PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ผ่าปัจจัย “ชี้ขาด” ผลเลือกตั้งหลังปิดคอก ส.ส. : “ทักษิณ” กระอัก ลุ้นคะแนนเก่า

เข้าสู่สัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายปลายปี

เดือนที่ถือเป็นไฮไลต์ตามเงื่อนไขเวลาในโรดแม็ป ตามปฏิทินที่มีการวางโปรแกรมคิวสำคัญๆในกระบวนการไปสู่การเลือกตั้งต้นปีหน้า

ถึงจังหวะนี้คงไม่มีอะไรพลิกผันจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562

โดยสถานการณ์ล่าสุด เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 350 เขตทั่วประเทศ เป็นที่เรียบร้อย

ผ่านด่านขั้นตอนปัญหายากๆที่ต้องใช้มาตรา 44 ช่วยผ่าทางตัน

ซึ่งก็หนีไม่พ้นเสียงโหวกเหวกโวยวายของนักการเมือง โดยเฉพาะขาใหญ่พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์รุมด่า กกต.แบ่งเขตพิลึกพิลั่น

ตามประสาของพวกเสียผลประโยชน์ตามฟอร์มนักเลือกตั้งอาชีพ

ได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา แต่เชื่อได้ถึงเวลาจะรีบวิ่งไปสมัครกันเป็นแถว

เพราะจุดสำคัญสุดมันอยู่ที่การได้คืนสนาม หลังโดนยึดเวที อดอยากปากแห้งมาหลายปี

เอาเป็นว่า โฟกัสวันที่ 7 ธันวาคมนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.มีกำหนดนัด กกต. ครม. และ สนช. ทีมแม่น้ำ 5 สาย หารือร่วมกับตัวแทนพรรคการเมือง

ลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง


และก็น่าจะเป็นจังหวะดีเดย์ ตามเงื่อนเวลาต่อเนื่องวันที่ 11 ธันวาคม ครบกำหนด 90 วัน เริ่มบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

พอดีกับที่ คสช.จะปลดล็อกทางการเมืองให้ทำกิจกรรมได้เต็มรูปแบบ

ก่อนประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ในวันที่ 16 ธันวาคม เข้าโหมดชิงชัยเกมชิงคะแนนเสียงประชาชนเพื่อเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยสถานการณ์ที่เซียนการเมืองอ่านเกมข้ามช็อตไปแล้ว

ตามแนวโน้มจากฟอร์ม “ยกแรก” ภายหลังผ่านพ้น “เดดไลน์” วันที่ 26 พฤศจิกายน เส้นตายรัฐธรรมนูญล็อกการสังกัดพรรคการเมือง 90 วันก่อนวันเลือกตั้ง ปิดตลาด ส.ส.ย้ายพรรค ย้ายค่าย

ประเมินแต้มเบื้องต้นได้จาก “มวยเกรดเอ” ที่เปิดตัวออกมา

สถานการณ์ที่ต้องยอมรับว่ายี่ห้อ “พลังประชารัฐ” ออกตัวได้แรงเกินคาดหมาย

จากการได้ทีมตัวเต็ง ลุ้นเหมายกจังหวัดที่กำแพง-เพชร เพชรบูรณ์ ชลบุรี ฯลฯ ไม่นับพวก “ดาวฤกษ์” ที่มีแสงในตัวเองในหลายจังหวัด ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ

เชื่อขนมกินได้ ใส่แต้มชัวร์ๆล่วงหน้า ยังไงก็ไม่แพ้เสาไฟฟ้า

โดยพัฒนาการทีละขั้น จากเริ่มแรกตั้งเป้า 40-50 เก้าอี้ เพิ่มเป็น 70-80 ที่นั่ง

พอ “ม้าเข้าคอก” แล้ว “พลังประชารัฐ” หวังได้ถึง 150 ที่นั่ง แบบที่ “มือเลือกตั้งอาชีพ” อย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ออกมาประกาศตัวเลขด้วยความมั่นอกมั่นใจ

เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ ไม่ใช่ “วาทกรรม” ลมๆแล้งๆ

และนั่นก็สวนทางกับสภาวะ “แรงตก” ของแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยยี่ห้อ “ทักษิณ” ที่ไล่ด่า ไล่จิกตี ตามแช่งอดีต ส.ส.ที่ย้ายค่าย ชิ่งหนี “นายใหญ่”

สะท้อนอาการ “ขาสั่น” เลือดไหลออกอุดไม่อยู่


จากตัวเลขอดีต ส.ส.กว่า 40 คน ที่สลับขั้วไปอยู่กับ “พลังประชารัฐ” ไม่นับอีกบางส่วนที่กล้าๆกลัวๆเลือกแทงกั๊กไปกบดานที่พรรคภูมิใจไทย

เหลือแต่ “นกแล” เป็นส่วนใหญ่ เฝ้ารังพรรคเพื่อไทย

ไม่ต่างจากสถานการณ์รองแชมป์อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่เลือดไหลออกจนบักโกรก เสียฐานที่มั่นหลายจังหวัดให้พรรคพลังประชารัฐ ทั้งภาคตะวันออก ภาคกลาง และพื้นที่กรุงเทพฯ

นั่นไม่เท่ากับการโดนทีมของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวขบวน กปปส. ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลัง-ประชาชาติไทย “เจาะยาง” ดึงอดีต ส.ส. 3 จังหวัดชายแดน นราธิวาส ปัตตานี ยะลา 6-7 ที่นั่ง ยังไม่นับถิ่นของตระกูลเทือกสุบรรณที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

รอบนี้ประชาธิปัตย์เสียเลือดไม่น้อยกว่าเพื่อไทย

โดยสภาพเข้าใกล้จุดพรรค “ต่ำร้อย” เห็นๆกันอยู่

ดูตามรูปการณ์ก็ไม่แปลกที่จะได้เห็นภาพ “สามัคคีบาทา” พรรคประชาธิปัตย์แท็กทีมพรรคเพื่อไทย ในอารมณ์ของขาใหญ่เจ้าถิ่น รุมเตะตัดขาน้องใหม่อย่างค่ายพลังประชารัฐที่กระโดดขึ้นมาเทียบชั้น “ตัวเต็ง”

ละเลงภาพพรรคท็อปบูต “จอมดูด”

และก็ตามสูตร แบบฟอร์มบังคับของการเลือกตั้งหลังรัฐประหาร

ลีลาของยี่ห้อเพื่อไทย เครือข่าย “ทักษิณ” ชิงเคลมภาพฮีโร่ฝั่งประชาธิปไตย ชูธงสู้กับเผด็จการ

อาการแบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ตั้งท่ารังเกียจทหาร ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมจับขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ


เหลี่ยมนักการเมืองอาชีพ “กระโดดขี่คอ” ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่”

ชิงกระแสสู้กันไปตามเหลี่ยมความได้เปรียบของใครของมัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่แฝงอยู่กับการเลือกตั้งรอบใหม่ที่มากกว่าการเลือกตั้งทั่วไป

เพราะมันแฝงเดิมพันการพลิกขั้ว ชิงอำนาจประเทศไทย

ถือเป็นจังหวะคาบเกี่ยว หนทางเดียวที่ “โคตรเซียนเลือกตั้ง” อย่างยี่ห้อ “ทักษิณ” จะได้โอกาสใช้ความได้เปรียบ ความเป็นต่อในเกมถนัดชิงกระแส

กลับมายึดอำนาจบริหารผ่านเสียงประชาชน

แต่อย่างไรก็ดี คนของพรรคเพื่อไทยเองก็ปฏิเสธไม่ออก นับตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการลากยาวศึกชิงอำนาจประเทศไทยระหว่าง “ทักษิณ” กับฝ่ายโค่นกระดานระบอบ “ทักษิณ”

ไฟต์นี้ “นายใหญ่” กระอักที่สุด

ตามภาพที่ลูกทีมเกรดเอย้ายหนีแบบเลือดไหลไม่หยุด ต่อเนื่องจากการเดินยุทธศาสตร์พลาด มอบธงให้ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นำทัพนอมินีรุ่น 3

ทำให้เกิดสถานการณ์คนย้ายออกพรรคเพื่อไทย หนีตายกันกระเจิดกระเจิง


แตกตัว แตกจริง แยกกันเดิน ตีกันเอง

ภาพมันฟ้อง “ทักษิณ” ไม่ได้แน่นปึ้กอย่างที่ตีกินกระแส ชนะแบบหิมะถล่ม อย่างเก่งก็ได้แค่ลุ้น “บุญเก่า” คะแนนนิยมเดิมๆจากกองเชียร์ที่ติดใจประชานิยมยี่ห้อเดิม

แม้แต่การตีกินกระแส บลัฟเผด็จการ เทียบสถานการณ์ก็ต่างจากเลือกตั้งหลังรัฐประหารที่ผ่านมา

แบบที่ฝั่ง “ทักษิณ” เคลมภาพประชาธิปไตย แต่ในฉากเบื้องหลังก็อย่างที่เห็นแค่ “ประชาธิปไตยจำกัด” ในรูปแบบบริษัทของตระกูลชินวัตร

อำนาจเคาะโต๊ะ ตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่นายห้างดูไบ

โยนติ้วลูกพรรค สั่งซ้ายหันขวาหัน ใครต้องปักหลักพรรคเพื่อไทย ใครต้องย้ายไปพรรคไทยรักษาชาติ

ลูกแถวไม่มีโอกาสเลือกเองตามหลักประชาธิปไตย

หรือในมุมหลอกๆของประชาธิปัตย์ “อภิสิทธิ์” ก็ทำเป็นต่อต้านเผด็จการ โชว์พ่อยกแม่ยกตามสไตล์แค่นั้น เพราะของจริงมันก็ต้องลดอาการเฮี้ยวลงไป ตามเงื่อนไขสถานการณ์หลังเลือกตั้งหัวหน้าพรรคที่ “อภิสิทธิ์” ชนะมวยรองบ่อนอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่เดินทางลัดขึ้นมาเทียบชั้น
ไม่ถึงหมื่นคะแนน

แผนลดพยศ “อภิสิทธิ์” ถูกบล็อกไว้ด้วยทีม “งูเห่า” ที่แฝงอยู่

อีกทั้งทางเลือกประชาธิปัตย์จะพลิกไปจับขั้วกับ “ทักษิณ” ยิ่งเป็นไปไม่ได้

อารมณ์เก๋าๆแบบที่นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข แกนนำรุ่นใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ จับไต๋ พวกที่บอกไม่จับมือ ถึงเวลามีแต่จะวิ่งมาจับขั้วหนุน “นายกฯลุงตู่” กันไม่ทัน

ดูตามรูปเกมมาถึงตรงนี้ ชัดเลยว่าทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ถือดุลอำนาจได้เปรียบไว้เกือบทุกประตู

ทั้งกติการัฐธรรมนูญเปลี่ยนผ่าน 5 ปี เปิดทาง 250 ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี บวกตัวเลขต้นทุน ส.ส.เกรดเอของพรรคพลังประชารัฐที่ขยับขึ้นเป็นตัวเต็งหวังได้ 150 ที่นั่ง

ไหนจะช็อตทีมเศรษฐกิจภายใต้การคุมยุทธศาสตร์ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯกัปตันทีมเศรษฐกิจ ปักหมุดเมกะโปรเจกต์ โชว์เนื้องานรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในระยะยาว


พร้อมเร่งอัดฉีดมาตรการดูแลปากท้องคนมีรายได้น้อย มัดใจคนจนฐานใหญ่ของประเทศ

เดินเกมการตลาดเก็บแต้ม ย้อนรอยโคตรเซียนยี่ห้อ “ทักษิณ”

นั่นก็ทำให้เซียนฟันธง “ยกแรก” พรรคพลังประชารัฐทำแต้มนำ กุมสภาพไว้ได้หมด ทั้งมวยเกรดเอ กรรมการ ทีมพี่เลี้ยงให้น้ำ รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบเวที

ขณะที่คู่ต่อสู้ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ตั้งหลักไม่ติด

เหลือแค่ยกท้ายๆ ทีมหนุน “ลุงตู่” จะดึงคะแนนจากประชาชนได้แค่ไหนเท่านั้น.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: