ไชยันต์ ชี้ พรรคการเมืองต้องจับมือกัน หากต้องการออกจากการเมืองใต้อิทธิพลทหาร
ศ.ดร.ไชยันต์ บรรยายต่อว่า ทั้งนี้หากย้อนดูสถิติการรัฐประหารจากทั่วโลก ในศตวรรษที่ 20 ทั่วโลกมีการรัฐประหารกว่า 300 ครั้ง โดยประเทศที่มีการทำรัฐประหารมากที่สุดคือ คือประเทศอาร์เจนตินาและกรีซ คือจำนวน 8 ครั้ง ส่วนประเทศไทย เป็นอันดับ 2 ของโลก ครองแชมป์คู่กับปากีสถาน โดยเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 อาร์เจนตินา กับกรีซ เลิกทำรัฐประหารไปแล้ว แต่ไทยยังมีการทำรัฐประหารอยู่อีก 2 ครั้ง คือปี 2549 และปี 2557 ดังนั้นการนำพาประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการเมือง จึงเป็นวาระสำคัญที่ไทยต้องหลีกหนีให้พ้น เพื่อมุ่งสู่ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งการพิจารณาประเทศไทย ภายใต้กรอบของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบเส้นทางพัฒนาการทางการเมืองสองแบบ แบบหนึ่งคือการรัฐประหาร ซึ่งไทยโดยเด่นที่สุด ส่วนประเทศที่ไม่ได้ติดอันดับการทำรัฐประหาร อย่างเช่น พม่า ก็พบว่ามีการเมืองการปกครองที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหารมานาน เพิ่งจะมีการเลือกตั้งเมื่อไม่นาน ขณะที่ ลาวมีรัฐยประหารครั้งเดียว แต่ก็มีแค่พรรคเดียวครองอำนาจยาวนาน ส่วนที่กัมพูชา “ฮุนเซน” ก็ครองอำนาจมานาน ไล่บี้ฝ่ายค้าน เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่มีพรรคเดียว และสิงคโปร์ที่ก็เป็นระบบสืบทอดอำนาจ ขณะที่มาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็มีอำนาจมานาน เช่นเดียวอินโดนีเซีย ที่ซูฮาร์โต้มีอำนาจมานาน จะเห็นว่าเงื่อนไขการเข้าสู่อำนาจของหลายประเทศ แม้ไม่มีรัฐประหารแต่ก็มีลักษณะอำนาจนิยม แต่ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็ถือว่าสถิติไม่เลวร้าย ซึ่งการเมืองไทยมักไม่ยึดกับรัฐธรรมนูญแต่เกี่ยวกับคน จึงเป็นคำถามว่าจะทำอย่างไรให้คนหมู่มากมีวินัย เคารพกฎหมาย
ศ.ดร.ไชยันต์ ระบุว่า ในเรื่องการปลดล็อกทางการเมืองนั้น กฎหมายพรรคการเมืองล่าสุดบังคับให้พรรคการเมืองต้องทำไพรมารี่โหวต โดยพรรคการเมืองนั้น หากอำนาจการตัดสินใจเป็นของหัวหน้าพรรคคนเดียวชี้ขาด จะเป็นระบบที่ทำให้ลูกพรรควิ่งเข้าหานาย ส่วนพรรคอีกประเภทคือกรรมการบริหารพรรคมีบทบาทมาก หัวหน้าพรรคไม่ได้มีบทบาทมาก หากจะให้ใครลงสมัครจะต้องมีการประชุมลงมติ ส่วนประเภทที่ให้สมาชิกพรรคเป็นผู้กำหนดจริงๆนั้นไม่มี ซึ่งตามพรบ.พรรคการเมือง กำหนดให้การทำไพรมารี่โหวตต้องมีการประชุมสมาชิกพรรคในระดับสาขาพรรคไม่ต่ำกว่าร้อยคน เพื่อเลือกตัวแทนบุคคลที่จะลงสมัครเป็น ส.ส. โดยหากใครจะลงสมัครก็จะเกิดการเกณฑ์คนมาลง และจะเกิดการแข่งขันกันระหว่างในพรรค จากการพูดคุยของตนกับนักการเมือง พบว่าหากใครแพ้ในขั้นไพรมารี่โหวต กลับมีแนวโน้มจะไม่ช่วยพรรคเดียวกัน หลายคนออกปากเลยว่าจะเลื่อยขากันเอง เพื่อให้เกิดการเสียหน้าด้วยซ้ำ นอกจากนี้การทำไพรมารี่โหวต ยังอาจมีปัญหากับวัฒนธรรมไทยที่อาจไม่ชอบเปิดหน้าแสดงตัวลงคะแนนขั้นไพรมารี่เชียร์ผู้สมัครที่ชอบอีกด้วย โดยเฉพาะข้าราชการไทยที่มีกว่า 2 ล้านคน ที่อาจไม่เข้าร่วมทำไพรมารี่โหวต ซึ่งการต่อสู้กันเองในพรรค ต่างกับต่างประเทศที่หากใครแพ้ขั้นไพรมารี่โหวตก็จะช่วยกันเพื่อเอาชนะคู่แข่ง ระบบนี้ก็จะยิ่งทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ
โดยตนเองสอบถามพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่า ท่านจะไปทำไพรมารี่โหวตหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ไป ส่วนตัวเห็นว่า คนที่จะไปทำไพรมารี่โหวตจะเป็นคนระดับชาวบ้าน ซึ่งระบบไพรมารี่โหวต เป็นระบบที่พรรคนายใหญ่แข็งแรงได้เปรียบ ส่วนพรรคที่เป็นประชาธิปไตยเละแน่นอน ทั้งนี้การเสนอชื่อนายกฯตามกฎหมายเปิดให้มีการเสนอชื่อสามชื่อ ทั้งคนที่เป็นส.ส. และไม่ได้เป็นส.ส.ก็ได้ ซึ่งมีคำถามว่าจะมีพรรคการเมืองไหนเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ หรือไม่ ตนทำนายพลเอกประยุทธ์จะไม่ยอม คิดว่าพรรคทหารไม่มี ซึ่งพรรคที่ออกมาเชียร์พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯอย่าง นายไพบูลย์ นิติตระวัน หรือหมอมโน ตนเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะไม่ยอมให้ใช้ชื่อ เพราะมีความเสี่ยงมาก คาดว่าเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ จะเสนอชื่อนายกฯได้ ขณะที่พรรคขนาดกลางคาดว่าจะมีอำนาจต่อรองมาก ก็จะเกิดการเจรจากันทางการเมือง ทั้งนี้หาก ส.ส.ไม่อยากให้ส.ว.ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทหารเข้ามามีบทบาทก็จะต้องเจรจากันให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น