตุครั้งนี้มีประเด็นที่ตัองคิดกันและอาจถึงขั้นทบทวนกระบวนการปรองดองให้ถูก

ที่ถูกทางมากขึ้น ดังนี้
     
       1. อุดมการณ์ของขบวนการนี้ที่เรียกว่า สู้เพื่อประชาธิปไตย หมายถึงรูปแบบสหพันธรัฐ ที่ไม่ใช่รูปแบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
     
       2. ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างความรุนแรงต่อเนื่องทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัดเพื่อให้เกิดสภาวะ “Fail State หรือรัฐล้มเหลว” วุ่นวาย ไร้ระเบียบ จนสหประชาชติ หรือ UN

ต้องเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน
     
       3. ขบวนการนี้มีเครือข่ายทั้งในและนอกประเทศ มีการฝึกปรือ มีอาวุธ ท่อน้ำเลี้ยงพร้อม เมื่อสบช่องพร้อมก่อเหตุได้ตลอดเวลา และพิสูจน์ชัดว่าอาวุธที่ คสช.ไล่จับมาทั้งปียังเหลืออีกอื้อ
     
       4. จุดโจมตีเริ่มพุ่งเป้าไปที่ศาลถี่ขึ้น เพื่อเขย่าอำนาจตุลาการซึ่งเป็นหัวใจของระบบการเมืองการปกครอง กระทั่งในที่ชุมชนคนพลุกพล่าน เช่น หน้าสยามพารากอน ผบ.ตร.ก็ยืนยันว่าคนร้ายเป็น

เครือข่ายเดียวกัน
     
       5. การปรากฏชื่อของบรรดาบิ๊กๆ ที่คนร้ายพาดพิง แม้อาจไม่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ยอมรับแล้วว่าเป็นคนรู้จักกัน กลุ่มเดียวกัน อาจแบ่งภารกิจกันทำโดยไม่รวมศูนย์บงการที่ใครคน

เดียวก็ย่อมได้
     
       สภาวการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ว่ามีคนบางส่วนปฏิเสธกระบวนการปรองดอง ซ้ำร้ายยังยึดถือแนวทางความรุนแรงต่อไป เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งอุดมการณ์ คนพวกนี้มาไกลถึงขั้นเชื่อว่า

“ความรุนแรง” คือคำตอบสู่สังคมแห่งอุดมการณ์
     
       ผมย้ำและยังยืนยันครับว่าส่วนตัวผมเห็นด้วยและสนับสนุนกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ แต่ต้องไม่ใช่กับกลุ่มคนที่ถือลัทธิความรุนแรงแบบนี้ ต้องแยกคนกลุ่มนี้ออกไป ที่สำคัญพวกที่ตี

สองหน้า หรือปากว่าตาขยิบ ปากเพรียกหาเสรีภาพ แต่มือยังถือระเบิด คนพวกนี้หรือที่สังคมควรให้อภัย!”
////////////
รอง ผบ.ตร. วอนขอเวลา ในการสืบหาเบาะแสของมือบึ้มพารากอน ยันยังทำงานอย่างต่อเนื่อง

(7มี.ค.58)พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า สืบเนื่องจากกรณีที่มี 2 คนร้ายลอบวางระเบิดที่บริเวณทางเชื่อมสยามพารากอน และสถานนีรถไฟฟ้าบีทีเอส

สยามนั้น ล่าสุด การดำเนินการสืบหาเบาะแสของ 2 ผู้กระทำยังคงเดินหน้าอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอีกสักระยะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนในการไล่ล่า

คนร้ายแต่อย่างใด
//////////
คดีบึ้ม “พารากอน” เหลว เหตุตำรวจขัดแย้งกันเอง

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการ  
5 มีนาคม 2558 20:47 น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อย่างไม่น่าไว้ใจ “ผบ.ตร.” สั่งด้วยวาจาให้ทุกโรงพักตรวจตราวัตถุต้องสงสัยเกรงก่อวินาศกรรม เผย 1 เดือนชุดคดี “ไปป์บอมบ์” พารากอน

ไม่ไปไหน คาดเหตุขัดแย้ง “บิ๊กแป๊ะ - บิ๊กปู” คืออุปสรรค
     
       ผ่านไป 1 เดือนพอดีกับเหตุการณ์ระเบิดไปป์บอมบ์เขย่าเมืองเหตุเกิดบริเวณลานน้ำพุ ทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส กับห้างสรรพสินค้าพารากอนผลของการทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ

ของนายตำรวจใหญ่ 2 ชุด คือ ชุดของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล ผบช.น. ต่างส่อแววว่าจะ “วืด” เพราะตั้งแต่ 2 ทุ่มของวันที่ 1

กุมภาพันธ์ มาจนถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววของมือระเบิดป่วนเมืองแต่ประการใด
     
       ซ้ำสถานการณ์อื่นๆยังล่อแหลมอาจลุกลามบานปลายเป็นอุปสรรคต่อการคลี่คลายคดีได้ไม่ว่าจะเป็นศึกงัดข้อระหว่าง “เก่งใหญ่” กับ “เก่งเล็ก”“กรณีละเลยปล่อยบ่อนเกลื่อนเมือง และที่สำคัญ

คือสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นทั้งกรณีของวัดพระธรรมกาย การออกมาแฉพฤติกรรม สนช. เรื่องนำบริวารว่านเครือแห่มารับเงินเดือน อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักล้วนเป็น

ปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อคะแนนนิยมรัฐบาล - คสช. แม้แต่น้อย
     
       ปรากฏการณ์ความร้อนแรงทางการเมืองดังกล่าวแหล่งข่าวระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โดยรวมตามที่รับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ นี้เอง พล.ต.อ.สมยศ

พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. จึงออกคำสั่งทางวาจาไปยังทุกกองบัญชาการ ให้เฝ้าระวังเหตุร้ายต่างๆ อย่างใก้ลชิด ทั้งการชุมนุมทางการเมืองและการตรวจตราวัตถุต้องสงสัยตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ก่อน

หน้าเมื่อตอนบ่ายวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา มีผู้พบกล่องต้องสงสัยบริเวณชั้นสองสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส พญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. ตำรวจ สน.พญาไท พร้อมหน่วยเก็บกู้และตรวจ

พิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) และเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน จึงเดินทางไปตรวจสอบพบกล่องกระดาษขนาดกว้าง 12 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว หน้ากล่องมีรูปกล้องถ่ายรูปยี่ห้อนิคคอน รุ่นดี 7000 วางทิ้งไว้

เจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจวัตถุระเบิดในทุกขั้นตอนนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงพบว่าเป็นเพียงกล่องเปล่าที่ข้างในมีอุปกรณ์สำหรับกล้องถ่ายรูปทิ้งไว้เช่นสายสะพาย แบตเตอรี่ กล่องที่ชาร์จและสมุดคู่มือ

เป็นต้น
     
       พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.พญาไท เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดช่วงเวลา 13.45 น. พบชายต้องสงสัยสูงประมาณ 165 ซม. สวมหมวกดำ เสื้อ

แขนยาวสีฟ้ามีเสื้อกั๊กสีขาวทับอีกชั้น กางเกงขาสั้นสวมรองเท้าแตะสีดำเดินมายังที่เกิดเหตุพร้อมนำกล่องมาวางไว้ พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเป็นไปได้ว่าชายดังกล่าวไปขโมยกล้องมาจากที่อื่นแล้ว

รีบร้อนต้องการ แต่กล้องเพียงอย่างเดียวจึงทิ้งกล่องและอุปกรณ์ไว้ ส่วนอีกประเด็นคือการก่อกวนซึ่งต่อมาวันที่ 23 ก.พ. พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับชายนิรนามที่ปรากฏในวงจรปิดแล้ว
     
       อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันโดยตำรวจ สน.โคกคราม รับแจ้งว่าพบรถยนต์ต้องสงสัยจอดติดเครื่องอยู่บริเวณลานจอดรถเกษตร - นวมินทร์ อเวนิว ถนนประเสริฐมนูญกิจ

เขตลาดพร้าว กทม. จึงไปสอบสวนพบรถเก๋งคันหนึ่งที่มีผู้แจ้งหายประตูปิดล็อกปรากฏคราบความเย็นกับกระจกสอบสวน รปภ. ประจำจุดบอกว่าเห็นจอดไว้ตั้งแต่ตอนค่ำ ด้วยลักษณะเข้าข่าย

คาร์บอมบ์ร้อยเวรฯ สน. เจ้าของคดีจึงประสานไปยังหน่วยเก็บกู้ระเบิดอีโอดี มาร่วมตรวจสอบด้วยสร้างความตื่นตกใจแก่ประชาชน และบรรดาผู้ประกอบธุรกิจในย่านนั้นแต่เมื่อเจ้าหน้าที่เปิด

ประตูรถออกมา และทำการตรวจอย่างละเอียดไม่พบสิ่งผิดปกติคาดว่าเป็นการโจรกรรมธรรมดาแต่คนร้ายอาจเจอด่านตรวจจึงหลบมาจอดทิ้งไว้ก่อนหลบหนี
     
       และล่าสุด เมื่อดึกวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา พบระเบิดเสียงแบบสตันต์ ใช้ในราชการทหาร - ตำรวจ วางอยู่ริมซุ้มร้านทองเจริญข้าวต้มโต้รุ่ง ย่านลาดปลาเค้า สน.บางเขน เจ้าหน้าที่ฝ่ายเก็บกู้ระเบิด

จึงไปเก็บกู้ไว้ในที่ปลอดภัย
     
       จากทั้ง 3 เหตุการณ์จึงสอดคล้องกับข้อมูลฝ่ายความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจ ว่า ยังคงมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่องซึ่งบรรยากาศโดยทั่วไปแม้จะดูนิ่งสงบแต่การ

ข่าวกลับพบมีกลุ่มฮาร์ทคอร์เริ่มติดต่อกันอย่างลับๆ แต่เพื่อไม่ให้เอิกเกริกหรือตื่นตูมจนเกินไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จึงเลือกใช้วิธีออกคำสั่งด้วยวาจาให้ทุก

หน่วยสอดส่องเตรียมพร้อมรับมือการก่อวินาศกรรมทุกรูปแบบ เน้นพนักงานสอบสวนทุกนายหากรับแจ้งมีเหตุวัตถุต้องสงสัยทั้งแบบตั้งวาง หรือคาร์บอมบ์ต้องรีบประสานกับอีโอดี ทันที
     
       อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำสั่งให้ตำรวจพร้อมรับมือและตื่นตัวตลอดเวลาก็ตามแต่ผลงานการคลี่คลายคดีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิต

พราหมณกุล ผบช.น. กลับส่อเค้า “ล้มเหลว” ไม่สมราคาคุยเหมือนในตอนแรก เพราะหลังเกิดเหตุตำรวจทั้ง 2 ทีมทำงานในลักษณะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมีธง
     
       โดยฝ่ายแรกมั่นใจสาเหตุมาจากการเมืองส่วนฝ่ายหลังไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องใดๆ เพียงยืนยันว่าจะทำงานตามพยานหลักฐาน แต่จนบัดนี้มีเพียงเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำแล้วต้องปล่อยตัว

ไปกระทั่ง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกโรงหาทางลงด้วยการโยนไปให้ต่างด้าวเป็นคนวางระเบิดเพราะไม่ตามภาพวงจรปิดไม่ปรากฏประวัติทาง

อาชญากรรมแม้แต่น้อย
     
       แต่การหาทางลงให้กับทีมคลี่คลายคดีระเบิดกลับถูกเบรกจนหัวทิ่มจากคำติติงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เห็นว่าตำรวจไม่ควรโยงไปถึงต่างชาติเพราะความวุ่นวายที่เป็น

อยู่ก็มากพอแล้วทำให้โฆษกหน้าย่นต้องรีบชักบันไดกลับ
     
       มาถึงวันนี้คดีระเบิดไปป์บอมบ์ยังคงเงียบสนิทไม่มีความคืบหน้า
     
       สำคัญไปกว่านั้นแม้ข่าววงในจะทราบดีว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ “บิ๊กแป๊ะ” กับพล.ต.ท.ศรีวราห์ “บิ๊กปู”นายตำรวจต่างรุ่น นรต.35 - 36 ซึ่งปีนเกลียวกันแต่ไหนแต่ไรแล้วทำให้เกิดความหวาด

ระแวงกันทุกย่างก้าว
     
       เมื่อระแวงกันแล้วผลสำเร็จของการทำงานคงไม่ต้องพูดถึง บทพิสูจน์ก็คือ 1 เดือนเต็มของการเข้าไปคลี่คลายคดีมาจนบัดนี้ทุกอย่างยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่
     
       พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ต้องรับหน้าเสื่อทั้งสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกว่าบินไปบินกลับแทบไม่เหลือเวลาทำอะไรอีกต่อไปแล้วเพราะทั้งเสียงปืน

เสียงระเบิดยังคงกึกก้องภาคใต้อย่างไม่เว้นแต่ละวัน
     
       ความมั่นคงอื่นๆ อีกทั้งขบวนการหมิ่นเบื้องสูง กลุ่มต่อต้านรัฐบาลหาก “บิ๊กแป๊ะ” แยกร่างได้ก็คงทำไปแล้วเพราะงานมันล้นมือจริงๆ
     
       ต่างจากเจ้าพ่อนครบาลอย่าง “บิ๊กปู”ล่าสุด พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล ผบช.น. ที่สาละวนกับการปัดกวาดบ้านตัวเอง...ล่าสุดถึงกับใช้วาทะหรู “วิญญูชน”กับการแก้ปัญหาบ่อนพร้อม

มีคำสั่งให้ตำรวจโดนพิษบ่อนที่โดนเด้งไปเพียง 2 วันกลับมาทำงานตามปกติ
     
       ขัดอกขัดใจกับใครไม่ทราบได้แต่สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ ก็คงได้แต่อดกลั้น อดทน...ทนทุกอย่าง ทนทุกเรื่องแม้กระทั่งการทำงานไม่เข้าเป้า

ไม่สนองนโยบายหรือจริงจังกับการปราบปรามอบายมุขของตำรวจบางหน่วย
     
       วันนี้บรรยากาศรื่นเริงกับการกำชับอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เริ่มเหือดหายไป ผลงานต่างๆ ปรากฏให้เห็นว่าใครคือ “ของจริง”ใครคือ “ของปลอม”เพราะคดีระเบิดกลางกรุงท่ามกลาง

กฎอัยการศึกที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัยสูงสุดยังเอาไว้ไม่อยู่ คนของรัฐที่มีเครื่องไม่เครื่องมือ มีงบประมาณ มีอำนาจอย่าล้นมือยังไปไม่เป็นดังที่เห็นกันอยู่


@@@@@@@@@
ไชโย ลุงตู่ปราบให้เหี้ยนเต้เลย ขุดให้ถึงรากถึงโคน บิ๊กตะหาน บิ๊กหมาต๋าหย่าย ชื่อปรากฎอยู่ในบัญชีในหลักฐาน ที่ตรวจค้นเจอ ว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ สั่งการก่อการร้าย ครั้งนี้ดิ้นไม่หลุดแน่นอน 2 บิ๊กนี้ตัวแสบ ก่อเหตุรุนแรงมาตั้งแต่ปี 52 ตัวสีกากี ทำทั้งๆที่อยู่ในราชการ ยังมีตัวเอ้อีกหนึ่งตัวที่ต้องจ้ดการ เฒ่าหวานเจี๊ยบ ต้องจับขึ้นศาลทหารให้หมด ข้อหากบฎ !!

สมุดบันทึก มีรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ สมาชิกในกลุ่มเสื้อแดง และเครือข่ายกลุ่มอั้งยี่แดงทั้งหมด รายการอาวุธที่ยึดได้เบื้องต้น สยองขวัญแล้ว กำลังขยายผลต่อทามากอน เข้าข่ายด้วยเหมือนกัน เป็นแหล่งส้องสุมกำลัง เหวงเปิดโปง ยืนยันว่าเป็นฐานกำลังของ นปช.และคนเสื้อแดง รวมถึงทักษิณด้วย

เขียนข่าวเรื่องนี้อย่ามโนเอามันส์เด้อ อ้างมั่วซั่วทหาร เข้าไปแฝงตัวในกลุ่มโจร เจาะไลน์ Mission: Impossible การ์ตูนไปหน่อย
/////////////
บิ๊กหมาต๋าหย่าย ชื่อปรากฎอยู่ในบัญชีในหลักฐาน ที่ตรวจค้นเจอ ว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ สั่งการก่อการร้าย ครั้งนี้ดิ้นไม่หลุดแน่นอน 2 บิ๊กนี้ตัวแสบ ก่อเหตุรุนแรงมาตั้งแต่ปี 52 ตัวสีกากี ทำทั้งๆที่อยู่ในราชการ ยังมีตัวเอ้อีกหนึ่งตัวที่ต้องจ้ดการ เฒ่าหวานเจี๊ยบ ต้องจับขึ้นศาลทหารให้หมด ข้อหากบฎ !!=>สมุดบันทึก มีรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ สมาชิกในกลุ่มเสื้อแดง และเครือข่ายกลุ่มอั้งยี่แดงทั้งหมด รายการอาวุธที่ยึดได้เบื้องต้น สยองขวัญแล้ว กำลังขยายผลต่อ

[นัตติมา เมฆวัฒนา /ไอ้คางคกเฒ่าหวานเจี๊ยบทำ rayum กับประเทศไว้สาหัส จากการลอยตัวค่าเงินบาทช่วงต้มยำกุ้ง มีแค่บริสัตว์เดียวที่ไม่กระทบโดยอ้งว่ามันบริหารค่าเงินเก่ง คงรู้นะว่าใครชื่อมัน

ชิน ชินหู]
////////////
ฟังคำแก้ตัวของ "ตุ้ย" พี่ใหญ่ตระกูลชิน แถลง วันนี้ ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมทักษิณญาติผู้น้อง ถึงได้ดูถูกดูแคลน เป็นทหารช่างปลายแถว ตามบ้านนอก ฟลุ๊ค นั่ง ผบ.ทบ. เพราะนามสกุล ลงสมัคร สส .

ในเขตราชบุรี พื้นที่ทหารช่าง ยังสอบตก การรับทำงานใหญ่ ช่วง 12-15 มี.ค.นี้ เทียบเท่าขอนแก่นโมเดล เพราะปูพรม พร้อมกันทั้งประเทศ ต้องถือว่าพลาด คนปฎิบัติการโดนจับกุม ขยายผลถึงคน

สั่งการ มัดแน่นดิ้นไม่หลุด การปัดสวะว่าไม่รู้จัก มือระเบิด ข้อมูลยืนยันเคยเป็นการ์ดประจำตัวมาแล้ว ใกล้ชิดขนาดรู้จักกับเมีย ลองถึงขั้นขอเงินใช้ ย่อมปัดสวะไม่พ้นตัว..... ปัดทิ้งหมด แม้แต่คน

ตระกูลชิน ด้วยกันเอง
การออกมาแถลงข่มขู่ จนท ตร. จะฟ้องกลับ อ้างว่าถามนำ แค่เทคนิคการแก้ตัว ไร้น้ำหนักน่าเชื่อถือ พูดออกมาแต่ละคำ ล้วนโกหกหลอกลวง เอาตัวรอดคนเดียว ไม่สมกับคำว่า "ลูกผู้ชาย"
ท้าออกหมายจับซะด้วย ....ลุงตู่ครั้งนี้ไม่ผ่อนมือแล้ว เปิดหน้าชกเต็มพิกัด หมดเวลาปรองดอง ปรองแดง
/////////////////////
Anna Jill
10 ชม. ·
แก๊งปาระเบิดโดนรวบ .... ลูกน้องเจ้ากี้ตะกายตึก แก้แค้นให้ลูกพี่ ที่โดนศาลอาญาพัทยา พิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับค่าละเมิดกฎหมายจราจร 200 บาท ตอนนี้ลูกพี่นอนเรือนจำหนองปลาไหล รอนำ

หลักทรัพย์ไปจ่ายค่ประกันตัว คนละ 8 แสนบาท ใน 9 มี.ค.นี้ ทั้งหมด 13 คน ประกันโดยไม่มีเงื่อนไข ออกประเทศได้ หนีไปสมทบกับ พวกมือปืนในเขมรชัวร์
รายชื่อเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ ก่อนหน้านี้ ทหารยึดได้จากบ้านนางเมย์เยอรมัน หรือเมย์ EU นางมนัญชยา เกตุแก้ว หรือ เคสเนอร์ ซึ่ง ทำหน้าที่จ่าย น้ำเลี้ยงมือปืน มือระเบิด ภาคตอ. และภาคตอ./เหนือ อยู่

ที่หมู่บ้านบางแสนมหานคร จ.ชลบุรี มีเลขาสาว นางกริชสุดา คุณะเสน รายชื่อ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และรายชื่อมือปืน ทั่วราชอาณาจักรไทย ซึ่งรวมได้ประมาณ 3 กล่องใหญ่ ซึ่งทหารรวบรวมนำไป

เป็นหลักฐานในตรวจสอบ เพื่อดำเนินคดี หลุดรอดหมดเจอธาริตปล่อย !!
222222222222222222

สมุดบันทึก เล่มใหม่ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 5 ภาพ

หลักฐานชัดๆ พวกควายแดงอย่าแถ!!
มุขเก่าๆเดิมๆพวกมึงไม่เบื่อกันมั่งรึงัย?? แม่ง! สมองหมา ปัญญาควาย ตลอดเลยนะพวกมึง เหล่าบรรดาขี้ข้า สาวกควายแดงมันบอกว่า รัฐบาลจัดฉากเพื่อกฎอัยการศึก จัดฉากพ่อมึงอ่ะดิ มันง่ายเกิน

ไปนะ ใครจะยอมเป็นแพะ ไอ้พวกเหี้ย ความคิดสกปรก จัญไรตลอดๆ พวกมีงเคยยอมรับความเหี้ยของตัวเองบ้างไม๊ เคยรู้ไม๊ คนค่อนประเทศเกลียดพวกมึง! เหี้ยจริงไรจริง!!
มือปาระเบิดศาลอาญา ซัดทอด เตรียมก่อการใหญ่ ระเบิดทั่วกรุง 100 จุด มือบึมรับ ดึงยูเอ็นเข้ามาไทย !! ขณะนี้ กกล.ชุดดำ นับ 100 คนที่ส้องสุมกำลังอยู่ใน เขมร และ ลาว พร้อมเข้ามาปฎิบัติการ

สร้างความรุนแรงครั้งใหญ่ ใช้ "ปฎิบัติการปี 53 model " ฆ่าคนเสื้อแดง เน้นเด็ก และสตรี" เอาศพมากล่าวโทษ โยนความผิดให้พี่ทหาร พร้อมสร้างความปั่นป่วน
เป้าหมายของการปฎิบัติการคือ ก่อสงครามกลางเมือง เพื่อดึงให้ UN และมหาอำนาจ ส่ง กกล.เข้ามาดูแล !! ขณะนี้มีการแพร่ภาพ หน้าเหลี่ยมนั่งบงการ อยู่มาเก๊า ส่งสัญญานกดปุ่ม ดูความหายนะ

ของประเทศ พร้อมนางลูกสาว โดยมีการวางแผนกัน กับไอ้กัน สมคบคิดกันทำลายประเทศ
ตัวสั่งการ>>https://m.facebook.com/profile.php?id=723876997696814
222222222222222222222
Vachara Riddhagni

ผมได้โพสไปแล้วว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ย่อมออกมาปฏิเสธอยู่แล้ว เราอย่าไปสนใจเลยครับ เพราะว่าหากเราเอาคำพูดและพฤติกรรมต่างๆที่ปรากฏในอดีตเมื่อปี 2550 เป็นต้นมา คนไทยจะเห็น

พฤติกรรมก้าวร้าวของเขา เช่นในปี 2548 การนำบัญชีนายทหารกราบบังคมทูลเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายทหารรับใช้ราชการ นั้น

เกิดกรณีที่มีนายทหารบางคนไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จึงมีการทบทวนใหม่เป็นเรื่องอื้อฉาว พล.อ.ชัยสิทธิ์ ออกมาประกาศในทำนองที่ว่า "หากนายกรัฐมนตรีลงนามแล้วใครจะเปลี่ยนบัญชีรายชื่อ

ไม่ได้" จึงเกิดคำถามว่า นายกรัฐมนตรีก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ พระราชอำนาจนั้นย่อมครอบคลุมถึงข้อพิจารณาของคณะองค์มนตรีด้วย นอกนั้น นายพลคนนี้ยังให้สัมภาษณ์เหมือนชี้นำหนุน

ทักษิณและวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ (คงต้องเอา เหตุการณ์และคำพูดของนายพลคนนี้มาเตือนความจำคนไทย)
22

ไม่มีความคิดเห็น: