PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562

‘อุตตม’ยัน1ก.พ.สู่ขอ‘บิ๊กตู่’นั่งบัญชีนายกฯ ตอกคนโจมตีเป็นพรรคทหารแค่สร้างวาทกรรม


‘อุตตม’ยัน1ก.พ.สู่ขอ‘บิ๊กตู่’นั่งบัญชีนายกฯ ตอกคนโจมตีเป็นพรรคทหารแค่สร้างวาทกรรม

“อุตตม”ลั่นพร้อมยกขบวน พปชร.แห่ขันหมากเชิญ“บิ๊กตู่”เป็นนายกฯของพรรคเย็นวันพรุ่งนี้ หวังเจ้าตัวตอบรับ เผยยังไม่ได้ติดต่อ“สมคิด”เป็นทางการ ตอกคนโจมตี พปชร.เป็นพรรคทหาร แค่หวังสร้างวาทกรรมการเมือง แย้มวันนี้เคาะรายชื่อ ส.ส. ครบ 350 เขตลงตัว


เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 31 ม.ค.62 ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนการเสนอเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ในบัญชีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค ว่า พรรคได้ประสานไปถึงทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียบร้อยแล้วว่าภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 1 ก.พ. ตนจะนำคณะผู้บริหารพรรค 4-5 คนไปเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 16.30 น. เพื่อเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 ของพรรค พร้อมกับนำเอกสารที่เกี่ยวกับนโยบายและแนวทางพรรคไปมอบให้ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาตัดสินใจตอบรับ
ส่วนความคืบหน้าการเชิญนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีด้วยอีกคนนั้น ทางพรรคยังไม่ได้ติดต่อนายสมคิด อย่างเป็นทางการ เนื่องจากนายสมคิด ยังติดภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ คาดว่าเมื่อนายสมคิด เดินทางกลับประเทศไทยแล้วก็จะติดต่อประสานไป      
“เมื่อเชิญ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ผมยังตอบไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบรับเมื่อใด ซึ่งพรรคหวังว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะกรุณาตอบรับคำเชิญของพรรค และคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงต้องใช้เวลาพิจารณาเอกสารสักเล็กน้อย เรายังมีเวลาระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ. ในการยื่นชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวด้วยว่า สำหรับการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 350 เขตของพรรคในวันที่ 2 ก.พ.นั้น จะมีการบอกให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนได้รับทราบว่าเราได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ เรียบร้อยแล้ว ส่วนรายชื่อส.ส. 350 เขตที่ยังไม่ลงตัวอีก 1 เขตของ จ.พัทลุง คาดว่าในวันนี้ (31 ม.ค.62) พรรคจะได้ว่าที่ผู้สมัครครบทุกเขต จากนั้นจะประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 1 ก.พ.อีกครั้ง
เมื่อถามว่าการที่พรรคเสนอ 3 รายชื่อนายกรัฐมนตรีในนามของพรรค เพราะต้องการไม่ให้ถูกมองว่าเป็นพรรคทหารหรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ความคิดเห็นมีหลากหลาย ทั้งสนับสนุนและที่ยังมีข้อสงสัย รวมถึงวิจารณ์ก็มี แต่ทั้งหมดต้องให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้ตัดสินใจก่อน เมื่อชัดเจนแล้วสังคมก็จะเห็น ในส่วนของตนที่มีชื่อเป็น 1 ในรายชื่อจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตนก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ไม่ได้เป็นเพราะว่าต้องรอ พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิดตัดสินใจก่อน
เมื่อถามว่าขณะนี้มีการรณรงค์หาเสียงให้เลือกระหว่างพรรคทหารกับพรรคฝั่งประชาธิปไตย ทางพรรคจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร นายอุตตม กล่าวว่า ต้องถามกลับว่าตั้งแต่ตอนตั้งพรรคมาได้เห็นทหารหรือไม่ สิ่งที่พูดเป็นเหมือนวาทกรรมทางการเมืองที่ป้ายสีออกมา และที่บางคนพูดเรื่องประชาธิปไตยถามว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไหน แต่ในส่วนของพรรคไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นแบบไหน แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยของคนไทย
เมื่อถามว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับ จะสามารถช่วยพรรคเดินสายปราศรัยหาเสียงได้หรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ต้องดูข้อกฎหมายให้ชัดเจนว่าระบุให้ทำอะไรได้บ้าง

‘กกต.’ชงครม.สัปดาห์หน้า ระเบียบปฏิบัติขรก.การเมือง ในช่วงเลือกตั้ง


“รองเลขาฯกกต.” เผยเตรียมยกร่างแนวทางปฏิบัติข้าราชการการเมืองในช่วงเลือกตั้ง แย้มเตรียมดันปรับปรุงฉบับใหม่ อิงข้อมูลเดิม ชง “ครม.” สัปดาห์หน้า 

31 ม.ค. 62 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าหารือกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางการวางตัวของข้าราชการการเมืองช่วงการเลือกตั้ง ว่า ข้อเท็จจริง กกต.  ได้ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเกี่ยวกับการวางตัวของข้าราชการ โดยในที่ประชุมจะเชื่อมโยงไปยังปีเก่าๆจำนวนมาก ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ทำให้ผู้ปฏิบัติต้องไปเปิดเอกสารแนวทางการปฏิบัติจำนวนมาก จึงจะมีการยกร่างในเรื่องดังกล่าวขึ้นมาใหม่  โดยนำข้อมูลจากของเดิม และกกต. จะนำเสนอ ที่ประชุม ครม. พิจารณา คาดว่า จะเป็นในสัปดาห์หน้า วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งในส่วนของ กกต. มีเรื่องที่รับผิดชอบเพียงเท่านี้ สวนเรื่องอื่นๆที่ยังมีข้อสงสัยนั้นในที่ประชุมกำลังพิจารณากันอยู่ เพราะกกต.ไม่มีหน้าที่
รองเลขาฯกกต. กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรี หลังจากตอบรับการเสนอชื่อว่า อะไรทำได้หรือไม่ หาก กกต.  จะต้องหารือ เป็นไปตามที่กฎหมายเปิดช่องให้ ส่งหนังสือให้กกต.พิจารณาเป็นทางการ เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม กกต. อย่างไรก็ตามในที่ประชุม ได้มีการพูดถึงกรณีที่ กกต. หรือผอ.กกต.ประจำจังหวัด หรือกรรมการการเลือกตั้งประจำเขต ร้องขออะไรไปยังส่วนราชการ ก็ขอให้ให้การสนับสนุน รวมถึงเรื่องการติดป้ายหาเสียง  ซึ่งกฎหมายให้ กกต. กำหนด ก็ได้มีการออกระเบียบ เพื่อขอให้ส่วนราชการให้การสนับสนุนในการติดตั้ง  ซึ่งในส่วนนี้จะได้ขอให้ ครม.  ออกเป็นมติ เพื่อเป็นการกำกับส่วนราชการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ส่วนราชการเกิดความสบายใจ
 เมื่อถามว่า การลงพื้นที่หรือการประชุม ครม.สัญจรยังคงทำได้หรือไม่ รองเลขาฯกกต. กล่าวว่า นายวิษณุ กำลังหารือในเรื่องนี้อยู่ ตนไม่สามารถตอบอะไรได้ และกกต. ก็ไม่เคยหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาหารือ ทั้งนี้พรรคการเมืองที่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกในบัญชีพรรคจะต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ในกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับนั้น พรรคดังกล่าวไม่ต้องระวังอะไร อย่าทำผิดกฎหมายก็พอ เนื่องจากบรรยากาศทางการเมืองขณะนี้ก็ดีขึ้นเยอะ สามารถหาเสียงได้ โดยไม่พูดพาดพิงถึงคนอื่น หรือหากไม่มั่นใจ เพราะเห็นว่า ผู้สมัครรายใดหรือพรรคการเมืองใดทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต  หรือฝ่าฝืนกฎหมายสามารถยื่นคำร้องต่อ กกต.ได้เลย จะได้ดำเนินการ สืบสวนไต่สวนตามกระบวนการ
นายณัฎฐ์ กล่าวอีกว่า สวนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายหารือกับ กกต.ว่าอะไรทำได้หรือไม่นั้น ตนได้ปฏิเสธแล้ว  เพราะกกต.ไม่รับหารือ เนื่องจากการกระทำผิดบางเรื่องอยู่ในอำนาจ กกต. พิจารณา แต่บางเรื่องอยู่ในอำนาจศาลจะพิจารณา หากมีผู้ร้องต่อศาลศาลจะวินิจฉัย ดังนั้น กกต. จะไม่วินิจฉัยก่อนจนมีการร้องขึ้นมา เมื่อยังไม่มีกรณีเคสยังไม่เกิด กติกามันหยุมหยิมมาก รอให้เคสเกิดขึ้นมาค่อยว่ากัน ซึ่งกกต.มีแนวทางการทำงานแบบนี้

1 ก.พ.เทียบเชิญ "บิ๊กตู่" หวัง 7-7-7 ทำ win-win

1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.
2.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค-อดีดต รมว.อุตสาหกรรม
3.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล

ทั้ง 3 ชื่อข้างต้น คือรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตามมติคณะที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันพุธที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ที่เคาะรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ออกมา ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามคาด และหลังจากนี้ แกนนำพรรคก็ดำเนินการตามขั้นตอน เช่น การที่แกนนำพรรคจะไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อส่งเทียบเชิญให้มาอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค ซึ่งมีข่าวว่าแกนนำพรรคจะไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงวันที่ 1 ก.พ. นี้ โดยหลังจากนั้น ก็ต้องรอดูว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตอบตกลงในวันดังกล่าวทันทีเลยหรือไม่ หรือจะเว้นระยะสักช่วงหนึ่ง แต่ก็ต้องทำภายในไม่เกิน 8 ก.พ. ที่เป็นวันสุดท้าย ซึ่งพรรคการเมืองต้องแจ้งรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะเปิดรับสมัคร ส.ส.และรับแจ้งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วง 4-8 ก.พ.

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร. ให้เหตุผลมติดังกล่าวไว้ว่า พรรคจะให้ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นนายกฯ ปัจจุบันและเป็นอดีตนายกฯในอนาคต ส่วนรายชื่อที่สองคือนายอุตตม เพราะเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนรายชื่อที่สาม เพราะนายสมคิดเป็นบุคคลนอกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามา

เหตุที่พรรคเชิญ พล.อ.ประยุทธ์และนายสมคิด เพราะมีความรู้ความสามารถที่จะบริหารนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ 2.เป็นบุคคลที่ประชาชนชื่นชอบ 3.มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และการทำงานที่ผ่านมามีจริยธรรม ถือเป็นคุณสมบัติหลักในการพิจารณา พรรคเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯของประเทศ ความหลากหลายทางความคิดก็เป็นข้อคิดเห็น ซึ่งทางพรรคก็ยังไม่ทราบท่านเหล่านี้จะรับการเป็นนายกฯ ของพรรคหรือไม่ ก็ขอให้พรรคดำเนินการตามขั้นตอนก่อน เพราะอาจจะเร็วไปที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านั้น

ไม่ว่าชื่อใดจะเป็นนายกฯ ก็เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ระบบของพรรคไม่ได้เกี่ยวข้องกับคสช. พรรคเดินตามแนวทางประชาธิปไตย และ พปชร.ก็ไม่ใช่พรรคของรัฐบาล เป็นพรรคที่กลุ่มคนต่างๆดำเนินการทางการเมือง เมื่อสุดท้ายพรรคพิจารณาแล้ว พรรคต้องมั่นใจว่าทั้ง 3 รายชื่อจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เลขาธิการพรรค พปชร.ระบุในการแถลงข่าวมติพรรค พปชร.

อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำพรรค พปชร.จะบอกว่า ยังไม่แน่ใจว่า บิ๊กตู่” จะตอบรับหรือไม่กับเทียบเชิญดังกล่าว แต่ถึงตอนนี้ ใครต่อใครก็เชื่อกันไปหมดแล้วว่า กว่ามติ พชปร.จะออกมาดังกล่าว ระดับแกนนำพรรคที่ก็คือคนในรัฐบาล คสช.ด้วยกันเองกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้คุยปรึกษาหารือกันมาหมดแล้ว เพราะกระบวนการ จัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ ทุกคนก็รู้กันดีว่า ระดับแกนนำ คสช.ต่างก็รู้เรื่อง และยังให้การสนับสนุนมาตลอด ยิ่งมติ พปชร.ที่ออกมา ในการจะส่งชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ มีหรือที่เรื่องแบบนี้คนในพรรค พปชร. โดยเฉพาะ 4 อดีต รมต.ของพรรค ทั้งอุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์, กอบศักดิ์ ภูตระกูล จะไม่คุยกับพล.อ.ประยุทธ์และสมคิดไว้ก่อนล่วงหน้า
ในความเป็นจริง มันมีทั้งการพูดคุย-เจรจา-ต่อรองไว้หมดเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เพียงแต่กระบวนการต่างๆ ก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน เล่นไปตามสเต็ป

ยิ่งท่าทีของบิ๊กตู่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ชัดเจนแล้วว่าลงเล่นการเมือง เข้าสู่ way การเลือกตั้ง ผ่านการเป็นหนึ่งในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ แน่นอน ดังนั้น แคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร. ก็จะมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน แม้ต่อให้ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์จะสงวนท่าทีไว้ก็ตาม

ขอดูก่อนสิ หลายๆ พรรคเขาก็สนับสนุนเรา แต่ปัญหาเราคือ เราเลือกได้พรรคเดียว ก็ดูก่อนว่านโยบายเขาเป็นอย่างไร(พล.อ.ประยุทธ์ 30 ม.ค.) ก่อนมติพรรค พปชร.ในช่วงเย็นวันเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูตามหน้าไพ่การเมือง แคนดิเดตนายกฯ ที่จะชิงกันในช่วงการเลือกตั้ง ก็น่าจะมี 3 ขั้วใหญ่

1.ฝ่าย คสช.-พลังประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีบางพรรคเป็นพันธมิตรการเมืองร่วมสนับสนุน เช่น  รวมพลังประชาชาติไทย ของสุเทพ เทือกสุบรรณ
2.ขั้วเพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร ที่จะชูชัชชาติ สิทธิพันธ์, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ โดยมีกองหนุนจากพรรคเครือข่ายอาทิ ไทยรักษาชาติเพื่อชาติ เป็นต้น
3.ประชาธิปัตย์ นำโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งหาก ปชป.ต้องการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องทำให้ได้เสียงส.ส.มาเป็นอันดับ 2 รองจากเพื่อไทย เพื่อต่อรองกับ พปชร.ได้แบบสมน้ำสมเนื้อ

ขณะที่บางพรรค ที่แกนนำหวังจะขอเป็น นายกฯ ตาอยู่ เช่น อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดูแล้วแม้การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เส้นทางของอนุทินในการลุ้นเก้าอี้นายกฯ ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในศึกเลือกตั้งรอบนี้ เช่นเดียวกับหัวหน้าพรรคการเมืองอีกหลายพรรค ที่พยายามจะชูตัวเองเป็นนายกฯ อาทิ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งอนาคตใหม่, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ในความเป็นจริง ก็คงเป็นแค่สีสันการเมืองเท่านั้น โอกาสลุ้นถึงขั้นจะเป็นนายกฯ คงเป็นแค่ความฝัน
ขณะที่มุมวิเคราะห์การเลือกตั้งจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐ อย่าง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค มือเขียนนโยบายพรรค พปชร.7-7-7 ซึ่งเป็นแคมเปญนโยบายหลักที่ พปชร.จะใช้ในการหาเสียงหลังจากนี้ ภายใต้การชู 3 เรื่องใหญ่คือ
"สวัสดิการประชารัฐ, เศรษฐกิจประชารัฐ, สังคมประชารัฐ

ดร.สุวิทย์ วิเคราะห์ว่า ปัจจัยชี้ขาดผลเลือกตั้งมีสามปัจจัยคือ นโยบาย ตัวผู้นำ ตัวผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ ขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ได้ เช่น ผู้สมัคร ส.ส.หากไม่ทำการบ้านในพื้นที่ พรรคก็ไม่ได้เสียง แต่หากเขาเป็นที่รู้จัก แต่ทว่านโยบายพรรคไม่ชัดเจน ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ได้และปัจจัยสุดท้ายคือเรื่องตัวผู้นำแคนดิเดตนายกฯ

ถ้าได้ พล.อ.ประยุทธ์มาก็สุดยอดเลย เพราะจะไปด้วยตัวของมันอยู่แล้ว"

พร้อมกับย้ำว่า “หัวใจสำคัญของนโยบาย 7-7-7 ของพรรคพลังประชารัฐ มุ่งไปที่ ต้องขจัดความเหลื่อมล้ำ ที่จะต้องไปพร้อมกับการก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งสังคมไทยในอดีตเป็นสังคมที่ดีมาก เป็นสังคมอบอุ่น ช่วยเหลือแบ่งปัน แต่การเมืองช่วงก่อน 22 พ.ค.57 มีความขัดแย้ง แตกแยกกัน ซึ่งนอกจากขจัดความเหลื่อมล้ำแล้ว ต้องก้าวข้ามความขัดแย้งด้วย นโยบาย 7-7-7 จึงมีความเชื่อมโยงต่อกันเพื่อตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำ

นโยบาย 7-7-7 ของ พปชร.จะเป็นพลังหนุนให้ พปชร. ได้เสียง ส.ส.ตามที่ต้องการ จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงทำให้บิ๊กตู่คัมแบ็ก กลับตึกไทยคู่ฟ้ารอบสองหลังเลือกตั้งได้หรือไม่ ต้องรอดูเมื่อถึงช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง กระแสขานรับนโยบาย 7-7-7 และชื่อของบิ๊กตู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.จะมีมากน้อยแค่ไหน ในช่วงยามที่บิ๊กตู่ถอยหลังไม่ได้ ต้องเดินหน้าลูกเดียว.

เพื่อไทยเคาะแล้วนายกฯบัญชีพรรค-ผู้สมัครส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ 'ภูมิธรรม'โวลั่นกวาดเรียบ!

เพื่อไทยเคาะแล้วนายกฯบัญชีพรรค-ผู้สมัครส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ 'ภูมิธรรม'โวลั่นกวาดเรียบ!


31 ม.ค.62 - ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค แกนนำพรรคและกรรมการบริหารพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง เพื่อพิจารณาอนุมัติบุคคลที่เห็นสมควรอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีทั้ง3รายชื่อ รายชื่อผู้สมัครส.ส.ระบบเขต รายชื่อส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

ภายหลังการประชุม  นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงว่า มติกรรมการบริหารพรรค ได้พิจารณาอนุมัติ ผู้สมัครเขตเลือกตั้ง 250  เขต  ประกอบด้วยภาคเหนือ 51 เขต อีสาน 112 เขต กลาง 55 เขต ใต้ 10  เขต กทม. 22 เขต    ส่วนผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่ง 100 คน โดยพล.ต.วิโรจน์ จะเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง 
สำหรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี  จากการรับฟังเสียงจากพี่น้องประชาชนที่เสนอมา 5รายชื่อ ประกอบด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายชัยเกษม นิติสิริ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อย่างไรก็ตามที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ได้ตัดสินใจสรุป3รายชื่อ  คือ คุณหญิงสุดารัตน์ ที่มีประสบการณ์การเมือง นายชัชชาติ เป็นนักบริหารมืออาชีพ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนักกฎหมาย ทั้ง3ชื่อ จะถูกนำเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยไม่มีการจัดลำดับ
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าสำหรับสาเหตุที่ไม่ส่งครบ 350  เขต เนื่องจาก รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้ง 250 เขต พรรคเพื่อไทยล้วนมีความมั่นใจว่า จะนำพาพรรคเพื่อไทยไป ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน 
"มั่นใจว่าเป็น 250 เขต ที่มีคุณภาพ จะได้ทั้ง 250 ที่นั่ง เข้าสภาฯมาทั้งหมด เกือบทุกพื้นที่เป็นอดีตส.ส.ได้รับการยอมรับจากประชาชน ส่วนที่เป็นคนรุ่นใหม่ ก็เป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่"นายภูมิธรรม กล่าว

‘ถาวร’เดือด!ตบปาก‘จาตุรนต์-ณัฐวุฒิ’ป้ายสี‘ปชป.’เอี่ยวทหารปฏิวัติ

“ถาวร” ตบปาก “เต้น-อ๋อย” ป้ายสี ปชป.ต้นเหตุทหารปฏิวัติ ขู่ ฟ้องยุบพรรค ฐานใส่ร้ายบิดเบือน ชี้ รู้อยู่แก่ใจเหตุยึดอำนาจ แนะ เอาเวลานำเสนอนโยบายแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านดีกว่า 

31 ม.ค. 62 นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ปราศรัยที่จังหวัดตรัง พาดพิงพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม กปปส. เป็นต้นเหตุทำให้ทหารเข้ามาปฏิวัติว่า ที่ผ่านมาตนเคยร้องขอให้ยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนรวมถึงตัดสินทางการเมืองของนักการเมืองมาหลายคนแล้ว เพราะเนื่องจาก ทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง อาทิ การโกงเลือกตั้ง การซื้อเสียง การใส่ร้ายป้ายสี จึงขอเตือนว่า อย่าทำการเมืองแบบเดิมที่หาเสียงใส่ร้ายป้ายสีประชาธิปัตย์ เล่นการเมืองแบบน้ำเน่าสาดโคลน เพราะสาเหตุการรัฐประหารเกิดจากทหารอ้างเหตุการทุจริต และทำผิดกฎหมายของพรรคการเมือง และนักการเมืองในแต่ละยุค เช่น  ปี 2534 ที่เกิดบุฟเฟ่ต์คาบิเนต ปี 2550 เกิดการทุจริตของระบอบทักษิณ ปี 2557 เกิดจากมวลมหาประชาชนชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทรราช ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย และการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ดังนั้น สาเหตุที่แท้จริงทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า การปฏิวัติ ปี 2557 ไม่เป็นไปตามที่บางพรรคการเมืองใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือน 
“แกนนำกปปส.ไม่ได้เป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกคนได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและ ส.ส.พรรคไปแล้ว จึงขอให้ทุกพรรคเลิกบิดเบือนใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ เหตุที่เตือนเพราะไม่อยากเห็นการตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือการยุบพรรค และขอให้ทุกพรรคนำเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชนจะดีกว่า โดยเฉพาะร่วมต่อสู้ป้องกันไม่ให้มีการรัฐประหารจากทหารอีกต่อไป” นายถาวร กล่าว

'พุทธิพงษ์'ยัน'บิ๊กตู่'เดินสายครม.สัญจร-จัดรายการได้ปกติ แต่ต้องระมัดระวัง

"พุทธิพงษ์"ยัน"บิ๊กตู่"เดินสายครม.สัญจร-จัดรายการได้ปกติ แต่ต้องระมัดระวัง ระบุผู้สมัครพปชร.ขึ้นป้ายรูปคู่ได้ จ่อหยุดโพสต์สื่อโซเชียลชั่วคราว

31 ม.ค.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่า นอกจากหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว ตนยังได้หารือภายหลังหารือกับนายวิษณุ หากนายกฯ ตอบรับลงให้พรรคการเมืองใดเสนอชื่อในบัญชีนั้น ซึ่งมีการหารือกันถึงเรื่องรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" นั้น ในทางกฎหมายถือว่าไม่มีข้อจำกัด ทำได้ปกติตามเนื้อหาที่เคยทำ
ส่วนการหารือถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) และการลงพื้นที่นั้น ในทางกฎหมายยังถือว่าทำได้ แต่อาจต้องมีการหารือเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เนื่องจากแต่ละครั้งมีประชาชน ข้าราชการมาร่วมต้อนรับเป็นจำนวนมาก จึงอาจต้องระมัดระวัง สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนต้องไม่ไปให้คุณให้โทษกับพรรคการเมืองอื่น และนายกฯ ต้องระมัดระวังการพูดคุยกับประชาชน และการให้สัมภาษณ์ ที่ไม่ไปกระทบกับการเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อป้องกันข้อครหาที่เป็นผู้คุมกฎและเป็นผู้เล่นในตัว รวมถึงทุกอย่างที่ทำก็ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะให้คุณให้โทษกับพรรคที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับการเสนอชื่อผู้สมัครของพรรคนั้นสามารถขึ้นรูปคู่บนป้ายหาเสียงกับ พ.อ.ประยุทธ์ และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคนั้น ยังสามารถลงไปต้อนรับหาก พล.อ.ประยุทธ์ ลงไปในพื้นที่นั้นๆ แต่ต้องระมัดระวังการปฏิบัติตัว ต้องไม่ปฏิบัติต่อผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันรัฐบาลมีอำนาจเต็ม การอนุมัติงบประมาณ การแต่งตั้ง โยกย้าย ยังเป็นไปตามปกติ เช่นเดียวกับการลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ส่วนการประชุม ครม.สัญจร นั้น อาจจะต้องมีการหารือเป็นรายครั้งว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ขณะที่ในส่วนของการใช้โซเชียลมีเดียทั้ง 3 ช่องทางของนายกฯ ถือเป็นการดำเนินการส่วนตัวของนายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ แต่ในอนาคตถ้านายกฯ ตอบรับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งให้เสนอชื่อเป็นนายกฯ ในอนาคตเพื่อความปลอดภัย อาจจะส่งหนังสือถึง กกต.จะหยุดการโพสต์ข้อความผ่านทั้ง 4 ช่องทางชั่วคราว จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง เนื่องจากไม่สามารถควบคุมผู้ที่มาโพสต์แสดงความเห็นสนับสนุน หรือไม่สนับสนุนได้

‘กกต.’ยึดกรอบกฎหมาย5วัน ยื่นสมัคร‘ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์-บัญชีนายก’

เลขากกต. ชี้พรรคไม่จำเป็นต้องยื่นสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์-บัญชีนายกฯวันเดียวกัน แต่ต้องอยู่ภายในกรอบ 5 วัน ตามกฎหมายกำหนด 

31 ม.ค. 62  ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  พ.ต.อ.จรุงวิทย์  ภุมมา  เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวภายหลังการตรวจความพร้อมในการรับสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมทั้งบุคคลที่พรรคจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีว่า พรรคการเมืองสามารถยื่นบัญชีของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต.กลางได้ นั้น  พรรคการเมืองดังกล่าวจะต้องสมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตแล้วอย่างน้อย 1 เขต โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคส่งผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตครบ 350 เขต ซึ่งทาง กกต. กลางจะมีการประสานเชื่อมต่อข้อมูลแต่ละพื้นที่ที่รับสมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต 
สำหรับขั้นตอนการยื่นสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้น  เลขาธิการกกต. กล่าวว่า ทางพรรคการเมืองจะต้องยื่นเอกสารต่างๆในการสมัคร พร้อมทั้งชำระเงินค่าสมัคร  1 หมื่นบาทต่อรายชื่อต่อคน  หลังจากนั้นทาง กกต. จะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลภายใน 7 วัน 
ในส่วนการยื่นรายชื่อบุคคลบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคจะต้องยื่นพร้อม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อหรือจะยื่นภายหลังในช่วงระยะเวลา 5 หลัง จากวันเปิดรับสมัคร ซึ่งการยื่นทั้ง 2 ส่วนทางหัวหน้าพรรคจะมาด้วยตัวเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมายื่นแทนได้ ทั้งนี้ กกต.ไม่ได้กำชับหรือติดตามเรื่องใดเป็นพิเศษ 
ขณะเดียวกันนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. พร้อมด้วย กกต. ทั้ง 6  คน จะลงพื้นที่ทุกภาคทั่วประเทศเพื่อติดตามการรับสมัครด้วยตนเอง

เปิดขั้นตอนเชิญ'บิ๊กตู่'!พปชร.เตรียมนำเอกสารลงนามยินยอมตอบรับเป็นนายกฯให้ตัดสินใจ

31 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับขั้นตอนการเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อตอบรับอยู่ในบัญชีนายกฯ ในนามพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ว่า นายอุตตม สาวนายน พร้อมแกนนำพรรค จะเดินทางออกจากพรรคในเวลา 15.45 น.และคาดว่าจะถึงที่ทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 16.30 น.ซึ่งเป็นเวลาหลังราชการพอดี เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาข้อกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง

โดยจะมีการนำหนังสือเชิญพร้อมนำเอกสารนโยบายและแนวทางการทำงาน ประกอบกับหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เสนอไปพร้อมกัน เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาตัดสินใจ ส่วนการพิจารณาจะใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับนายกฯ เพราะต้องพิจารณาให้รอบคอบ และหากนายกฯ ตอบรับและลงนามในเอกสารแล้ว จะประสานติดต่อมาที่พรรคเพื่อให้รับเอกสารต่างๆ เพื่อนำหลักฐานไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.) ทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ไว้คอยต้อนรับแกนนำพรรคพลังประชารัฐที่จะเดินทางมา พร้อมกันนี้จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าถ่ายภาพและทำข่าวด้วย

7พรรคร่วมเสนอทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ



“เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยเครียดและทุกข์ตลอด 4 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา สะท้อนผ่าน “ผลโพลล์” ที่ไม่ว่าจะสำนักใด สำรวจเวลาไหนในช่วงเวลาดังกล่าว “ปากท้อง” เป็นเรื่องอันดับ 1 ที่ประชาชนเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจช่วยแก้ไขให้ดีขึ้น และเมื่อ “ปี่กลองเลือกตั้ง” ดังขึ้นเพื่อนับถอยหลังสู่วันหย่อนบัตรลงคะแนน อาทิตย์ที่ 24 มี.ค. 2562 พรรคการเมืองต่างๆ ก็ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ ประกาศนโยบายหลากหลายด้านกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จัดการสัมมนา “นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง” ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ข้างสถานทูตจีน) ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ มีตัวแทนพรรคการเมือง 7 พรรค ประกอบด้วย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคไทยรักษาชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ร่วมชี้มุมมองการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหากได้เป็นรัฐบาล
เริ่มกันที่ “แชมป์เก่า” ในการเลือกตั้งสมัยที่แล้วเมื่อปี 2554 “พรรคเพื่อไทย” ส่งตัวแทนคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง แสดงวิสัยทัศน์ แบ่งเศรษฐกิจเป็น 4 ด้าน 1.การส่งออกภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรมไม่ต้องช่วยอะไรมาก ภาครัฐอย่าเป็นอุปสรรคก็พอ ส่วนการท่องเที่ยวภาครัฐต้องไปทำให้เกิดการบูรณาการร่วมกันของภาคส่วนต่างๆ เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละระดับ
2.การลงทุนภาคเอกชน เรียกร้องให้ “บีโอไอ” (BOI) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตร ไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่จ้างแรงงานไทยน้อย ใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยหรือก่อมลภาวะสูง 3.การจับจ่ายใช้สอย ประเด็นนี้เล่าย้อนถึงนโยบาย “ค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ” เพราะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แรงงานตั้งใจทำงานขึ้น และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการพัฒนาคุณภาพการผลิต 4.การใช้จ่ายภาครัฐ มองว่า “รัฐไม่ต้องเก็บภาษีมากเกินไป” เก็บแต่พอดีแล้วให้ประชาชนมีเงินติดกระเป๋าไว้จะดีกว่า
ด้านคู่แข่งสำคัญที่ขับเคี่ยวกันมานานอย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” นายกรณ์ จาติกวณิช เข้าร่วมนำเสนอ ชูนโยบาย “ประกันรายได้” ที่ทำสำเร็จกับภาคเกษตรมาแล้วเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล เตรียม “ต่อยอด” จากชาวนา ชาวไร่มัน ชาวไร่ข้าวโพด สู่ชาวสวนยางและชาวสวนปาล์ม หลังพบระยะหลังๆ ราคาผลผลิตตกต่ำ อีกทั้ง “ขยายผลถึงผู้ใช้แรงงาน” ประกาศก้อง “ต้องไม่มีคนไทยที่รายได้ต่ำกว่า 1.2 แสนบาทต่อปี” โดยรัฐจะจ่ายส่วนต่างที่ขาดให้สำหรับประชาชนที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ข้างต้น ย้ำ “ไม่เป็นภาระงบประมาณบานปลาย” แน่นอน
ขณะที่พรรคหน้าใหม่แต่กระแสแรง ถูกพูดถึงมากขณะนี้อย่าง “พรรคพลังประชารัฐ” หัวหน้าพรรค นายอุตตม สาวนายน เปิดตัวด้วยการย้ำว่า “สวัสดิการประชารัฐไม่ใช่การแจก แต่เป็นการให้โอกาสในสิ่งที่ประชาชนควรจะได้มานานแล้วแต่กลับไม่ได้” ซึ่งจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระยะยาว ประชาชนไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง และยังกล่าวเน้นย้ำ “ความสำคัญของเทคโนโลยี” ต้องทำให้เข้าถึงคนไทยทุกภาคส่วน
เพื่อให้ร่วมสร้างประเทศก้าวหน้าไปด้วยกัน ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จนถึงประชาชนทั่วไป รวมถึง “เขตเศรษฐกิจเชื่อมโยงเพื่อนบ้าน” ต่อยอดจากระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อกระจายความเจริญ ภาครัฐต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชน พร้อมเสนอให้พัฒนา “กองทุนเพื่อผู้ประกอบการรายกลาง - รายเล็ก” ตลาดทุนจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร?
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ วันนี้มาเป็นตัวแทน “พรรคไทยรักษาชาติ” เริ่มต้นด้วยการออกตัวก่อน “ผมอยู่พรรคไทยรักษาชาตินะครับ..เดี๋ยวจะเข้าใจว่าอยู่เพื่อไทย” แล้วจึงกล่าวนิยามนโยบายของพรรคที่ยึดหลัก “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ซึ่งแม้จะดูคล้ายกับพรรคเพื่อไทย แต่ความต่างคือ “ใส่เรื่องเทคโนโลยีเข้าไป” พร้อมชูนโยบาย “Code Thailand” ชวนคนไทยเสนอไอเดียปฏิรูปประเทศ “ทำจากเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวในท้องถิ่นก็ได้” เขียนแนวทางเสนอให้ภาครัฐช่วยสนับสนุน ปัญหาต่างๆ ก็จะค่อยๆ ถูกแก้ไขไปได้
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษา “พรรคชาติพัฒนา” เสนอมุมมองน่าคิด “ใครแก้จนที่อีสานได้ก็แก้จนทั้งประเทศไทยได้” ให้เหตุผลว่า “เพราะคนไทย 1 ใน 3 เป็นคนอีสาน” จึงเสนอนโยบาย “เปิดประตูสู่ทะเลให้อีสาน” ด้วยการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ จาก จ.นครราชสีมา อ.ปักธงชัย มุ่งหน้า อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ไปถึงท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี บวกกับ “เปิดประตูอีสานสู่อินเตอร์” เชื่อมเส้นทางจากเมืองเว้ - ดานัง ของเวียดนาม ผ่านภาคอีสานไปออก จ.กาญจนบุรี เข้าสู่เมียนมา เศรษฐกิจอีสานจะดีขึ้นมาทันทียุติสถานะภาคที่จนที่สุดของประเทศได้
“พรรคภูมิใจไทย” หัวหน้าพรรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล บอกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต้องทำอะไรมาก “แค่ลบคำว่าดุลพินิจออกไปก็พอ” ด้วยความที่เติบโตมาจากคนทำธุรกิจ จึงรู้ดีว่า “ผู้ประกอบการหรือประชาชนเวลาจะขออนุญาตอะไรสักอย่างขั้นตอนยุ่งยากไปหมด” รวมถึงความล่าช้าในการพิจารณา “ถ้ากิจการไม่เริ่มการจ้างงานก็ไม่เกิด”จึงเสนอว่าหน่วยงานราชการต้องนำวิธีแบบตลาดหลักทรัพย์ไปใช้ “บริษัทใดทำได้ครบถ้วนตามเงื่อนไขก็ต้องอนุมัติทันที” แล้วค่อยไปตรวจสอบและดำเนินการทีหลังหากพบว่ากระทำผิด
ปิดท้ายที่ “พรรคชาติไทยพัฒนา” นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า “ต้องลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตร” โดยเฉพาะ “แหล่งน้ำ - ไฟฟ้า” ถ้าไม่ลดต้นทุนตรงนี้เกษตรกรก็ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สุดท้ายก็อาจท้อแท้และเลิกทำ กระทบต่อการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของประเทศและของโลก และ “ดึงคนมีความสามารถร่วมพัฒนาการท่องเที่ยว” ก่อนทิ้งคำถามด้วยความที่มาจากคนทำธุรกิจโรงแรม เคยได้ยินกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่าโรงแรมไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพราะขอใบอนุญาตที่กระทรวงมหาดไทย..สมควรแก้ไขหรือไม่!!!

'สมคิด'หวัง'ประยุทธ์'ตอบรับแคนดิเดตนายกฯพปชร.ชี้เหมาะกับสถานการณ์

"สมคิด"หวัง"ประยุทธ์"ตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกฯพปชร. ชี้เป็นผู้นำที่เหมาะกับสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ส่วนตัวเองยังไม่ได้รับติดต่ออย่างเป็นทางการ กลับจากญี่ปุ่นถึงไทยค่อยว่ากัน

31 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น.ที่ จ.วากายาม่า ประเทศญี่ปุ่น (เวลาเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการนำคณะผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลไทย จัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน ที่ จ.โอซาก้า และ จ.เกียวโต ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ ของประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 31 ม.ค. - 2 ก.พ.62 ได้เปิดเผยถึงกรณีที่ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้แถลงมติของพรรคพลังประชารัฐที่จะเทียบเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายสมคิด มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนเองยังไม่ได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการทั้งสิ้น กลับไปประเทศไทยค่อยว่ากัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะรับเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ตนเองเคยประกาศว่าประเทศไทยช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ และมีความเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่เหมาะกับสถานการณ์นี้ ณ วันนี้ยังมีความเห็นเหมือนเดิม ก็หวังว่าท่านจะรับเป็นแคนดิเดตของพรรคที่ท่านเห็นสมควรและเห็นว่าเหมาะสม
"ส่วนลูกน้องของผม 4 รัฐมนตรี ที่ออกไปตั้งพรรคการเมือง ต้องให้กำลังใจเขา ไม่ได้หมายความว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐ แต่การที่คนมีความรู้ ความสามารถ มีการศึกษา ตั้งใจดี ถ้าเขากล้าสละตัวเองไปทำการเมือง เพื่อทำให้การเมืองดีขึ้น ควรอย่างยิ่งที่เราจะสนับสนุน ไม่ว่าเขาจะไปทำพรรคอะไรก็แล้วแต่ เขาเคยบอกว่าจะลาออก ก็ลาออกตามที่พูดเอาไว้ ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีในอนาคตข้างหน้า" นายสมคิด ระบุ

กูเกิล ร่วมมือ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) เพิ่มขั้นตอนตรวจสอบ “ข่าวจริง”

24ม.ค.62

กูเกิล เตรียมเครื่องมือให้สำนักข่าวออนไลน์ นำไปใช้งานช่วงการเลือกตั้ง เพื่อแสดงข้อมูลให้ถูกต้อง และชัดเจน พร้อมร่วมมือกับSONP ให้สำนักข่าวเข้าไปยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องผ่านหน่วยงานกลางอย่าง IFCN @poynter

นางสาวสายใย สระกวี หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและมวลชนสัมพันธ์ กูเกิล ประเทศไทย กล่าวถึงมาตรการในการตรวจสอบข่าวปลอมของทางกูเกิล ว่า ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างประสานความร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ในการคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องขึ้นไปแสดงผลในหน้าการค้าหาของกูเกิล

“ด้วยการที่กูเกิล เป็นแพลตฟอร์มในการค้นหาข้อมูล ดังนั้น ข้อมูลที่ถูกแสดงผลออกมาทั้งหมด จะไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่กูเกิล กำลังพัฒนาในเวลานี้ คือ ร่วมกับหน่วยงานกลางที่มีความน่าเชื่อถือในเข้าไปร่วมตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ และทำการยืนยันข้อมูลเหล่านั้นว่าเป็นข้อเท็จจริง”
  
อย่างในต่างประเทศ การแสดงผลการค้นหาของกูเกิล จะเริ่มมีการเสนอข้อเท็จจริงที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว (Fact Check) เมื่อมีการค้นหาเกี่ยวกับสถานการณ์ หรือภัยพิบัติต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ข้อมูลที่นำเสนอได้รับการตรวจสอบ

สำหรับในประเทศไทย ระบบดังกล่าวกำลังจะเริ่มใช้ โดยคาดว่าจะได้เห็นหลายๆ สำนักข่าวที่ทาง SONP คัดเลือก และนำเสนอขึ้นไปว่า เป็นแหล่งข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบจากทาง IFCN @poynter เพื่อให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารในประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นอกจากนี้ กูเกิล ยังได้นำเสนอโครงการอย่าง “News Initiative” ที่ร่วมมือกับสื่อมวลชน เพื่อสนับสนุนสื่อที่มีคุณภาพ ด้วยการนำเครื่องมืออย่าง Flourish ซึ่งเป็นเครื่องมือในการทำกราฟิก เพื่อใช้ในการรายงานข่าวช่วงเลือกตั้ง โดยกำลังประสานให้เพิ่มแผนที่ประเทศไทยเข้าไป

รวมถึงการนำเสนอเครื่องมืออย่าง Google Trends เพื่อสำรวจว่า ผู้ใช้งานกูเกิลในประเทศไทย กำลังค้นหาข้อมูลใด เพื่อให้สำนักข่าวออนไลน์ต่างๆ สามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้

“บิ๊กตู่” ชี้ อันดับคอร์รัปชั่นไทยแย่ลง นาฬิกาบิ๊กป้อมแค่เรื่องเล็กๆ ถ้าเทียบกับคนหนีคดี



“บิ๊กตู่” ยอมรับ ไม่เป็นประชาธิปไตย คะแนนความโปร่งใสไทยตก โว คะแนนส่วนตัวน่าจะได้เต็ม ชี้ นาฬิกา “บิ๊กป้อม” แค่เรื่องเล็กๆ ถ้าเทียบกับคนหนีคดี
วันนี้ (31 มกราคม) เวลา 11.40 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือTI) ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2018 ให้ประเทศไทยได้ 36 คะแนน อยู่ลำดับที่ 99 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ลดลงจากปีก่อนที่ได้ 37 คะแนน อยู่อันดับที่ 96 ของโลกว่า รัฐบาลไม่ต้องวางมาตรการอะไรเพิ่มเติม เพราะวางไว้หมดแล้ว เพียงแต่มาดูว่าที่อันดับตกลง ตกตรงไหนอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ที่องค์กรตรวจสอบมองคือการเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยมองว่าอาจตรวจสอบได้หรือได้ แต่ขอยืนยันว่าเห็นว่าตรวจสอบได้ทุกองค์กร แต่เมื่อผลตรวจสอบออกมาแล้ว ก็ต้องยอมรับกัน ไม่ใช่ไม่ยอมรับ แล้วก็มีปัญหากันอีก
“ผมเองไม่ได้ทำประโยชน์อะไรของตัวเองสักอย่าง อย่างน้อยคะแนนผมก็เต็มตรงนี้ ให้ผมไหม” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งที่อันดับของไทยตกลง เป็นผลมาจากกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อตัดสินแล้วก็จบ ให้จบๆไปเป็นเรื่องๆ บ้าง แล้วคดีใหญ่ๆ บางคดีมันก็จบไม่ใช่หรือ ทั้งๆ ที่ขัดแย้งต่อสายตาประชาชน มันก็จบใช่หรือไม่ ของไอ้คนหนีคดีก็หลายเรื่องก็จบ ทำไมไม่ดูตรงนู้น เชื่อมั่นกันหน่อยสิ ดูหลักฐานแนวทางที่เขาตรวจสอบ

ฝุ่นพิษที่ฟุ้งเข้าตารัฐบาล

"ปัญหา"...........
    ไม่ได้มีไว้ให้ "ผู้บริหาร" ใช้พูดประชด อย่างเช่นปัญหา "ฝุ่นพิษ" ตลบเมืองเวลานี้ 
    มันมีให้ "แก้" 
    ยิ่งวิกฤติเฉพาะหน้าอย่างนี้ด้วยแล้ว "เก็บคำพูด" แล้วลงมือทำเถอะ 
    อย่ารอให้ขงเบ้งกั้นม่านเจ็ดชั้น บริกรรมคาถาเรียกฟ้า-เรียกฝนมาหอบฝุ่นอยู่เลย
    "ทำ" ในทางลงมือ....
    เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า เมื่อพวกเขาจมฝุ่น ใช่ว่าผู้บริหารที่เขาฝากความหวัง คือ "นายกฯ ประยุทธ์" ไม่อินังขังขอบ
    ตรงกันข้าม เมื่อชาวบ้านอกไหม้ นายกฯ ก็ไส้ขมด้วย หามรุ่ง-หามค่ำ "ทำทุกทาง" เพื่อให้ฝุ่นจาง ฟ้าใส
    แต่ก็นั่นแหละ 
    ผ่านไปแต่ละวัน นอกจากไม่เห็นอะไรที่เป็น "ปัญญาเก่า-ปัญญาใหม่" จากทางภาครัฐ ออกมา "ทำ" ให้เห็นว่า "พยายาม" ด้วยเอาใจใส่
    นอกจากนายกฯ ออกมาใช้อารมณ์ผสมคารมไปเมื่อวาน (๓๐ ม.ค.๖๒)
    เรื่อง "มลพิษภาวะ" ไม่ใช่เรื่องชี้หน้าโทษใครฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง
    โทษรถเมล์ รถบัส รถบรรทุก รถบ้าน รถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์ รถเก่า-รถใหม่ รถก่อสร้าง เตาปิ้ง-ย่าง ผัดอาหารตามถนน โรงงานและ ฯลฯ
    โทษใครไม่ได้หรอก 
    เพราะ "ทั้งหมดด้วยกัน" นั่นแหละ ที่ต้องโทษ!
    คือ "ทั้งหลวง-ทั้งราษฎร์"
    บาปบริสุทธิ์ด้วยฝุ่นพิษนี้ "ทุกคน-ทุกฝ่าย" ล้วนเป็นตัวการร่วม ทำให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้!
    ในภาพรวม ทุกคนเข้าใจ ว่าเมืองใหญ่ "ทุกเมือง" ในโลก ล้วนต้องเผชิญปัญหามลพิษคลุมเมืองมาก่อนทั้งนั้น
    มันคือด่านแห่งการพัฒนาที่ต้องผ่าน
    "เสีย" ที่ต้องรับ 
    เพื่อแลกกับ "ได้" ในความหมาย การพัฒนา, การเติบโต, การลอกคราบ ของ "สังคมเมือง" จากยุคหนึ่ง ไปสู่อีกยุคหนึ่ง!
    นั่นคือ ความจริงที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน ว่าปัญหาที่เกิดวันนี้
    มันไม่ใช่เพิ่งเกิด หรือจะพล่อยว่า ประชาธิปไตยไม่เกิด เพราะเผด็จการ จึงเกิด มันก็มากไป
    ที่เป็นวันนี้ มันเกิดสะสมมาแต่ละยุคในความเป็นสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมเมืองใหญ่
    ส่วนจะถึงจุดวิกฤติยุคไหน-วันไหน มันมีเหตุปัจจัยเป็นตัวแยก-ตัวประกอบมากมาย
    สรุปว่า อย่ามัวโทษมึง-โทษกู หรือเอะอะ โวยวายอย่างเดียวเลย
    แยกประเด็นปัญหาวิกฤตินี้เป็น ๒ ส่วน เถอะ
    ส่วนวิกฤติเฉพาะหน้า มีมาตรการใด ทำเลย
    ถึงไม่ได้ผลทาง "ลดฝุ่น"
    แต่ได้ผลทาง "จิตใจ" อย่างน้อย ก็รับรู้ว่า รัฐบาลรู้สุข-รู้ทุกข์ชาวบ้านและทำทุกวิถีในทาง "คืนความสุข" ให้ประชาชน 
    ในส่วนทางยาว....
    มันยาวและยากจริงๆ ที่จะแก้มลพิษให้สำเร็จวันนี้-วันพรุ่ง
    แต่ไม่ยากเกิน หากแต่ต้องจริงจัง เคร่งครัดในมาตรการปฏิบัติ ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายราษฎร์
    ตรงนี้แหละที่ "ยากมาก" ในเรื่องเข้มงวดด้านระเบียบ-วินัย-กฎหมายกับคนไทย ซึ่งชินกับระบบอุปถัมภ์ ระบบใต้โต๊ะ ระบบอิทธิพล
    ประเด็นระยะยาว ไม่ต้องพูด เหตุจากตรงไหน ควรแก้ตรงไหน ทุกคนรู้อยู่แล้ว
    ที่ต้องพูดกันวันนี้ ก็ปัญหาเฉพาะหน้านี่แหละ และการแก้ บอกก่อนเลย
    จะเอาแบบ "แก้ได้ทันตาเห็น" 
    "จะไม่เห็น"
    แต่ถ้าภาครัฐ "กระดิก" ทำให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ ทัศนคติเชิงลบจากชาวบ้านต่อภาครัฐ "ลดลง"
    จะได้เห็น!
    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็มี กรมควบคุมมลพิษก็มี กรมการขนส่งฯ ก็มี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็มี ฯลฯ
    เรียกว่า หน่วยงาน, คน, งบ, เครื่องมือ เพื่อรับมือ ป้องกัน-แก้ไข ด้านมลพิษ ด้านสิ่งแวดล้อม มีหมด
    เว้นอย่างเดียว ที่ไม่มี คือ
    "กึ๋น" ประกอบจิตสำนึกด้านรับผิดชอบ ในความเป็น "บุคลากรคุณภาพ"
    เรื่องมลพิษคลุมเมืองนี่ มันหลายวันแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเกิด ไม่ต้องพูดแก้ทางยาว 
    เอาเฉพาะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งมันมีผลด้านจิตใจสูงที่ต้องตระหนัก นี่แหละเป็นความเร่งด่วนที่ต้องทำ
    มันเป็นงานที่แต่ละหน่วยงานต้องรู้ร้อน-รู้หนาว ไม่ใช่ถึงขั้นปล่อยให้ "ระดับนายกฯ" ต้องออกมาหัวเสีย
    ที่ผ่านมา ดูเหมือน ออกมาวัดอากาศแต่ละวัน แค่นั้น...จบ
    มันไม่น่าเป็นอย่างนั้น และเอะอะ...ประชุม..ประชุม ทำให้แอร์พ่นมลพิษเพิ่มเปล่าๆ 
    ถึงวันนี้ มันเลยขั้นประชุม ไปถึงขั้นปฏิบัติการโน่นแล้ว!
    ยุคนี้ ไหนว่า เป็นยุคนวัตกรรม ๔.๐?
    ทั้งภาครัฐ "คนเดียวก็ไม่มี" ที่จะคิดหาวิธีการมารับมือฝุ่นพิษในอากาศและความรู้สึกแย่ๆ ในอารมณ์คนเลยเชียวหรือ?
    หรือว่า "ธุระไม่ใช่-นายไม่สั่ง"?
    ผมย้ำว่า "แก้ได้-ไม่ได้" ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่า ภาครัฐ "กระตือรือร้น" ต่อปัญหามลพิษน้อยไป
    เสียอะไรก็พอว่า ถ้าประชาชน "เสียความรู้สึก" นี่เรื่องใหญ่!
    จะยกตัวอย่างปัญหาให้คิด
    กรณี "๑๓ หมูป่าติดถ้ำ" ทั้งโลก ไม่มีสูตร ไม่มีตำรา รับมือปัญหา โดยเฉพาะด้าน นำ ๑๓ หมูป่าลอดรูออกจากถ้ำ
    เผอิญ "ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์" ผู้บัญชาการสถานการณ์ขณะนั้น
    มี "กึ๋น"!
    ร้อยวิธีที่มี-ที่คิดใช้ มันก็คือร้อยความหวังของคนทั้งโลก แม้มันเป็นวิธีที่ไม่ใช่ ไม่สามารถนำ ๑๓  หมูป่าออกมาได้ หลายครั้ง-หลายวัน ก็จริง
    แต่การไม่นิ่งแบบจนมุม-จำยอมต่อปัญหา พยายามต่อไม่ลดละ ผิดบ้าง-ถูกบ้าง ตรงนี้ ไม่มีใครว่า  มีแต่ชื่นชม และเชียร์
    ในที่สุด ปัญหาและสถานการณ์ มันก็สอนทฤษฎี-วิธีการใหม่ๆ ในการนำคนลอดรูออกจากถ้ำได้
    นั่นคือ "กึ๋น" ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ในความพยายามบนฐานคำว่า "เป็นทีม"!
    แล้วย้อนดูปัญหามลพิษขณะนี้
    เห็น "กึ๋น" และ "ความพยายาม" บนคำว่า "เป็นทีม" จากใคร-หน่วยงานไหนบ้าง?
    อยากถามว่า "อายชาวบ้านเขาบ้างไหม?" ที่เมื่อวาน ผมดูข่าว ขอโทษ..จำชื่อไม่ได้
    ที่สมุทรสาคร หรือมหาชัย คุณลุงกับลูกสาวท่าน ไม่เกี่ยง-ไม่โทษ-ไม่รอรัฐช่วย
    ด้วย "ปัญญาชาวบ้านประดิษฐ์" คุณลุงคิดและทำเครื่องพ่นละอองน้ำขนาดยักษ์ ติดตั้งแล้วพ่นน้ำเป็นละอองขึ้นไปฆ่าฝุ่นในอากาศ
    ก็รู้ ว่าไม่สามารถฆ่าฝุ่นที่คลุมมหาชัยได้
    แต่ "ซึ้งใจ" น่ะ...
    ความซึ้งนั้น มันฆ่าความรู้สึกแย่ๆ ให้เกิดความรู้สึกดีๆ ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่" นั้น คือชาวบ้าน "สามัญชนต่ำศักดิ์" ผู้เข้าถึงคำว่า ปัญหาสังคม คือปัญหาของคนทุกคนที่ต้องช่วยกัน
    ไม่ใช่เอาแต่โทษรัฐ-รอรัฐไปทุกเรื่อง!
    พูดแล้วก็ต้องชม "พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง" ผู้ว่าฯ กทม.เขาด้วย
    แต่เชื่อเหอะ ตอนนี้ คงถูก "กูรูหน้าจอ" สับเละไปแล้ว ที่จะใช้โดรน ๕๐ ตัว ขึ้นบินพ่นน้ำผสม "กากน้ำตาล" จับฝุ่นในอากาศ
    แถลงไปเมื่อวาน ผมชอบประโยคที่ท่านบอกว่า
    "ยอมรับ...แม้สิ่งที่ทำ อาจไม่ช่วยลดปัญหาได้ ๑๐๐% แต่ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย"
    ถูกต้องที่สุด "ลงมือทำ" ดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย!
    มันอาจเป็นเรื่องใหม่ "สำหรับเมืองไทย" ฟังปุ๊บ มนุษย์ประเภท "ค้านไว้ก่อนพ่อสอนไว้" คงออกมาถล่ม
    ไปเอาความคิดพิเรนทร์นี้มาจากไหน น้ำตาลไม่ลงหัวเลอะเนื้อ-เลอะตัวชาวบ้านเขาหมดหรือ?
    อีกอย่าง ทั้งรถ-ทั้งถนน ไม่กลายเป็น "ถนน-รถเชื่อมน้ำตาล" หรือ?
    ใช้น้ำตาลจับฝุ่น เป็นเรื่องสากล เพื่อต้องได้ในทางหลักก็ต้องเสียบ้างในทางรอง
    แต่ทางผู้ว่าฯ บอก เตรียมรถล้างไว้แล้ว คือล้างทันที ทั้งรถ-ทั้งถนน
    แต่ก่อนขึ้นพ่น ผมว่าประกาศพื้นที่ครอบคลุม วันและเวลาให้ประชาชนทราบก่อนก็จะดี 
    จับฝุ่นตกลงมาลงถนน ลงหลังคารถบ้างพอไหว แต่ถ้าลงเสื้อผ้าและตัวคน จะหนึบหนับทีเดียว!
    ก็ต้องระวัง เรื่องฝุ่นพิษ ผสมกับที่ต้องปิดโรงเรียน-ปิดมหา'ลัย มันจะถูกลากเป็นประเด็นการเมืองยำรัฐบาล
    ผมว่า ควรตั้ง "แม่งาน" ซักคน 
    เอาประเภท "คิดนำ-พูดนำ-ทำนำ" เป็น มาทำหน้าที่ในภาษาราชการที่เรียกว่า "บูรณาการ" นั่นแหละ
    วิธีใดก็ได้ ที่ทำให้ชาวบ้านเห็น "ภาครัฐ" เคลื่อนไหวในทางแก้ปัญหา จงรีบทำ
    ทำผิดๆ ยิ่งดี........
    เพราะ "ท่านผู้รู้" เห็นแล้ว อดรน-ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็จะออกมาช่วยแนะ "วิธีที่ถูก" กันเอง.