PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มาเอาเงินของนาย! คนร้ายเล่า วันปล้นบ้าน ปลัดคมนาคม มี 500 ล. ขนได้ 200 ล.

มาเอาเงินของนาย! คนร้ายเล่า วันปล้นบ้าน ปลัดคมนาคม มี 500 ล. ขนได้ 200 ล.
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯคดีอดีตปลัด คมนาคม ซุกทรัพย์สิน ที่มาของเงิน 17.5 ล. คนร้ายเล่าเหตุการณ์ วันบุกปล้นบ้าน‘สุพจน์ ทรัพย์ล้อม’ ถูกสั่งให้มาเอาเงินของนาย ไม่แตะสินสอดลูกสาว รู้จากคนในมี 500 ล. ขนได้ 200 ล. 2 คนบอกเหม็นกลิ่นธนบัตรจนเวียนหัว
กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาคดีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความเป็นเท็จ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 (คดีหมายเลขแดงที่ อม. 210/2560) ทรัพย์สินที่นายสุพจน์ปกปิด 2 รายการ คือ เงินสด 17,553,000 บาท (เงินสดที่ถูกปล้นบ้าน) และรถตู้โฟล์คสวาเกน 1 คัน หมายเลขทะเบียน ฮต 8822 มูลค่า 3 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า กรณีรถยนต์ตู้โฟล์ค นายสุพจน์อ้างว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่เป็นของนายเอนก จงเสถียร เจ้าของบริษัท เอ็มเอ็มพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับฟิล์มถนอมอาหารในนาม เอ็ม แรป ซึ่งนายเอนกซื้อและนำไปให้ นางนฤมล ทรัพย์ล้อม ภรรยานายสุพจน์ใช้ในงานเกี่ยวกับเด็กและศาสนา เพื่อตอบแทนที่ นางนฤมล วางระบบงานบุคคลให้บริษัทของ นายเอนก และอ้างอีกว่า นำรถไปมอบให้พระเทพปฏิภาณกวีใช้งาน (ต่อมาเลื่อนเป็นพระราชปฏิภาณมุนี รองเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร) (อ่านประกอบ : ชื่อ ‘พระผู้ใหญ่’ โผล่คดี ‘สุพจน์’ ซุกทรัพย์สิน อ้างมอบรถโฟล์ค 3 ล.ให้ใช้งาน, เปิดที่มา‘รถโฟล์ค’ 3 ล.ฉบับ‘สุพจน์’ โยงเมีย นักธุรกิจ – ศาลชี้ปมเอกชนได้งานการท่าฯ)
ครานี้มาดูกรณีเงินสด 17,553,000 บาท กันบ้าง
ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยก็คือ เงินของกลางในคดีอาญาที่ 2458/2554 ของสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลางจำนวน 17,553,000 บาท เป็นของผู้คัดค้าน (นายสุพจน์) จริงหรือไม่ (เงินที่ค้นร้ายปล้นไป)
ผู้คัดค้าน (นายสุพจน์) ยื่นคำคัดค้านและนำพยานเข้าไต่สวนอ้างว่า เงินจำนวนดังกล่าว ไม่ใช่ของตนเอง เนื่องจากเงินที่ถูกปล้นไปมีเพียง 5,068,000 บาท ซึ่งนายสุพจน์ได้ยกเงินจำนวนนี้ให้ น.ส.สุทธาวรรณ และ นายสืบพงษ์ ลูกสาวและลูกเขย ไปก่อนวันที่นายสุพจน์มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินแล้ว
@ โจรปล้นบ้าน ชนวน ถูก ป.ป.ช.สอบ
คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2554 มีกลุ่มคนร้ายบุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ เลขที่ 77 แขวงวังทองหลาง เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร คนร้ายได้ทรัพย์สิน และนำหลบหนีไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมคนร้ายได้ พร้อมยึดเงิน 18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท เป็นของกลาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้อง มีมติว่า ผู้คัดค้าน (นายสุพจน์) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติและทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ 64,998,587.52 บาท ผู้ร้องส่งเรื่อง ให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 46,141,038.83 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 64,998,587.52 บาท โดยมีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินคือ
1. เงินของกลางในคดีอาญาที่ 2458/2554 ของสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง จำนวน 18,121,000 บาท ซึ่งเป็นเงินของผู้คัดค้าน 17,553,000 บาท และ 2. รถยนต์ ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮต 8822 กรุงเทพมหานคร ต่อมาเปลี่ยนเป็นหมายเลขทะเบียน ฮบ 8118 กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมายเลขทะเบียน ฮฉ 4699 กรุงเทพมหานคร ราคาซื้อ 2,920,000 บาท
@อ้างเงินถูกปล้นจริงๆแค่ 5 ล.
นายสุพจน์พยายามต่อสู้ว่า เงินของกลาง จำนวน 17,553,000 บาท (จากทั้งหมด 18,121,000 บาท)ไม่ใช่ของนายสุพจน์ เงินที่ถูกปล้นไปจริงมีเพียง 5,068,000 บาท ซึ่งเป็นเงินรับไหว้ในพิธีสมรส ระหว่าง น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม และ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรสาวและบุตรเขย ประกอบด้วยเงินของผู้คัดค้านและ นางนฤมล ทรัพย์ล้อม ภริยา 2,000,000 บาท เงินของ นายทศพร ปราบใหญ่ และ นางสมศรี ปราบใหญ่ จำนวน 2,500,000 บาท และเงินรับไหว้จากบุคคลอื่นอีก 568,000 บาท
@เหตุเกิดวันแต่งงานลูกสาว
วันที่ 12 พ.ย. 2552 เวลา 19.40 นาฬิกา ขณะผู้คัดค้านและ นางนฤมล ทรัพย์ล้อม ภริยาอยู่ในพิธีฉลองสมรสของ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม กับ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรสาวและบุตรเขยที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพมหานคร มีคนร้ายหลายคนพร้อมอาวุธ คือ มีดคัทเตอร์ 1 เล่ม ชะแลงเหล็ก 3 อัน ร่วมกันบุกปล้นบ้านของผู้คัดค้าน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมคนร้ายหลายคนพร้อมยึดเงินจำนวน 18,121,000 บาท โดยมีธนบัตรที่มีปลอกคาดธนบัตรของธนาคาร รวมเป็นเงิน 8,872,000 บาท ธนบัตรที่ไม่มีปลอกคาดธนบัตรของธนาคาร รวมเป็นเงิน 8,249,000 บาท และธนบัตรที่รัดด้วยสายรัดพลาสติกสีขาวใส 1,000,000 บาท
@ ตำรวจ ไล่ตามรวบ 9 ผู้ต้องหาหลาย จว.
นายสุพจน์ แจ้งความเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2554 ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมได้ 9 คน
1. นายสิงห์ทอง ใจชมชื่น ได้พร้อมเงิน 500,000 บาท
2. นายเสาร์แก้ว นามวงศ์ ได้พร้อมเงิน 1 ล้าน บาท ต่อมายึดเงินสดเพิ่มเติมอีก 50,000 บาท
3.นายสมบูรณ์ ริยะเทน ได้พร้อมเงิน 994,000, บาท และยังติดตามเงินได้อีก 700,000 บาท จากผู้มีชื่อที่ นายสมบูรณ์ นำไปมอบไว้
4.นายบุญสืบ โจมกัน
5. นายวุฒิชัย พันธวารี ได้พร้อมเงิน 840,000 บาท
6. นายวณัญกฤต บุตรกันหา พร้อมเงิน 65,000 บาท โทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 เครื่อง เงิน 8 ล้าน บาท ซุกซ่อนอยู่ในกล่องใส่กระดาษยี่ห้อดับเบิ้ลเอ 2 กล่อง เงินที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่นอน 1,500,000 บาท และ นายวณัญกฤต เบิกเงิน 400,000 บาท ส่งมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจเพิ่มเติม
7. น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนพร้อมมอบเงิน 1 ล้าน บาท
8. นายวีรศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี พวกของคนร้าย นำรถกระบะ หมายเลขทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี และเงิน 1,500,000 บาท ไปฝากไว้แก่ นายเลอศักดิ์ วิริยะกระษาปณ์ ต่อมาเจ้าพนักงานติดตามยึดรถกระบะดังกล่าวได้ และ
9. นายเลอศักดิ์ นำเงิน 1,500,000 บาท มามอบต่อเจ้าพนักงานตำรวจ
เจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดเงิน 772,000 บาท ได้จากบริเวณบ้านของ นายเสาร์แก้ว และยึดเงินอีก 500,000 บาท จาก นายเดชา นามวงศ์ ที่ นายเสาร์แก้ว นำไปมอบให้เป็นของกลาง และเจ้าพนักงานตำรวจยึดเงิน 300,000 บาท ได้จาก น.ส. พรรณปณัฏฐ์ พลายธนุกุล ซึ่งเป็นเงินที่ นายสิงห์ทอง นำไปมอบให้ รวมเจ้าพนักงานตำรวจยึดเงินจากคนร้ายได้ 18,121,000 บาท เป็นของกลาง
@ คนร้ายอ้างตรงกันเงินจากบ้านสุพจน์ - มี 500 ล.ขนได้ 200 ล.
เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำให้การของคนร้ายที่ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้คัดค้าน ต่างให้การว่า เงินของกลางได้มาจากบ้านผู้คัดค้าน โดยพฤติการณ์ ในการปล้นทรัพย์นั้น สืบเนื่องมาจากการที่ นางชุติมา จันทร์ผ่อง ซึ่งเคยเป็นเลขานุการของผู้คัดค้านทราบว่าบ้านของผู้คัดค้านมีเงินเก็บไว้แต่ไม่ทราบจำนวน กลุ่มคนร้ายทราบข้อมูลจาก นายวีระศักดิ์ว่าบ้านของผู้คัดค้านมีเงินอยู่ประมาณ 500 ล้านบาท และได้เงินจากการปล้นทรัพย์ไปประมาณ 200 ล้านบาท
@ ตร.พบ กระเป๋าถูกกรีด 7 - 8 ใบ
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปที่เกิดเหตุสอบถามคนใช้ให้การว่า กลุ่มคนร้ายรื้อค้นห้องเกิดเหตุและนำเงินไป และยังพบกระเป๋าที่ถูกกรีดกองอยู่ 7 ถึง 8 ใบ เมื่อรับฟังประกอบบันทึกคำให้การของ พันตำรวจเอก นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผู้กำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ประกอบบันทึกการตรวจค้นจับกุม พบว่ากลุ่มคนร้ายถูกจับกุมได้ในหลายท้องที่ เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดนครพนม ชั้นจับกุมมีเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเป็นการยากที่จะสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับเงินของกลางในขณะจับกุมคนร้าย
ทั้งยังพบว่า มีการกระจายเงินของกลางทั้งซุกซ่อน ในที่ลับและเก็บไว้ที่คนร้ายและบุคคลอื่น ในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง หากเป็นการกลั่นแกล้งน่าจะรวมเงิน ของกลางไว้แก่บุคคลคนเดียวหรือในที่เดียวกันซึ่งจะง่ายต่อการติดตามรวบรวมเงินคืนเพื่อปรักปรำ ผู้คัดค้าน มิใช่กระจายไปซุกซ่อนฝากไว้ที่คนร้ายและบุคคลหลายคน และย่อมไม่มีผู้กระทำความผิด หลายคนไปแสวงหาทรัพย์สินจำนวนนับสิบล้านบาทมาแยกกันครอบครองแล้วจึงลงมือกระทำความผิด ปล้นทรัพย์ หรือลงมือกระทำความผิดปล้นทรัพย์แล้วจากนั้นจึงไปแสวงหาทรัพย์สินซึ่งถูกประทุษร้าย ให้มีจำนวนมากกว่าเงินที่ผู้คัดค้านอ้างว่าถูกปล้นไปเพื่อกลั่นแกล้งผู้คัดค้านเพราะจะทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงมากอันอาจส่งผลให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษหนักขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมเหตุผล
ทั้งเมื่อพิจารณาข้อมูลของคนร้ายทั้งหมดก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะแสวงหาเงินนับสิบล้านบาทมาเพื่อปรักปรำ ผู้คัดค้านได้ คำให้การของคนร้ายว่า เงินของกลางได้มาจากการปล้นบ้านผู้คัดค้านจึงมีน้ำหนักน่ารับฟัง
@ถูกสั่งให้มาเอาเงินของนาย-ไม่แตะสินสอด
ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเงินที่ถูกคนร้ายปล้นไปมีเพียง 5,068,000 บาท ซึ่งผู้คัดค้านได้ยกเงินจำนวนนี้ให้ น.ส.สุทธาวรรณ และ นายสืบพงษ์ ไปแล้ว เห็นว่า
นายสิงห์ทอง ให้การแก่ผู้ร้อง ว่า ขณะที่เข้าไปรื้อค้นห้องที่เกิดเหตุเห็นถุงกระดาษสีฟ้าผูกโบจำสีไม่ได้อยู่ข้างโต๊ะทำงาน คิดว่าจากรูปทรงของห่อกระดาษและสภาพของห่อน่าจะเป็นเงินสินสอด แต่ไม่ได้สนใจเนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินของคู่บ่าวสาว และ นายวีระศักดิ์ เชื่อลี ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรกว่า ให้มาเอาเงินของนายเท่านั้น และ นายเสาร์แก้ว ให้การแก่ผู้ร้อง ว่า เมื่อมี การเข้าไปปล้นยังเห็นว่ามีเงินมัดหนึ่งเป็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท ลักษณะใหม่ผูกโบอยู่ ใส่พานไว้ และมีทองคำ สร้อยข้อมือ สร้อยคอวางอยู่รวมกัน นายเสาร์แก้ว คิดว่าน่าจะเป็นเงินสินสอดที่ได้จาก พิธีสมรสของบุตรผู้คัดค้าน
@ พล.ต.ต.ใช้มือคลำ เจอเงินสดในกระเป๋าเดินทางในบ้าน
และนอกจากคำให้การของคนร้ายแล้ว พลตำรวจตรี สุธีร์ เนตรกัณฐี ให้การตามเอกสารว่า หลังเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พลตำรวจตรี สุธีร์ เข้าไปยังที่เกิดเหตุพบเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนอยู่ในที่เกิดเหตุ และพบกระเป๋ากองอยู่ที่พื้น 7-8 ใบ พลตำรวจตรี สุธีร์ สอบถามคนใช้ในบ้านของผู้คัดค้านแจ้งว่า คนร้ายรื้อค้นตู้เสื้อผ้าของผู้คัดค้าน และนำกระเป๋าออกมากรีด นำเงินใส่ถุงที่คนร้ายเตรียมมา โดยคนร้ายสอบถามคนใช้ว่ากระเป๋าที่เหลืออยู่มีอะไรอยู่ภายใน เป็นเงินหรือไม่ คนใช้ตอบว่าเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าผู้คัดค้านที่เดินทางกลับจากต่างประเทศยังไม่ได้นำไปซัก คนร้ายจึงไม่ได้นำกระเป๋าดังกล่าวไป คนใช้ได้แจ้งอีกว่ามีกระเป๋าใส่เงินสินสอด งานแต่งงานของ น.ส.สุทธาวรรณ และ นายสืบพงษ์ ที่ผู้คัดค้านนำมาเก็บไว้เมื่อตอนเที่ยง พลตำรวจตรี สุธีร์ จึงตรวจสอบกระเป๋าที่วางกองซึ่งไม่ได้ถูกกรีดและไม่ได้นำสิ่งของภายในออก โดยตรวจสอบภายนอกด้วยมือเปล่าเชื่อว่ามีธนบัตรบรรจุอยู่ภายใน
@ 2 คนร้ายให้การ ขณะขนเงิน เหม็นกลิ่นธนบัตรจนเวียนหัว
และเมื่อพิจารณามูลเหตุที่คนร้ายเข้าปล้นบ้านผู้คัดค้านนั้นยังได้ความตามคำให้การของ นายบุญสืบ ว่าทราบจาก นายชยธัช บุตรของ นางชุติมา ซึ่งเคยทำงานเป็นเลขานุการผู้คัดค้านว่า ในบ้าน ของผู้คัดค้านมีเงินน่าจะเป็น 100 ล้าน บาท อยู่ในบ้าน โดย นางชุติมา เคยได้ยินคนใช้ผู้คัดค้าน พูดว่าบางครั้งนำหมูยอมาหั่นแต่ข้างในกลับพบว่าเป็นเงิน
นายสมบูรณ์ และ นายสิงห์ทอง คนร้าย ให้การว่าขณะที่มีการเข้าไปขนเงินได้กลิ่นเงินฟุ้งกระจายเหม็นจนรู้สึกเวียนหัวจะอาเจียน
@ภาพถ่ายกระเป๋ามัด โจรได้ไปมากกว่า 5 ล.
ข้อเท็จจริง ที่นำมารับฟังในคดีนี้จึงไม่ได้มีแต่เพียงคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดที่มิได้ปัดความรับผิดให้พ้นไปจากตนเท่านั้น แต่ยังมีถ้อยคำของพยานบุคคลแวดล้อมใกล้ชิดที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดีและไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำความผิด โดยมีรายละเอียดที่ยากแก่การปรุงแต่ง เช่น
ถ้อยคำจากคนใช้ในบ้านของผู้คัดค้าน และเจ้าพนักงานตำรวจที่พบกระเป๋าที่ถูกกรีดในห้องผู้คัดค้าน อีกทั้งยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมคนร้ายในหลายท้องที่ซึ่งจับกุมคนร้ายได้พร้อมเงินของกลางจำนวนต่าง ๆ
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายกระเป๋าประกอบสำนวนการสอบสวนคดีอาญา ซึ่งถือว่าเป็นพยานวัตถุที่พบทันทีหลังเกิดเหตุ เชื่อว่าน่าจะบรรจุเงินได้มากกว่าที่ผู้คัดค้านอ้างว่าถูกปล้นไป พยานหลักฐานทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงคนละส่วนเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกันจึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่าเงินของกลาง 18,121,000 บาท เป็นเงินที่ได้มาจากการปล้นบ้านผู้คัดค้าน

ไม่มีความคิดเห็น: