PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กรุ่นกลิ่นร้าวราน ศึกชิงแม่ทัพบก "บิ๊กโด่ง-บิ๊กหมู-บิ๊กติ๊ก" รักสามเส้า(ย้อนอดีตข่าว)

6ส.ค.58
กรุ่นกลิ่นร้าวราน ศึกชิงแม่ทัพบก "บิ๊กโด่ง-บิ๊กหมู-บิ๊กติ๊ก" รักสามเส้า ลุ้น "แบเร่ต์แดง" บานกลาง ทบ. และ ครม.ลายพราง "ประยุทธ์ 2"การแต่งตั้งโยกย้ายทหารไม่เคยมียุคไหนที่จะสงบราบเรียบเป็นทะเลไร้คลื่นเลย ต่อให้เป็นยุครัฐบาลทหาร ที่มีอำนาจล้นฟ้าก็ตามที เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นการแย่งชิงตำแหน่ง แล้ว อำนาจ มันไม่เข้าใครออกใครแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกัน ขั้วอำนาจเดียวกันก็ตาม แต่เพราะเก้าอี้มีตัวเดียว ดังนั้น ย่อมต้องมีคนสมหวังได้ครองอำนาจ และคนที่ผิดหวังไม่ได้ลิ้มรสแห่งอำนาจ

แม้วันนี้ บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการรัฐประหาร และเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติด้วยตนเอง และมีอำนาจสูงสุด แถมมีมาตรา 44 ในมืออีกด้วยแต่การโยกย้ายทหารระดับนายพล ปลายปี ที่กำลังจัดทำกันอยู่นี้ ก็มีเค้าลางแห่งความขัดแย้งกระแสข่าวลือการเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม จากบิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปเป็นบิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ที่กำลังจะเกษียณจาก ผบ.ทบ. ในเดือนกันยายนนี้นั้น ส่งผลให้เกิดความแตกร้าวขึ้นใน ทบเพราะฝ่ายหนึ่ง วิเคราะห์ว่าเป็นความพยายามในการที่จะผลักดันบิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ. น้องชายนายกรัฐมนตรี ให้เป็น ผบ.ทบ. เพราะรู้กันดีว่า พลเอกอุดมเดช นั้น สนับสนุน พลเอกปรีชา เป็น ผบ.ทบ. แทนอยู่แล้ว แต่ทว่าไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจเลือเนื่องจากอำนาจอยู่ที่ พลเอกประวิตร ในฐานะ รมว.กลาโหม และแม้ว่าท้ายที่สุด พลเอกประยุทธ์ ที่เป็นทั้งนายกฯ และหัวหน้า คสช. จะมีอำนาจตัดสินใจ แต่ก็เชื่อกันว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่กล้าที่จะดันน้องชายเป็น ผบ.ทบ.

จึงทำให้มีการปล่อยข่าว พลเอกประยุทธ์ ต้องการเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม ให้พลเอกอุดมเดช เพื่อผลักดันน้องชายเป็น ผบ.ทบ. นั่นเอง

โดยมีการปล่อยข่าว พลเอกประยุทธ์ เปิดเซฟเฮ้าส์หารือลับกับบิ๊กๆ คสช. ที่เป็นคีย์แมน ทั้งบิ๊กต๊อก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา บิ๊กเบี้ยว พลเอกฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสธ.ทบ. และ พลเอกอุดมเดช โดยจะให้ พลเอกประวิตร เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แค่ตำแหน่งเดียว

แล้วข่าวก็ดูมีน้ำหนัก เมื่อ พลเอกประวิตร เกิดมาหกล้ม เข้าเฝือก ต้องลาพักไม่มาทำงาน ทั้งการไม่เข้าประชุม ครม. ไม่ประชุมสภากลาโหม และประชุมสำคัญๆ ต่างๆ แล้วมอบหมายให้ พลเอกอุดมเดช ทำการแทนพอดี เลยวิจารณ์กันสนั่นว่าเพราะน้อยใจที่จะถูกปรับออก

จน พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร เองต้องออกมาสยบข่าวลือ ด้วยการยืนยันว่าประสบอุบัติเหตุหกล้มขณะเดิน และไม่ใช่เจ็บเพราะจักรยานล้มใดๆ แขนขาเจ็บ ไม่ใช่การน้อยใจหรือป่วยการเมือง
"บ้า ใครมันปล่อยข่าว ฝันไปเถอะ ไม่มีวันที่นายกฯ เขาจะปลดผมหรอก ยกเว้นแต่ว่าผมไม่สบาย ป่วยหนักไม่ไหวแล้ว ทำงานไม่ได้ หรือผมสมัครใจขอลาออกเองเท่านั้น ตอนนี้มีงานมากมายที่ต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป" บิ๊กป้อม ยัน

อีกทั้งความสัมพันธ์ของพี่น้องที่แนบแน่นยาวนาน เพราะรับราชการในหน่วยเดียวกันมาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ "ก็เจอกันเกือบทุกวัน แต่คุยกันนี่คุยกันทุกวัน คุยกันทุกเรื่องอยู่แล้ว เลิกลือกันได้แล้ว"
ขณะที่ พลเอกประยุทธ์ ก็ปฏิเสธเรื่องการถกลับ คสช. ที่เซฟเฮ้าส์ "ไม่มี เซฟเฮ้าส์บ้าบออะไรที่ไหน ไม่มี ลงข่าวกันเลอะเทอะ"
เพราะจะว่าไปแล้ว บ้านพัก ใน ร.1 รอ. ของพลเอกประยุทธ์ นี่ก็ถือว่าเป็นเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัยสุดๆ และไม่มีใครเข้าไปกร้ำกรายได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะ พลเอกประวิตร ถึงกับแสดงความมั่นใจว่า ไม่มีการถกลับใดๆ ของนายกฯ กับคีย์แมน คสช. ที่เซฟเฮ้าส์ เพราะเขารู้ดีว่า พลเอกประยุทธ์ มีเซฟต์เฮ้าส์หรือไม่ หรือที่ไหนบ้าง จนกลายเป็นที่มาของข่าวลือ การให้ พลเอกอุดมเดช เป็น รมว.กลาโหม และ พลเอกฉัตรเฉลิม เสธ.ทบ. ที่กำลังจะเกษียณ เป็น รมช.กลาโหม
"กลาโหมไม่ใช่ใครจะมาเป็นได้ง่ายๆ" พลเอกประยุทธ์ เปรย เพื่อสยบข่าวการเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม
เหล่านี้นี่เองที่ทำให้ฝ่าย พลเอกอุดมเดช ไม่ค่อยแฮปปี้กับกระแสข่าวที่พุ่งตรงมาในระยะหลังๆ นี้ ตั้งแต่การเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนกลาง ของรัฐบาลแห่งชาติ จนมาถึงการจะยึดเก้าอี้ รมว.กลาโหม จาก พลเอกประวิตร ที่ทำให้เขาตกเป็นเป้า เพราะพี่ๆ อาจจะหวาดระแวงได้
แต่ฝ่าย พลเอกอุดมเดช รู้ดีว่าเวลานี้ได้โดน "วางงาน" แล้ว เพื่อให้ตกเป็นเป้าสายตา เป้าหมายของผู้ใหญ่ที่อาจทำให้เกิดความหวาดระแวงว่าอยากได้อำนาจหรืออยากเป็นอย่างที่ร่ำลือจริงๆ
"ไม่มีหรอก พูดกันไปเอง ผมพูดได้เลย ไม่มีความเป็นไปได้ครับ เพราะตอนนี้ท่านพลเอกประวิตร ก็ดูแลกองทัพได้ดี" พลเอกอุดมเดช กล่าว
อีกทั้งเขาเองก็สังเกตว่า งานไหนที่ พลเอกประวิตร มอบหมายให้เขาไปทำภารกิจแทน ก็มักจะมีคนมาร่วมงานบางตา เพราะว่าบารมีของเขายังไม่ถึงขั้นนั่นเอง
"วันนี้ รมว.กลาโหม ไม่มา ให้ผมมาแทน คนเลยน้อยเลย" บิ๊กโด่งกล่าวแบบตัดพ้อตัวเอง
กลเกมที่ลึกลับซับซ้อนกำลังเกิดขึ้นในกองทัพบก เพราะแม้แต่โครงการก่อสร้าง "อุทยานราชภักดิ์" ที่ พลเอกอุดมเดช เป็นเจ้าของไอเดียและเป็นกำลังหลัก เพื่อให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ 7 พระองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ของพสกนิกรชาวไทย ก็ยังถูกปล่อยข่าวลือถึงเป้าหมายที่แท้จริงของ พลเอกอุดมเดช และทีมงาน
อย่าลืมว่า หากโครงการนี้สร้างสำเร็จเรียบร้อย ย่อมหมายถึงการแสดงถึงความมีบารมี และความสามารถ เพราะการสร้างสิ่งที่ใหญ่มหึมาและมีความหมายเช่นนี้ได้สำเร็จ และใช้งบประมาณมากถึง 1 พันล้านบาทนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่ พลเอกอุดมเดช และทีมงานก็ทำได้ แม้ว่าวันนี้จะขาดอยู่อีกราว 200 ล้านบาท ก็ตาม
หากมองเจาะลงไปในองคาพยพของการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ นี้ ก็จะเห็นถึงโครงข่ายอำนาจใน ทบ. เพราะ พลเอกอุดมเดช เป็นประธานโครงการ โดยได้รับความเห็นชอบจากทั้ง พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร
โดยมี พลเอกปรีชา เป็นแม่แรงสำคัญที่ช่วยพลเอกอุดมเดช อยู่ด้วยอีกคน
และที่น่าจับตาคือการที่ พลเอกอุดมเดช เลือกที่จะให้ พลเอกปรีชา ทำหน้าที่ในการอัญเชิญดวงพระวิญญาณและองค์พระบรมราชานุสาวรีย์ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขึ้นสู่แท่นประดิษฐานที่อุทยานราชภักดิ์ หลังจากที่ พลเอกอุดมเดช เป็นผู้อัญเชิญพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระองค์แรก เพราะถือว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นเสมือนองค์จอมทัพไทยตั้งแต่โบราณ
ขณะที่บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ. ที่ตอนนี้ใครๆ ก็เชื่อว่าเป็น "เต็งหนึ่ง" ผบ.ทบ. ได้อัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นแท่นประดิษฐาน
นอกจากนี้ พลเอกปรีชา ก็ได้รับความไว้วางใจจากพลเอกอุดมเดช ในการให้ช่วยทำโครงการ "ปั่นเพื่อแม่" Bike For Mom ที่กองทัพบกเป็นกำลังหลัก เพราะ พลเอกปรีชา เป็นประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายการจัดขบวนในวันจริง 16 สิงหาคม 2558 ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะทรงนำปั่นจักรยานเพื่อเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
และมีบิ๊กแกละ พลเอกพิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. และ ผอ.ศูนย์ปรองดอง คสช. ที่คาดหมายกันว่าจะได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. ในโผโยกย้ายนี้ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ แต่ไม่มีชื่อของ พลเอกธีรชัย เป็นประธานคณะอนุกรรมการชุดใดใน 4 คณะ จนกลายเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองกันใน ทบ.
เหล่านี้ ทำให้เรื่องราวในอดีตระหว่าง พลเอกอุดมเดช กับ พลเอกธีรชัย ถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 14 ด้วยกัน กลับต้องเดินกันคนละทาง ประกอบกับการแข่งขันกันเติบโตในราชการทหาร ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดรอยร้าว
จนทำให้วันนี้ คนใน ทบ. ฟันธงว่าในหัวใจของ พลเอกอุดมเดช ไม่มีพลเอกธีรชัย นั่งอยู่เลย มีแต่ พลเอกปรีชา รุ่นน้องเตรียมทหาร 15 น้องชายนายกฯ เท่านั้น
"ถ้า พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร ตกลงกันได้แล้ว บอกมาว่าท่านจะเลือกใคร พลเอกอุดมเดช ก็คงจะต้องเสนอชื่อ ผบ.ทบ.คนใหม่ ตามนั้น แม้จะรู้กันดีว่า พลเอกอุดมเดช สนับสนุน พลเอกปรีชา เต็มที่ก็ตาม" สายข่าววงในระบุ
แต่หากพิจารณาจากท่าทีของ พลเอกธีรชัย แล้ว จะเห็นความมั่นใจอยู่เต็มกระเป๋า จนร่ำลือกันว่า พลเอกประวิตร ได้ประกาศในหมู่นายทหารที่ใกล้ชิดในสายบูรพาพยัคฆ์ และทหารเสือราชินีแล้วว่า พลเอกธีรชัย จะเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป
ด้วยเพราะ พลเอกธีรชัย นั้น เป็นนายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ ที่เติบโตมากับ พลเอกประวิตร ตั้งแต่เป็นนายทหารหนุ่ม จนได้ชื่อว่าเป็นน้องรัก หรือลูกรักของ บิ๊กป้อม คนต้นๆ เลยทีเดียว แถมเป็นอดีตแม่ทัพภาค 1 และเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบ ที่ใกล้ชิดกับขุมกำลังรบ ขุมกำลังปฏิวัติของ ทบ. ที่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกองทัพภาค 1 และ พล.1 รอ., พล.ร.2 รอ. เสียมากกว่า
ส่วน พลเอกปรีชา นั้นเป็นอดีตแม่ทัพภาค 3 ที่อาจเรียกได้ว่า อาจจะยังไม่รู้จัก ผบ.หน่วยคุมกำลังในกองทัพภาค 1 ที่เป็นกำลังหลักของ ทบ. ได้หมดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ดูเหมือนว่า พลเอกปรีชา ก็ทำใจ และเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว
ขณะที่ พลเอกธีรชัย นั้น มีการเตรียมพร้อมที่จะเป็น ผบ.ทบ. อยู่พอสมควร ทั้งการเตรียมทีมฝ่ายเสนาธิการ การจัดทีมงาน ทีมผองเพื่อน ตท.14 ที่ถูกเรียกว่า "มุ้งหมู"
หรือแม้แต่ข่าวเม้าธ์เรื่องการจัดฮวงจุ้ยห้องทำงานต่างๆ ใหม่
แต่ที่ต้องจับตามองคือ การจัดห้าเสือ ทบ. นั้น หากพลเอกประวิตร ไฟเขียวให้ พลเอกธีรชัย เป็น ผบ.ทบ. แล้วจะให้เขามีโอกาสเลือกคน จัดทีมเวิร์ก ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตามมารยาทจะต้องให้ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน เป็นคนจัด
ส่วนใหญ่ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ก็จะให้ ผบ.ทบ.คนใหม่ เลือกได้แค่ เสธ.ทบ. คู่ใจ เพื่อที่จะมาทำงานคู่กันเท่านั้น จึงทำให้มีข่าวว่า พลเอกธีรชัย จะขอให้บิ๊กไก่ พลเอกกิตติ อินทสร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. เพื่อนรัก มาเป็น เสธ.ทบ.
แต่อีกกระแส พลเอกอุดมเดช จะเป็นคนจัดเองทั้งหมด เพราะเมื่อครั้งที่ พลเอกประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. ก่อนเกษียณ ก็ยังจัดเองหมด ไม่ได้ให้ พลเอกอุดมเดช ที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ใหม่ในเวลานั้น เลือกเลย แม้แต่ เสธ.ทบ.
จึงมีข่าวสะพัดว่า พลเอกอุดมเดช จะเลือกบิ๊กตั๋น พลโทชาติอุดม ติตถะสิริ รอง เสธ.ทบ. แกนนำ ตท.15 เพื่อนของ พลเอกปรีชา และน้องรักของ พลเอกประยุทธ์ และบิ๊กฉัตร พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง ผบ.ทบ. และ รมว.พาณิชย์ เพื่อนรัก ตท.12 ของ พลเอกประยุทธ์ มาเป็น เสธ.ทบ.
ส่วน ผช.ผบ.ทบ. นั้น บิ๊กโชย พลโทกัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาค 1 จะขยับมาเป็นพลเอก นั่งเก้าอี้นี้
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น มีชื่อชิงกันระหว่าง พลโทปราการ ชลยุทธ์ แม่ทัพภาค 4 และบิ๊กเจี๊ยบ พลโทเฉลิมชัย สิทธิสารท ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) ที่เป็น ผบ.นสศ.มา 3 ปีแล้ว และโดยรุ่นเตรียมทหาร 16 และศักดิ์ศรีและผลงานแล้ว จะต้องขึ้นห้าเสือ ทบ. ได้
แต่ด้วยความที่ พลโทเฉลิมชัย มีอายุราชการถึงปี 2562 หากขึ้นมาเป็นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายคราวนี้ ก็จะจ่อเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตได้ ซึ่งจะเป็นการขวางทางบิ๊กเข้ พลโทเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพน้อยที่ 1 ที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 ในโยกย้ายครั้งนี้ก่อน เพื่อจ่อขึ้นพลเอก ห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายกันยายน ปี 2559
แถมทั้งการเป็นทหารรบพิเศษ จะถูกมองว่าไม่ใช่คนในสายบูรพาพยัคฆ์ หรือทหารเสือราชินี จึงยากที่หมวกแบเร่ต์แดงจะแหวกขึ้นมาเบ่งบานกลางดงอำนาจ ทบ.ได้ แม้ว่า พลโทเฉลิมชัย จะเป็นนายทหารที่มีความสามารถ และวางตนได้ดีมาตลอด และเป็นทั้งน้องรักของบิ๊กแอ้ด พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และบิ๊กบัง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายทหารครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า จะทำไปตามปกติ ไม่มีการเร่งรัดให้เร็วขึ้น เช่นที่มีกระแสข่าวว่า เพราะจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี แล้วจะนำทหารที่จะเกษียณมาเป็นรัฐมนตรีเพิ่ม ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้เพราะ พลเอกประยุทธ์ ระบุว่าจะยังไม่มีการแต่งตั้งทหารคนไหนมาเพิ่มใน ครม. ที่จะมีการปรับในโอกาสครบรอบ 1 ปีรัฐบาล โดยเฉพาะ ผบ.เหล่าทัพ หรือบิ๊กทหาร บิ๊ก คสช. ที่จะเกษียณ เพราะเชื่อว่าทุกคนอยากเกษียณราชการไปพักผ่อนกันแล้วทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจะมาเหนื่อย
ท่ามกลางการจับตามองว่า พลเอกประยุทธ์ จะกล้าที่จะปรับรัฐมนตรีที่เป็นทหารออกจาก ครม. ในครั้งนี้หรือไม่ แม้นายกฯ จะลั่นวาทะที่ว่า "ทหารไม่ได้โง่" ก็ตาม
แต่เพราะกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และโพลบางสำนักหรือจากสื่อ ก็เล็งไปที่ พลเอกฉัตรชัย รมว.พาณิชย์ เพื่อนรักของ พลเอกประยุทธ์ เอง จนนายกฯ ต้องออกตัวแทนว่า ทำงานหนักเต็มที่มาตลอดปี แต่เพราะความรู้สึกของคนมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ไปโทษกระทรวงพาณิชย์
หรือแม้แต่บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เพื่อน ตท.12 อดีต ผบ.สส. ที่ก็เดินทางไปต่างประเทศแบบที่เรียกว่านับไม่ถ้วน ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ จนเจ้าตัวเชื่อว่าทุกประเทศเข้าใจไทยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ทว่าเขาก็ตกเป็นข่าวในเรื่องสไตล์การทำงาน และเรื่องส่วนตัวหลายครั้ง
"ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแก้ข่าว ให้เกียรติ สื่อจะเขียนอะไรก็เขียนไป ถ้ามันไม่ใช่ความจริง มันก็คือไม่จริง นี่คือผม" บิ๊กเจี๊ยบ สยบข่าวต่างๆ
หรือแม้แต่บิ๊กเต่า พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน ที่ก็ดูเงียบๆ ไม่มีผลงาน แต่ก็เป็นเพื่อนรัก ตท.12 ร่วมก๊วนของ พลเอกประยุทธ์ เลยทีเดียว
รวมทั้งบิ๊กเข้ พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ และอดีต ผบ.ทร. เพราะเป็นกระทรวงที่นายกฯ และ รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยาผู้เป็นครู ให้ความสำคัญอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ให้ดีทันตาเห็นใน 1 ปี
จน พลเอกประยุทธ์ ต้องตั้งซูเปอร์บอร์ดการศึกษาขึ้นมา แล้วนั่งคุมเอง เพื่อให้การแก้ปัญหาได้เร็วดั่งใจ ที่ดูจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจของ พลเรือเอกณรงค์ ไม่น้อย
ไม่มีใครอาจเดาใจ พลเอกประยุทธ์ ได้ว่าเขาจะกล้าปรับเพื่อน หรือทหารออกหรือไม่ หรือว่าคงไว้ทั้งหมด แต่นายกฯ ก็เคยบอกว่า "ผมต้องวางบทบาทให้ถูก เรื่องเพื่อน พี่ น้อง ต้องแยกออกจากเรื่องงาน"
"ผมไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น" บิ๊กตู่ลั่นวาจาไว้
แต่กระนั้น ความหวังของบิ๊กทหารในกองทัพที่กำลังจะเกษียณราชการ ที่จะโดน พลเอกประยุทธ์ เรียกตัวมาช่วยงาน หรือตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ก็ยังคงมีอยู่ เพราะแม้ว่าจะมีคนที่อยากจะเกษียณไปพักผ่อนอยู่บ้าง แต่คนที่ต้องการจะสานต่อภารกิจของ คสช. ให้เสร็จสิ้นก็มีไม่น้อย แถมทั้ง พลเอกประยุทธ์ จะต้องอยู่ยาวถึงปี 2560 เมื่อมี ประยุทธ์ 2 ก็อาจมีประยุทธ์ 3 ขึ้นได้ ย่อมต้องมีการปรับ ครม. เกิดขึ้นอีกแน่นอน
ดังนั้น การเมืองเรื่องของรัฐบาล คสช. และกองทัพ จึงแยกกันไม่ออก เฉกเช่นเดียวกับตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในอำนาจ ก็ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้ และที่สำคัญ ยากที่จะแยกออกจากอำนาจได้ง่ายๆ
เพราะลองใครได้ลองลิ้มรสแห่งอำนาจแล้ว ย่อมติดใจกันทุกผู้ทุกคน หรือใครที่ยังไม่เคยลิ้มลองก็ย่อมอยากที่จะลิ้มรสทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น: