PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พยาบาล เฮ ! สภาการพยาบาล ประกาศใช้ พว. นำหน้าชื่อพยาบาล

สภาการพยาบาล ประกาศให้พยาบาลวิชาชีพชั้นหนึ่ง ใช้คำนำหน้าว่า "พยาบาลวิชาชีพ" หรืออักษรย่อ "พว." นำหน้าชื่อ

วันนี้ (31 กรกฎาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ศ.เกียรติคุณ วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาการพยาบาล ได้ออกประกาศเรื่องการใช้คำนำหน้าชื่อผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ 2556 โดยระบุว่า ในการประชุมครั้งที่ 7/2556 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ได้มีการกำหนดคำนำหน้าชื่อผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลชั้นหนึ่ง ผู้ประกอบวิชาชีพการผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง หรือผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง โดยให้ใช้คำนำหน้าว่า "พยาบาลวิชาชีพ" อักษรย่อ "พว." 

สำหรับข้อความในประกาศเรื่องการใช้คำนำหน้าชื่อผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ 2556 มีดังนี้


“เทือก”ลั่น! พ.ร.บ.นิรโทษฯ ผ่านวาระ 3 นำม็อบแน่

ผู้จัดการ 31กรกฎาคม 2556

หน.ปชป. ควง “เทือก-อภิรักษ์” ขึ้นบีทีเอสเช็กเรตติ้ง ก่อนปราศรัยเวทีพรรค “นิพิฏฐ” ปลุกเร้าแม่ยกหน้าเวที ร่วมปกป้องสถาบัน ปัดจุดไม่ติดบอกเป็นเสรีชน อ้างต้านนิรโทษแดงทอดกฐินสามัคคี ไม่มีแกนนำ “สุเทพ” โว เตรียมแปรญัตติทุกมาตรา หากแพ้ถึงวาระ 3 จะนำม็อบล้มรัฐบาลเอง

      
       

      
       วันนี้ (31 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ส.ส. พรรค อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อารีย์ เพื่อเดินทางไปยังลานสกายวอร์คเกอร์ ช่องนนทรี เพื่อทำการปราศรัยในเวทีเดินหน้าผ่าความจริงนัดพิเศษ เพื่อเร่งชี้แจงต่อประชาชนถึงแนวทางการต่อต้านการผลักดันร่างกฏหมายนิรโทษกรรม ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะมีขึ้นในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฏรโดยระหว่างเดินทางได้มีประชาชนให้ความสนใจขอถ่ายรูปกับนายอภิสิทธิ์ตลอดเส้นทาง ขณะที่บรรยากาศที่เวทีเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนมาร่วมฟังประมาณ 1,000 คน โดยมีเจ้าหน้าที่หนึ่งกองร้อยจาก บก.น. 5 มาอำนวยความปลอดภัยให้ด้วย
      
       นายนิพิฏฐ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริง ลานสกายวอร์ก ช่องนนทรี โดยได้ปลุกเร้าให้ประชาชนออกมาร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้กล่าวนำประชาชนสาบานตนว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีพฤติกรรมซ้ำรอย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย น่าจะเข้าคุกเหมือนกัน ตนน้อยใจทหาร ที่สาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพลว่าจะยอมตายเพื่อรักษาไว้แห่งองค์กษัตริย์ น่าเสียดายที่ตนไม่มีโอกาสสาบานตนได้เช่นนั้น ตนพร้อมที่จะตายเพื่อพระราชา หากจะต้องตายขออย่างเดียวคือธงชาติคลุมร่าง ไม่มีใครจาบจ้วงสถาบันเท่าครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ
      
       “ถึงเวลาต้องออกมาปกป้องชาติ พระราชา มีคนบอกว่าพวกเราจุดไม่ติดรวมกันไม่ได้ แน่นอนอาจจับตัวกันยากเพราะเราต้อนไม่ได้ไม่ควาย เราคือเสรีชน หากรัฐบาลจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง แน่จริงประกาศไปเลย เพราะไม่ได้ใหญ่ไปกว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 63 ที่บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุม หากนายวรชัย (เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย) เข้าสภาไม่ได้ก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเช่นกัน เลือกข้างเสียว่าจะไปอยูกับนายวรชัย หรือเสรีชน เพราะเวลาไม่มีความเป็นกลางสำหรับประเทศไทยแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีแกนนำ เป็นเรื่องการทอดกฐินสามัคคีทุกคนมาด้วยใจ อย่ากลัว บ้านเมืองนี้ต้องการคนกล้า” นายนิพิฏฐ กล่าว
      
       นายสุเทพ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นายวรชัยมีสั้นๆ เพียง 7 มาตรา แต่มาตรา 3 เขียนชัดว่า ร่างกฎหมายนี้ออกมาใช้บังคับเมื่อไหร่ ความผิดทั้งหลายที่พวกเขาได้ทำไม ทั้งกระทำผิดด้วยวาจา ฆ่าคน วางเพลิงเผาทรัพย์ ที่ทำมาตั้งแต่ปี 49-54 จะไม่เป็นความผิดอีกต่อไป คนที่ทำความผิดจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้รับโทษโดยสิ้นเชิง และในมาตรา 4 ยังบอกว่าหากความผิดใดอยู่ระหว่างดำเนินคดีให้ยกเลิกการพิจารณาคดี ถอนฟ้อง และให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากระบบ หากศาลมีคำพิพากษาก็ให้ลบคำตัดสินทั้งหมด
      
       “ส่วนมาตรา 7 นั้นบอกว่ามีนายกฯเป็นผู้รักษาการ และใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ ดังนั้นการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่าไม่เกี่ยว หรือหนูไม่รู้นั้น มึงเลิกพูดได้แล้ว”นายสุเทพกล่าว
      
       นายสุเทพกล่าวว่า เหตุที่นิรโทษกรรมเพราะคนเสื้อแดงได้ก่อเหตุร้าย เหตุวุ่นวาย มาตั้งแต่ปี 49-54 เขาจึงต้องออกกฎหมายให้พวกตัวเอง ซึ่งตนอยากให้พี่น้องตั้งคำถามในใจว่าความผิดที่คนเหล่านี้ทำเป็นความผิดเล็กน้อย หรือความผิดที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม เพราะหากทำอย่างนั้นจะทำให้หลักการทางกฎหมาย เพราะความผิดทั้งหลายเหล่านั้นทั้งที่มีหลักฐาน บุคคลเป็นพยาน มีวีดิโอบันทึกภาพการทำความผิดชัดเจน คนพวกนี้ก็จะได้รับการนิรโทษกรรม ซึ่งไม่มีใครยืนยันได้ว่าคนพวกนี้จะไม่กลับมาทำร้ายประชาชนอีก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีกองกำลังชุดดำ ที่ถูกส่งไปฝึกอาวุธที่กัมพูชา เพื่อรอโอกาสกลับมาทำร้ายคนไทยหากมีโอกาสครั้งต่อไป นอกจากนั้นกฎหมายดังกล่าวยังจะส่งผลให้คนที่จวบจ้วงสถาบันก็จะเดินลอยนวลได้ และคนที่เผาศาลากลางจังหวัดที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว ก็จะหลุดและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด นอกจากนั้นพวกที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ อย่าง นายจักรภพ เพ็ญแข และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะต้องถูกยกเลิกหมายจับ ยกเลิกการดำเนินคดี และกลับมาประเทศไทยโดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
      
       “ทุกประเทศในโลกที่สงบได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองประชาชน ประชาชนได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย ซึ่งคนที่ทำความผิดฆ่าคนตาย วางเพลิง ต้องถูกลงโทษขั้นรุนแรงเกือบทุกประเทศ ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่คนฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน เผาศาลากลางจะเป็นคนบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นประเทศเดียวที่อัปยศจากการกระทำของรัฐบาลนี้”นายสุเทพกล่าว
      
       นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนอยากบอก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ว่า อย่าทำร้ายประชาชน เพราะการออกมาชุมนุมของประชาชนครั้งนี้เป็นการต่อสู้ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่มีอาวุธ แต่หากประชาชนบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว พวกคุณจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หากประชาชนถูกกำหัวด้วยอำนาจอยุติธรรม และความไม่เป็นธรรม พวกคุณก็อย่าอยู่เลยในสัปดาห์หน้าให้ ส.ส.สู้อย่างเต็มที่ในสภา และอยากเรียกร้องไปยังผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ว่าจะพรรคไหน ขอให้มีให้มีสำนึก และกลับตัวกลับใจมาคัดค้านกฎหมายฉบับดังกล่าว
      
       “ในวาระรับหลักการนั้น พวกเราจะอธิบายอย่างละเอียดว่ากฎหมายนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร ซึ่งเราจะสู้ทั้งวันทั้งคือ หากสู้แล้วแพ้ ก็จะตามไปสู้ใหม่ในวาระ 2 ซึ่งเป็นขั้นแปรญัตติ ต่อให้พวกเขาไปแปรญัตติเอาฉบับสุดซอย กลางซอยอะไรก็ช่าง เราก็จะตามไปสู้แปรญัตติทุกมาตรา ทุกตัวอักษรหากแพ้ และจะต่อสู้ในสภาในวาระ 3 ก็แพ้อีก ถึงวันนั้นก็จะมีเสียงเป่านกหวีดว่าเอาเลย ซึ่งผมจะไม่รอให้ใครสั่ง ซึ่งหากถึงวันนี้จริงก็ไม่มีคำถามอะไรแล้ว เพราะคนพวกนี้มันระยำจริงๆ ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.จนถึงการพิจารณาวาระ 2-3 เรายังไม่โค่นล้มรัฐบาล เพราะจะให้โอกาสรัฐบาล หากยอมถอยก็ถือว่าเจ๊ากัน แต่หากรัฐบาลยังดึงดันต่อไป พยายามกดหัวประชาชนด้วยกฎหมายดังกล่าว ลุแก่อำนาจ ถึงวันนั้นเราก็จะล้มรัฐบาล เพราะรัฐบาลสมควรเป็นรัฐบาลแล้ว”นายสุเทพกล่าว
      
       นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนอยากบอกพี่น้องประชาชนว่า หากมีใครมาชวนไปชุมนุม ไม่ว่าหน้ากากขาว อพส. ก็มาเลย เพราะทุกคนมีจิตใจ และอุดมการณ์ตรงกันทั้งสิ้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีผังล้มรัฐบาลออกมา มีตนและนายอภิสิทธิ์ว่าไปเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ ซึ่งพวกตนไม่เคยเข้าร่วมกับกลุ่มใด เพราะเคารพในการต่อสู้ของแค่ละกลุ่ม แต่หากวันใดที่กฎหมายดังกล่าวผ่านวาระ 3 ในสภา วันนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนเราก็จะเข้าร่วม เพราะถึงวันนี้เราก็ถือเป็นคนไทยในประเทศคนหนึ่ง มีคนมาเสนอกับตนว่าหากวันใดที่แพ้วาระ 3 ควรนัดหยุดงานให้หมดทั้งประเทศ ให้ข้าราชการทุกคนลาป่วยพร้อมกันทั้งประเทศ เพื่อไม่รับใช้รัฐบาลชั่วต่อไป ทั้งนี้การที่มีหลายคนน้อยใจทหารนั้น ตนเข้าใจว่าทหารเป็นข้าราชการ มีระเบียบ มีวินัย ซึ่งเวลานี้ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร และตนไม่เคยคิดให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่ขอให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลชั่ว และหากเราแพ้โหวตในสภาวาระ 3 ถึงเวลานั้นข้าราชการทุกฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ ต้องมายืนข้างประชาชน

เทือกเป่านกหวีด! ปลุกมวลชนต้านล้างผิดทักษิณจำต้องล้มปู/ปชป.ดีเดย์31ก.ค.

ข่าวหน้า 1 ไทยโพสต์
28 July 2556 - 00:00

  ประชาธิปัตย์จ่อสวมบทแกนนำม็อบ สั่งมวลชนเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขัดขวางกฎหมายล้างความผิด “สุเทพ” ประกาศรบเต็มตัว ลั่นพร้อมเป่านกหวีดแล้ว ส่วนนักเคลื่อนไหว นักวิชาการเปิดวงชำแหละแผนนิรโทษสกรัมประเทศไทย    ขณะที่อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุไม่มีกฎหมายรองรับนิยามคำว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจและสั่งการ จึงเปิดช่องให้แกนนำพ้นผิดได้ ด้านเสนาธิการร่วมฯ ยัน 4 สิงหา.ชุมนุมโค่นระบอบทักษิณ

ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับของนายวรชัย    เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งสภาจะนำขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนเรื่องแรกในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ถูกต่อต้านอย่างกว้างขวางจากหลายกลุ่ม โดยล่าสุดเมื่อวันเสาร์ ที่สวนเบญจสิริ พรรคประชาธิปัตย์จัดเวทีผ่าความจริงเรื่อง “หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล” ครั้งที่ 57

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ปราศรัยว่า วันนี้ประชาชนอย่าถามสองคำถามคือ อย่าถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเอายังไง เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงพรรคประชาธิปัตย์ต้องค้านแน่นอน เพราะรู้ว่าสู้ตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาไม่มีทางชนะ ข้อสองอย่าถามว่าทหารเอายังไง เพราะทหารก็มีความสุขกับการได้ตำแหน่งและผลประโยชน์ที่ลงตัวที่นายกรัฐมนตรีจัดสรรให้ ดังนั้นต้องถามว่าเราจะเอายังไงถ้าเห็นว่าสิ่งใดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“วันนี้สังคมไม่ต้องการคนดี แต่ต้องการคนกล้า เพราะฉะนั้นถ้าต้องการชนะ ก็ต้องกล้าที่จะสู้ และเมื่อสู้แล้วอย่าหวังว่าทหารจะออกมาช่วย เพราะทหารกลัวเสื้อแดงมากกว่ากลัวประชาชนที่สุจริต วันนี้ผมรอสัญญาณว่าพรรคจะเป่านกหวีดเมื่อไหร่ และถ้าเป่าผมจะออกไปสู้กับประชาชน และถ้าออกไปสู้แล้วผมจะไม่เห็นว่าประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะผมจะตายก่อนในฐานะแกนนำ พร้อมฝากถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะปล่อยให้ ส.ส.ของพรรคเป็นอิสระเพื่อไปขึ้นเวทีเพื่อต่อสู้ร่วมกับประชาชนได้หรือไม่ เพราะหากสู้เพียงในสภาก็ไม่มีทางชนะ” นายนิพิฏฐ์กล่าว

สั่งเก็บกระเป๋าเข้ากรุง

    นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเก็บกระเป๋าแล้วเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯร่วมเวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ วันดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะในวันที่ 1 ส.ค. จะเปิดการประชุมสภา ซึ่งวันดังกล่าวอาจจะมีการยกเว้นข้อบังคับสภาเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หากวันที่ 1 ส.ค. มีการพิจารณาทันที ก็ขอให้ประชาชนมาพบกันได้ทันที

นายสาทิตย์กล่าวว่า แต่หากวันที่ 1 ส.ค. ไม่พิจารณา และนำเข้าที่ประชุมวันที่ 7 ส.ค.นั้น ก็ขอให้ประชาชนไปร่วมเวทีผ่าความจริงในวันที่ 3 ส.ค. ที่ตลาดปัฐวิกรณ์, วันที่ 4 ส.ค. ที่โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ เขตจตุจักร, วันที่ 5 ส.ค. ยังไม่กำหนดสถานที่ และวันที่ 6 ส.ค. จัดที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จากนั้นให้รอดูวันที่ 7 ส.ค.ที่มีการประชุมสภา

ต่อมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี   พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีปราศรัยอย่างดุเดือดมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาว่า เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย หากผ่านสภาได้ และกฎหมายออกมาบังคับใช้วันไหน คนที่ได้ประโยชน์คือบรรดาสมุนและขี้ข้าของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น คนที่นำจรวดอาร์พีจียิงวัดพระแก้ว ที่เจ้าหน้าที่จับตัวได้และจำเลยรับสารภาพนั้นก็จะได้กลับบ้านทันที คนที่เผาศาลากลางก็จะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ กลับบ้านได้หมดทุกคน คนที่กำลังขึ้นศาลอยู่อย่างน้อยที่สุดมีอยู่ 24 คนที่มีคดีอยู่ในศาลในฐานะเป็นจำเลยข้อหาก่อการร้าย คนที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อาฆาตมาดร้าย ก็จะได้กลับบ้านและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังมีคดีอื่นๆ อีกร้อยคดีที่เจ้าหน้าที่สอบสวนและที่อัยการเตรียมฟ้องศาล ยกเลิกหมด

นายสุเทพกล่าวต่อว่า คนไทยทั้งประเทศต้องสำเหนียกว่า กฎหมายของนายวรชัยจะมีผลขนาดนั้น ไม่มีที่ไหนในโลกที่คนเป็นอาชญากรไม่ต้องรับผิดหรือถูกลงโทษ แต่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทุกประเทศในโลกเขามีกฎหมายเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หากทำผิดฐานข่มขืน ฆ่าคนตาย ต้องถูกพิจารณาคดี แต่เขากำลังจะทำกับประเทศไทย ทำไมเขาทำได้ เพราะเขาถือว่ามีพวกมากอยู่ในสภาที่จะยกมือให้กฎหมายผ่านและมีผลบังคับใช้ในไทย ถ้าทำแบบนี้ได้หมายความว่าคนที่ฆ่าคนตาย คนที่วางเพลิงเผาทรัพย์ ถ้าเป็นคนที่มีพวกมากก็จะออกกฎหมายล้างผิดให้ แปลว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายหมด ไม่เหลืออีกแล้ว ใครก็สามารถฆ่าคนได้ถ้ามีพวกมาก ใครก็ได้ไปข่มขืนลูกสาวประชาชนได้ถ้ามีพวกมาก ก็ออกกฎหมายล้างผิดให้

    ตอนท้าย นายสุเทพปราศรัยว่า “ผมกราบเรียนกับพี่น้อง การต่อสู้ในช่วงนี้ ลุกขึ้นมาแสดงพลัง รัฐบาลจะได้คิดและหยุดการกระทำ แต่ถ้ายังดื้อออกกฎหมาย ไม่ฟังใครกะโหลกหนา เราก็จะลุกขึ้นตบกะโหลกมัน ถึงวันนั้นถ้าล้มรัฐบาลก็ต้องล้มมัน เอาไว้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่เห็นกับประชาชนและชาติบ้านเมือง วันนี้สู้ไปตามลำดับขั้นตอน ดูซิว่ายิ่งลักษณ์จะไปอยู่ดูไบหรือเราต้องขุดรูอยู่ ช่วยกันเป็นสมองช่วยกันคิดขั้นตอน ตอนนี้ถ้าอยากเป่านกหวีดก็ให้เป่าไปพลางๆ ก่อน ให้รอดูว่าหากวันที่ 7 ส.ค. สู้ในสภาแล้วแพ้ ก็ให้เป่านกหวีดยาวไม่เลิกแล้วเป่าไปทั้งเดือนเลย”

วันเดียวกัน ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว  กลุ่มกรีน (Green Politics) ร่วมกับวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต, สถาบันพัฒนาการเมือง, ชมรม ส.ส.ร. 50, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย, ชมรมนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (SVN) ได้จัดเสวนาเรื่อง “ผ่าแผนระบอบทักษิณ จากนิรโทษกรรมสู่ปฏิบัติการยึดอำนาจกองทัพไทย”

นายสมชาย แสวงการ สว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับมอบจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ให้ติดตามการทำงานเหตุการณ์เกี่ยวกับการชุมนุม ซึ่งได้ติดตามเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่กรณีนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนรักอุดรฯ นำคนไปทำร้ายเสื้อเหลืองที่อุดรธานี คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินแล้ว ซึ่งหากศาลอุทธรณ์ดำเนินการต่อก็คงจะติดคุกแน่ และกรณีทำร้ายนายเทิดศักดิ์ เตียววิวัฒน์ ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งถูกคนเสื้อแดงทำร้าย ศาลได้ตัดสินจำคุกคนละ 22 ปี ซึ่งก็ได้รับการประกันตัวไปแล้ว ตอนนี้คดีหากรอให้ถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็คงติดคุกกัน

“คดีน้องโบว์เมื่อปี 51 มีการตั้งข้อกล่าวหาหลายคน รวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีก็เป็นหนึ่งในนั้น หรือชุมนุมปี 53 มีชายชุดดำ แต่ดีเอสไอกลับไม่รู้ว่ามีอาวุธต่างๆ ที่ใช้ในการชุมนุม ซึ่งแกนนำรู้ ทั้งที่มีหลักฐานมากมาย ด้วยเหตุเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาต้องการนิรโทษกรรม เป็นการเร่งเพื่อให้พ้นผิด” นายสมชายกล่าว

นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ และคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะไม่กลับไปทำความผิดอีก แต่ที่เห็นคงไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้น กฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับไม่มีคำนิยามของคำว่าการเมือง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็อ้างการเมือง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็อ้างการเมือง เผาห้างก็อ้างการเมือง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความจำกัดที่ชัดเจนเกี่ยวกับชุมนุมทางการเมือง ต่อสู้ทางการเมือง คงยอมรับไม่ได้ ทั้งนี้ ตนสนับสนุนแนวทาง คอป. ที่จะนิรโทษกรรมคนที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงความผิดอื่นที่ทำลายชีวิตหรือทำลายสถานที่

“ส่วนคำว่า การยกเว้นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ซึ่งไม่มีการชี้ชัดในส่วนนี้ ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นแกนนำ ทุกวันนี้ ทักษิณไม่กล้าพูดว่าเป็นผู้นำมวลชน หากไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นแกนนำ ก็คงมีคนได้รับนิรโทษกรรมทั้งหมด” นายนิติธรกล่าว

ชำแหละนิรโทษสกรัมไทย

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า เปรียบเทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และฉบับของนายวรชัย เหมะ และฉบับของญาติเสื้อแดง กลุ่มของนางพะเยาว์ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฉบับของนางพะเยาว์น่าคุยด้วยมากที่สุด แต่หากนำทั้ง 3 ฉบับมารวมกัน จะกลายเป็นการเดินหน้าแบบทะลุซอย โดยเฉพาะในชั้นการแปรญัตติ เพราะติดล็อกทักษิณไม่ยอมให้นิรโทษฯ ถ้าไม่รวมตัวเองเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นสมมติฐานของตนเป็นไปได้ว่าจะมีการนำทั้ง 3 ร่างมารวมเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นในปลายเดือนสิงหาคมจึงเป็นช่วงที่มีความสุ่มเสี่ยงทางการเมืองมาก

นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า ขอพูดถึงฉบับของนายวรชัย ซึ่งร้ายแรงกว่าการรัฐประหาร เพราะมีการยึดอำนาจตุลาการโดยฝ่ายการเมือง ลบล้างคำพิพากษาของศาล ซึ่งหลายคดีมีหลักฐาน พยาน มีการพิพากษาไปแล้ว จึงขอตั้งข้อสังเกตร่างกฎหมายฉบับของนายวรชัย และตั้งคำถามไปยังคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย คือ 1.ที่บอกว่าจะนิรโทษกรรมประชาชนไม่รวมแกนนำนั้น มีคำนิยามชัดเจนอย่างไร แค่ไหน และใครกำหนด พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ตรงไหน2.กฎหมายฉบับนี้ควรระบุมาตรา 3 ให้ชัดเจนว่านิรโทษกรรมคดีใดบ้าง 3.ที่กลุ่มเสื้อแดงระบุว่าได้ชุมนุมโดยสันติวิธี แต่ทำไมต้องมีการนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง ในเมื่ออ้างว่าชุมนุมกันอย่างสุจริต 4.ร่างกฎหมายฉบับนายวรชัย ลึกๆ แล้วจะนำไปสู่ปลายทางเพื่อฟอกผิดทั้งหมดหรือไม่ และ 5.ถามไปยังนายกรัฐมนตรีโดยตรงว่าหากร่างกฎหมายนี้เป็นเงื่อนไขให้นำไปสู่ความแตกแยกสงครามกลางเมือง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

"สุดท้ายผมอยากเรียกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของของวรชัย และกระบวนการระบอบทักษิณที่ผลักดันในขณะนี้ ที่พยายามแทรกแซงยึดอำนาจตุลาการ สั่งศาลปล่อยนักโทษ สั่งให้อัยการหยุดสอบสวนตั้งข้อหา ให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกหมายจับหยุดสอบสวนทั้งหมด ซึ่งคำสั่งของคณะรัฐประหารไม่เคยทำมาก่อน ผมอย่างเรียกมันว่า พ.ร.บ.นิรโทษสกรัมประเทศไทย สกรัมนะ ไม่ใช่กรรม คือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ กระทืบประเทศไทยนั่นแหละ" นายสุริยะใสกล่าว

นายคมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การนิรโทษกรรมที่มีการพูดคุยตกลงกันในคลิปสนทนาคล้ายเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม มีความเป็นไปได้ที่จะออกเป็นพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและ พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการในการแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล เพื่อให้มีการตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากรัฐบาลเข้าไปทำหน้าที่เพิ่มอีก 7 คน

นายคมสันกล่าวต่อว่า หากให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพออกคะแนนเสียงรวมกันก็ไม่สามารถออกเสียงชนะฝ่ายการเมืองได้ ดังนั้นจึงต้องจับตาการแต่งตั้งที่อาจมีการตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อยึดอำนาจกองทัพแบบเบ็ดเสร็จ 100 เปอร์เซ็นต์

เสนาธิการร่วมฯ พร้อมม็อบ

    นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ในฐานะโฆษกกลุ่มเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เปิดเผยว่า หลังจากได้ยื่นข้อเรียกร้อง 6 ข้อให้รัฐบาลพิจารณานั้น ในวันนี้ (27 ก.ค.) ครบ 7 วัน ตามที่ได้กำหนดไว้ แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแต่อย่างใด ทางแนวร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณจึงมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้

     นายไทกรกล่าวต่อว่า การชุมนุมดังกล่าวยึดหลักการชุมนุมคือ ต้องเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ  ไม่บุกยึดหรือเผาสถานที่ราชการและเอกชน ผู้ร่วมชุมนุมทุกคนต้องได้รับความปลอดภัยสูงสุด และสถานที่ชุมนุมนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์

นายมานิต วิทยาเต็ม อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ กล่าวถึงกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ที่นำเสนอโดยนายวรชัย ว่าตนยังไม่ได้อ่านร่างของนายวรชัย แต่ถ้าในประเด็นที่มีการระบุในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ว่าการนิรโทษฯ จะไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว นั้นเป็นไม่มีการระบุให้ชัดเจน

“หากมีการออกกฎหมายในลักษณะนี้ออกมาจริง จะต้องมีการตีความกฎหมาย โดยส่งให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าใครเป็นแกนนำหรือไม่ใช่แกนนำที่จะได้รับประโยชน์นิรโทษกรรมจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ ในกรณีมีผู้ที่อ้างว่าตนไม่ใช่แกนนำ หรือมีผู้สั่งการได้รับผลประโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา แต่เมื่อมีผู้พบเห็นเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดี ว่าคนผู้นั้นเป็นแกนนำสั่งการ ไม่สมควรได้รับผลประโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา คดีจะต้องขึ้นสู่ศาลให้เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด” นายมานิตกล่าว

เมื่อถามว่า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ขึ้นมาจะทำให้เกิดคดีความตามมามากมายจนเกิดความวุ่นวายหรือไม่ นายมานิต กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่ามีคนเข้าไปร้องทุกข์แจ้งความถึงคนที่อ้างว่าได้รับผลประโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้มากเท่าไหร่ ถ้ามีมาก คดีความที่ศาลพิจารณาก็จะเยอะ ถ้ากฎหมายออกมาแล้วไม่มีคำนิยาม ก็ต้องให้ศาลชี้ขาด ถ้าออกมาลักษณะนี้ก็ต้องแปลได้แบบนี้

ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ไม่รู้สึกหนักใจกับการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปที่จะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ เชื่อว่าไม่มีเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งในและนอกรัฐสภา โดยบรรยากาศในห้องประชุมจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย พูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่รุนแรงเหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งถึงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

        สำหรับกรณีที่ฝ่ายค้านเกรงว่าจะมีการนำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองเข้าร่วมพิจารณาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมนั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า คงไม่เกิดขึ้น เพราะตามที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แจ้งมา จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเพียงฉบับเดียว ส่วนกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีคดีติดตัวและได้ลงชื่อเห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ

ยัน นปช.ไม่เผชิญหน้า

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม  โดยมีการนำเอาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระแรก ซึ่งมีทั้งกลุ่มคัดค้านและสนับสนุน ซึ่งอาจจะไปสู่การเผชิญหน้าว่าทราบว่าทางฝ่ายของ นปช. พยายามหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ในการไม่ให้เกิดการประจันหน้ากัน ในส่วนของกลุ่มอื่นๆ การแสดงความคิดเห็นและการแสดงในวิถีทางประชาธิปไตยรัฐบาลเข้าใจและสนับสนุนให้มีการแสดงออก และพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของทุกกลุ่มในส่วนที่เป็นประโยชน์ไปพัฒนาไปปรับปรุง แต่ขอให้อยู่ในกรอบของแนวทางประชาธิปไตย

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของ นายวรชัยนั้นไม่ได้ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำผู้ชุมนุมต่างๆ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา แต่เป็นการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มทุกสีที่ได้รับโทษจากการชุมนุมทางการเมือง โดยขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ร่วมมือในการพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชน

        “ขณะนี้พบว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคระดมคนจากภาคใต้และปริมณฑลให้มาชุมนุมกดดันรัฐบาลในวันที่มีการพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อย่างไรก็ตามยืนยันว่าตลอดเดือนสิงหาคมนี้จะไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” นายอนุสรณ์กล่าว

นายอนุสรณ์ปฏิเสธว่า พรรคไม่มีนโยบายขนคนเข้ามาปกป้องรัฐบาล หลังจากลงพื้นที่ภาคอีสานและพบว่า มีการเชิญชวนให้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ถ้าเหมารวมสัปดาห์ละ 2,000 บาท และบอกด้วยว่าไม่ต้องใส่เสื้อแดง แต่แกนนำเสื้อแดงก็ได้ห้ามแล้วว่าระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ วันที่ 4 ส.ค.ขอให้ทุกคนอย่าออกมา เพราะจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้าของคนสองกลุ่ม ขอให้มั่นใจว่า เดือน ส.ค.จะไม่มีอะไรรุนแรง.

"หมดูอีที"ทำนาย"ปู"ล่มสลาย ไม่ฟันธงตายหรือหนีต่างแดน












วันนี้ 31 ก.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 'หมอดูอีที' หมอดูชื่อดังชาวพม่า ได้ทำนายดวงประเทศไทยบางช่วงไว้ว่า ขณะนี้เป็นจุดต่ำสุดของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมตรี และรมว.กลาโหม คนในประเทศจะมีการต่อสู้กันเองทำให้เกิดความสูญเสีย แต่หลังจากผ่านวิกฤติไปได้ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

โดยหมอดูอีทีทำนายไว้ว่า ช่วงเดือนสิงหาคมเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ เรื่อยไปจนถึงเดือนกันยายนและตุลาคม โดยจะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน และสถานการณ์จะเริ่มคงที่ในช่วงปี 2557 โดยตลอดทั้งปีจะเป็นช่วงเปลี่ยนแปลง และในช่วงปี 2558 จะเป็นปีแห่งความหวังใหม่ของประเทศไทย โดยที่มีผู้มีอำนาจรัฐบาลปัจจุบันจะสูญหายไม่เหลือซาก

ทั้งนี้หมอดูอีทีไม่ได้ระบุว่าเสียชีวิต หรือต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และในปี 2559 ประเทศไทยจะเป็นดั่งฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นโดยประชาชน ไม่ใช่กองทัพ
(ที่มา - แนวหน้า - http://www.naewna.com/politic/62235 )

นักอนุรักษ์อีกสองรายประกาศ คืนรางวัลลูกโลกสีเขียวปตท.

นักอนุรักษ์อีกสองรายประกาศ คืนรางวัลลูกโลกสีเขียวปตท. พร้อมเตรียมอดข้าวประท้วงการทำน้ำมันรั่วลงทะเล ที่สำนักงานใหญ่ ปตท.วันศุกร์นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประธานชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา เชียงใหม่ เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 9 ประจำปี 2550 ของบริษัท ปตท. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Rungsrit Kanjanavanit" ประกาศคืนรางวัล พร้อมเงินสด 1แสนบาทให้กับบริษัท ปตท.ในวันที่ ๒ ส.ค.นี้ ได้มีกลุ่มนักอนุรักษ์ ทำการตั้ง กลุ่ม"คืนรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท."ในเฟสบุ๊ค เพื่อรวบรวม นักอนุรักษ์ ที่เคยได้รับรางวัล ลูกโลกสีเขียว ให้นำรางวัลไปคืน ปตท.

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ล่าสุด นายเข็มทอง โมราษฎร์ผู้ก่อตั้ง กลุ่มเด็กรักป่า ซึ่งเป็นผู้ตั้งกลุ่มนี้ ได้ประกาศจะคืนรางวัลลูกโลกสีเขียวกับ ปตท. โดยจะนำไปคืนที่สำนักงานใหญ่ในวันที่ ๒ ส.ค.โดยโพสผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวThaithong Thongthai ว่า "ผมมีความจำเป็นต้องคืนรางวัลดังกล่าวที่ได้รับมาแก่ทางบริษัท ในปี พศ ๒๕๔๖ ผมรู้สึกขอบพระคุณป็นอย่างสูงที่ทางคณะกรรมการได้ให้กำลังใจ และเกียรตินี้แก่ผมและภรรยา แต่ด้วยพฤติกรรมของบริษัท ปตท. ที่ผ่านมา ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพองค์อนุรักษ์ธรรมชาติ ของปตท.ได้ ผมกับภรรยาจะนำถ้วยรางวัลมาส่งคืนในวันศุกร์ที่๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ.ปตท.สำนักงานใหญ่ ปล.ผมขออนุญาตท่านอานันท์และกรรมการทุกท่านนะครับ ผมขอคืนเฉพราะถ้วยรางวัล ส่วนเงินรางวัลหนึ่งแสนนั้น ผมใช้ซื้อน้ำมันปตท.ท่านไปหมดแล้ว"

ทั้งนี้ นายเข็มทอง ยังระบุว่าในวันดังกล่าวจะ ทำการ อดข้าวอดอาหาร ๙ ชั่วโมง ก่อนจะคืนรางวัลลูกโลกสีเขียวให้กับ ปตท. พร้อม เรียกร้องให้ปตท.รับผิดชอบ ในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งปัจจุบัน การฟื้นฟูในอนาคต
https://www.facebook.com/khem2510?hc_location=stream
https://www.facebook.com/groups/444814035635790/

นักอนุรักษ์ คืนรางวัล ลูกโลกสีเขียว อีกราย

นายเข็มทอง (พี่จืด) และนางอาริยา โมราษฎร์ (พี่หน่อย) ผู้ก่อตั้ง “กลุ่มเด็กรักป่า” ประกาศคืนรางวัลลูกโลกสีเขียว
---
เรียนพณฯท่าน อานันท์ ปันยารชุน และ คณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท.

ผมมีความจำเป็นต้องคืนรางวัลดังกล่าวที่ได้รับมาแก่ทางบริษัท ในปี พศ ๒๕๔๖ ผมรู้สึกขอบพระคุณป็นอย่างสูงที่ทางคณะกรรมการได้ให้กำลังใจ และเกียรตินี้แก่ผมและภรรยา

แต่ด้วยพฤติกรรมของบริษัท ปตท. ที่ผ่านมา ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพองค์อนุรักษ์ธรรมชาติ ของปตท.ได้

ผมกับภรรยาจะนำถ้วยรางวัลมาส่งคืนในวันศุกร์ที่๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ.ปตท.สำนักงานใหญ่

ปล.ผมขออนุญาตท่านอานันท์และกรรมการทุกท่านนะครับ ผมขอคืนเฉพราะถ้วยรางวัล ส่วนเงินรางวัลหนึ่งแสนนั้น ผมใช้ซื้อน้ำมันปตท.ท่านไปหมดแล้ว

ขอกราบขออภัยท่านอีกครั้งครับ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=552090554855625
ถูกใจ ·  ·  · 2 นาทีที่แล้ว · 

ทักษิณ ขำคลิปอัลกออิดะห์ขู่ฆ่า

ทักษิณ”เผย“ลูกโอ๊ค” ส่งคลิปขู่ฆ่าให้ดูแล้ว ขำกลิ้งทันที อ้างอัลกออิดะห์แท้ไม่กล้าเปิดหน้า ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง สำเนียงพูดต้องเป็นปากีสถาน และไม่มายุ่งเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทำอวดรู้สอนคนไทย อย่าตกเป็นเหยื่อข่าวลือ

วันนี้(31 ก.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างหนีหมายจับและคำพิพากษาของศาลอยู่ต่างประเทศได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Thaksin Shinawatra” กรณีที่การเผยแพร่วิดีโอคลิปทางเว็บไซต์ยูทิวบ์กลุ่มอัลกออิดะห์ขู่ฆ่าเพื่อล้างแค้นให้พี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ได้ส่งภาพและคลิปดังกล่าวให้ตนดูแล้ว ซึ่งเมื่อเห็นก็ขำทันทีว่ายังมีคนคิดพิเรนทร์อีก พร้อมบอกวิธีดู 3-4 จุดจะได้ไม่ถูกหลอก ได้แก่ อัลกออิดะห์แท้จะไม่เปิดหน้าเพราะกลัวถูกตามฆ่า อัลกออิดะห์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง สำเนียงพูดจะต้องเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน และอัลกออิดะห์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนใต้

“ผมเขียน FB ตอนอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับดูไบจากฮ่องกงครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้เขียนนานมากเพราะมัวแต่เดินทาง ทำงานและรับแขก เมื่อวันก่อนโอ๊คส่งรูปและคลิปอัลกออิดะฮ์ (ปลอม) ขู่ผม พอผมเห็นปุ๊บก็ขำทันทีว่ามีคนคิดพิเรนทร์อีกเช่นเคย ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุดนะครับเผื่อจะไม่ถูกหลอกจากคนที่ไม่ค่อยรู้แต่อยากทำ

1. เวลาเป็นอัลกออิดะฮ์แท้เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า
2. อัลกออิดะฮ์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง
3. สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม
4. อัลกออิดะฮ์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จว.ชายแดนใต้

“ก็เลยอยากจะบอกพี่น้องคนไทยว่า ก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีวิธีคิด รู้จักคิดและวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของข่าวหลอกและข่าวลือครับ วันนี้เราโดนต้มกันเยอะจนมีครั้งหนึ่งผมจำได้ดีตอนผมทำธุรกิจอยู่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารการจัดการชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ Boston Consulting Group (BCG) ตอนเขามาทำ Presentation เพื่อเป็นการวิเคราะห์สังคมไทย ประโยคแรกที่ขึ้นมาบน slide เขาบอกว่า Thailand is rumour driven society

“ผมเห็นแล้วทั้งขำทั้งเศร้า เพราะฝรั่งยังรู้จุดอ่อนของสังคมไทยว่าเป็นสังคมข่าวลือ (แถมข่าวปล่อยด้วย) เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเราจะแก้อย่างไรที่สังคมไทยจะเป็นสังคมที่รู้จักพินิจพิเคราะห์ ไม่เชื่อง่าย ไม่โดนหลอกง่าย” พ.ต.ท.ทักษิณระบุในเฟซบุ๊ก

สำหรับวิดีโอคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ยูทิวบ์เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันเกิดครบ 64 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยผู้โพสต์ใช้ชื่อว่า “mansoor ahmed volvo” ต่อมาหลังจากตกเป็นข่าวและมีผู้เข้าไปชมคลิปมากขึ้นก็ได้มีการบล็อกการเข้าชมวิดีโอคลิปชินนี้ โดยฝ่ายรัฐบาลพยายามอ้างว่าเป็นการกระทำของฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ขณะที่พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ระบุว่า คลิปดังกล่าวน่าจะไม่มีการตัดต่อ โดยพบว่าเป็นคลิปที่สร้างมาจากทางตะวันออกกลาง อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มไหน ใครจะเป็นคนสร้างหรือทำ

http://astv.mobi/A5knCJg

ในหลวงราชินีเสด็จฯ ประทับวังไกลกังวลพรุ่งนี้16.00น.

ข่าวราชสำนัก วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2556 16:34น.
469344
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เผย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน ในวันพรุ่งนี้ เวลา 16.00 น.
นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ในวันพรุ่งนี้ เวลาประมาณ 16.00 น. เพื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สำหรับการเตรียมความพร้อมของจังหวัด ขณะนี้ได้สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ ประดับธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ บริเวณเกาะกลางถนนเพชรเกษม ตั้งแต่ท่าอากาศยานหัวหิน ถึงหน้าพระราชวังไกลกังวล และขอให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมาเฝ้าฯรับเสด็จ เพื่อชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์วันดังกล่าวด้วย

ปาระเบิดบ้าน'พะจุณณ์ ตามประทีป'

คมชัดลึก อาชญากรรม : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556

ปาระเบิดบ้าน'พะจุณณ์ ตามประทีป'

ปาระเบิดบ้าน'พะจุณณ์ ตามประทีป' ชนิดน้อยหน่าไม่ได้ดึงสลักออก พบเพียงกระถางต้นไม้เสียหายไร้เจ็บ เชื่อเป็นการข่มขู่ สร้างสถานการณ์

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ค.2556 พ.ต.ท.ประเสริฐ สีตลาศัย พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิแศษ สน.ตลิ่งชัน รับแจ้งเหตุมีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดภายในบ้านของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อายุ 61 ปี บ้านเลขที่ 20/21 หมู่บ้านร่มรื่นซอย 5 ถนนบรมราชชนนี ซอย 42 แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม.ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด(EOD) และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลังฐาน(พฐ.) ไปตรวจสอบ
              ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิดเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางเมตร บริเวณสวนหย่อมภายในเนื้อที่บ้าน ห่างจากประตูทางเข้าบ้านประมาณ 5 เมตร ห่างจากรั้วที่มีการปลูกต้นไม้แซมประมาณ 5 เมตร ใกล้กับที่จอดรถ และห่างจากตัวบ้านประมาณ 10 เมตร มีกระถางต้นไม้ซึ่งปลูกไม้ดอกไม้ประดับอยู่รวมกันหลายกระถาง เจ้าหน้าที่พบลูกระเบิดชนิดขว้าง รุ่นเอส 1 หรือระเบิดน้อยหน่าตกอยู่ระหว่างกระถางต้นไม้ และมีเศษกระถางต้นไม้แตก เนื่องจากถูกลูกระเบิดดังกล่าวตกกระแทกใส่ ระเบิดดังกล่าวยังอยู่ในสภาพใช้การได้ แต่ไม่ได้เกิดการระเบิดแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ได้ดึงสลักออก เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตุถุระเบิดจึงเข้าไปเก็บกู้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ชุดพิสูจน์หลักฐานจะเข้าไปเก็บรอยนิ้วมือแฝง และตรวจหาดีเอ็นเอที่ลูกระเบิดไว้เป็นหลักฐาน

              พ.ต.ท.ประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าของบ้านคือ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ไม่ได้ประสงศ์ที่จะแจ้งความแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีใครไดรับบาดเจ็บ มีเพียงกระถางต้นไม้หน้าบ้านแตกอยู่เท่านั้น โดยคาดว่าน่าจะเป็นเพียงการข่มขู่ เนื่องจากสลักระเบิดเป็นความตั้งใจที่จะไม่ดึงสลักเพื่อไม่ให้ระเบิดทำงาน ไม่ได้หวังจะให้ใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนประเด็นการข่มขู่น่าจะเป็นเรื่องปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ส่งชุดสืบสวนเพื่อลงพื้นที่หาข่าวและตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อตามหาคนร้ายต่อไป

              ด้าน พล.ร.อ.พะจุณณ์ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว เป็นห่วงแต่สถานการณ์บ้านเมือง สำหรับคนที่มาปาน่าจะใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ โดยใช้ถนนเป็นตรอกเล็กๆข้างกำแพงของหมู่บ้านแล้วขว้างจากด้านนอกข้ามรั้วกำแพงของหมู่บ้าน แล้วก็ข้ามกำแพงบ้านอีกชั้น จนลูกระเบิดตกลงมาใส่กระถางต้นไม้ แต่ไม่ระเบิดเพราะลูกระเบิดที่ขว้างมาไม่ได้ดึงสลักออก โดยคนที่ก่อเหตุหวังผลเพื่อที่จะข่มขู่ สร้างสถานการณ์ ต้องการยั่วยุ เป็นฝีมือของกลุ่มที่เห็นต่าง แต่ไม่เป็นไรในเมื่อไม่มีใครได้รับอันตรายจึงไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่

              “ส่วนตัวผมเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองมากกว่า และหมู่บ้านที่ผมอยู่ซึ่งมีมานาน เป็นหมู่บ้านที่ร่มรื่น ตามชื่อของหมู่บ้าน อยู่กันแบบเงียบสงบ กล้องวงจรปิดจึงไม่มีทั่วทุกจุด มีเพียงที่ป้อมยามเข้าหมู่บ้าน ซึ่งผมได้ถามยามที่ป้อมแล้วว่าเมื่อคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนเป็นต้นมาก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาสักคัน และเมื่อคืนนี้ผมเข้านอนประมาณเที่ยงคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเวลาประมาณ 03.39 น.ก็ออกมาให้อาหารหมาแมวที่ถนนหน้าบ้าน จากนั้นช่วงประมาณ 05.30 น.ผมไปส่งหลานที่โรงเรียน โดยในช่วงเช้าที่สว่างแล้วภรรยาผมมากวาดใบไม้ตามปกติ ก็มาเจอกระถางต้นไม้แตกแล้วก็เห็นลูกระเบิดตกอยู่ ภรรยาจึงบอกผม ก่อนจะแจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบเก็บกู้ไป” พล.ร.อ.พระจุณณ์ กล่าวและว่า
              ถ้าหากระเบิดถูกดึงสลักก่อนขว้างเข้ามาคงระเบิดดังตูมตาม สร้างความตื่นตระหนกให้คนในหมู่บ้านรื่นรมย์ ตนคงถูกชาวบ้านด่า และคงอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้ เพราะหมู่บ้านอยู่เงียบสงบมานาน แต่ในเมื่อไม่มีอะไรมากก็อยู่ร่วมกันแบบสงบร่มรื่นต่อไ

นักอนุรักษ์ประกาศคืนรางวัลโลกสีเขียวปตท.

31 กรกฎาคม 2556 เวลา 18:08 น. |

นักอนุรักษ์ประกาศคืนรางวัลโลกสีเขียวปตท.
"นพ.รังสฤษฎ์" นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมประกาศคืนรางวัลโลกสีเขียวพร้อมเงิน1แสนกับปตท. เผยรับไม่ได้กับพฤติกรรมบริษัท
นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 9 ประจำปี 2550 ของบริษัท ปตท. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Rungsrit Kanjanavanit" ประกาศคืนรางวัล พร้อมเงินสด 1แสนบาทให้กับบริษัท ปตท. โดยระบุว่า
"ผมต้องกราบขออภัยและด้วยความเคารพอย่างสูงต่อ พณฯท่าน อานันท์ ปันยารชุน และ คณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท ผมมีความจำเป็นต้องคืนรางวัลดังกล่าวที่ได้รับมาแก่ทางบริษัท ในปี พ.ศ.2550 ผมรู้สึกขอบพระคุณป็นอย่างสูงที่ทางคณะกรรมการได้ให้กำลังใจ และเกียรตินี้แก่ผม แต่ ด้วยพฤติกรรมของบริษัท ปตท. ที่ผ่านมา ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพสีเขียว ของบริษัทฯได้จริงๆ โดยผมจะนำไปส่งคืนพร้อมเงิน หนึ่งแสนที่ได้รับมาในวันศุกร์นี้ครับ ขอกราบขออภัยอีกครั้งครับ"
อนึ่งนพ.รังสฤษฎ์ เป็นผู้ที่ทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อตั้งและเป็นประธานชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา เชียงใหม่ จัดกิจกรรมดูนกและให้ความรู้เรื่องของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งทำงานอนุรักษ์โดยการพาเด็กเข้าไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม สอนให้ทำบันทึกธรรมชาติ ร่วมคัดค้านโครงการของรัฐที่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม 

“มิตซูบิชิ” โวยแหลก รบ.ปูเลิกโครงการ “รถคันแรก” ทำค่ายรถกระอัก ยอดขายดิ่งเหว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์31 กรกฎาคม 2556 13:09 น.


       รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป ออกโรงเตือน ยอดขายยานยนต์ในประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจประสบภาวะตกต่ำดำดิ่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุติโครงการ “รถคันแรก” ในปีที่ผ่านมา
     
       โยชิฮิโระ คุโรอิ เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของมิตซูบิชิ เผยว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ ค่ายยานยนต์อันดับ 7 ของญี่ปุ่น ซึ่งลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ถึง 3 แห่งในประเทศไทย เตรียมหาทางชดเชยความต้องการที่หดหายในแดนสยาม ด้วยการส่งออกยานยนต์ของตนไปจำหน่ายในประเทศอื่นๆ ภายในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือกลุ่ม “อาเซียน” แทน รวมถึง การเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลียหากเป็นไปได้
     
       มิตซูบิชิเพิ่งประกาศผลประกอบการรายไตรมาสที่เพิ่มสูงขึ้น 7.4 เปอร์เซ็นต์ แต่ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลจากการที่เงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลง ซึ่งช่วยชดเชยความสูญเสียของบริษัทจากการที่ยอดขายในตลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างเมืองไทย ประสบภาวะดิ่งเหว
     
       คุโรอิระบุว่า บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ รวมถึงมิตซูบิชิเองต่างต้องเผชิญกับปัญหาการยกเลิกคำสั่งซื้อของลูกค้าในไทยจำนวนไม่น้อย หลังจากที่โครงการ “รถคันแรก”ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์สิ้นสุดไปเมื่อปีที่แล้ว
     
       ยอดขายของมิตซูบิชิ มอเตอร์สในไทยระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ร่วงลงไปถึง 24 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายโดยรวมของตลาดรถยนต์ในไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ปรับลดลงไป 1 เปอร์เซ็นต์
     
       ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกาศปรับลดเป้าหมายด้านยอดขายของตน ในปีการเงินที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมปีหน้าเหลือราว 1.1 ล้านคัน หรือ 1.2 ล้านคัน แต่ยังคาดว่าผลประกอบการเมื่อสิ้นปีการเงินของบริษัทจะยังคงสามารถทำกำไรได้ราว 100,000 ล้านเยน (ราว 32,000 ล้านบาท) ขณะที่ยอดขายในออสเตรเลียและภูมิภาคลาตินอเมริกายังคงมีทิศทางที่น่าพอใจ
โยชิฮิโระ คุโรอิ เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของมิตซูบิชิ
      
      
      
      
      

รายงาน: ทบทวน “การเดินทางของกฎหมาย” รับมือศึกในสภาสิงหานี้

Wed, 2013-07-31 13:35


 วันที่ 1 ส.ค.นี้จะเริ่มเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป และพรรคเพื่อไทยระบุว่า วันที่ 7 ส.ค.นี้จะมีการหยิบยกร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทยมาพิจารณาเพียงร่างเดียว
ขณะที่ร่างพ.ร.บ.นิรโทษรรมของกลุ่มญาติผู้เสียหายจากเหตุการณ์ทางการเมืองเม.ย.-พ.ค.53 นั้นถูกนำเสนอเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนางพะเยาว์ อัคฮาด และตัวแทนกลุ่มญาติได้ตระเวนยื่นร่างดังกล่าวแก่ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และพรรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรงอย่างพรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ เพื่อใช้ช่องทางการรวมรายชื่อส.ส.ไม่ต่ำกว่า 20 คน บรรจุร่างนี้ในวาระการประชุมสภาสมัยนี้
เนื้อหาของร่างทั้งสองฉบับยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักกิจกรรม ในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง ในหมู่ญาติผู้เสียหาย รวมถึงฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยขณะนี้ร่างของญาติผู้เสียหายฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงขั้นสุดท้ายหลังเปิดรับฟังความคิดเห็นแล้ว
นอกเหนือจากเรื่องเนื้อหาว่าการนิรโทษกรรมฉบับของใครครอบคลุมแค่ไหนแล้ว (อ่านรายละเอียดที่ เปิด 5 ร่างปรองดอง 4 ร่างนิรโทษกรรม ฉบับไหน ใครรอด) ยังถกเถียงถึงกระบวนการผลักดันร่างนี้ด้วย
โดยนักเคลื่อนไหว คนเสื้อแดงจำนวนมาก รวมถึงนักโทษการเมืองในเรือนจำคาดหวังว่าร่างฉบับวรชัยจะสามารถผลักดันแบบ “ผ่าน 3 วาระรวด” ได้ด้วยเสียงข้างมากของรัฐบาล ขณะที่คนอีกส่วนเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีการแปรญัตติร่างกฎหมายดังกล่าว แม้แต่รองประธานสภาผู้แทนฯ อย่างเจริญ จรรย์โกมล เองก็ระบุว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่าน 3 วาระรวด และน่าจะต้องตั้งกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้บางส่วนยังเสนอว่าความต้องการต่างๆ นั้นสามารถแก้ไขเพิ่มเติมกันได้ในชั้นกรรมาธิการ ขณะที่อีกส่วนก็ระบุว่าการเพิ่มเติมจากร่างหลักในชั้นกรรมาธิการนั้นทำไม่ได้ ดังนั้นหากวรชัยต้องการนิรโทษกรรมทหาร(โดยการไม่เขียนให้ชัดแต่แรก) ก็ไม่สามารถเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการได้ ส่วนสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีนิด้า ก็เสนอเลยไปถึงวาระ 2 เลยว่า ให้ใช้ร่างของญาติฯ เป็น “ร่างหลัก”  ฯลฯ
ในโอกาสที่มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับ “กระบวนการของการพิจารณากฎหมาย”  ของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เราขอพาผู้อ่านกลับไปทบทวนเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับ “การเดินทางของกฎหมายในสภา” ผ่านการพูดคุยกับ “อิสร์กุล อุณหเกตุ” นักวิจัยของโครงการ ThaiLawWatch  ประกอบกับศึกษาข้อมูลจากงานวิจัย “การปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของประเทศ โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย ( 2549)  เพื่ออธิบายขั้นตอนต่างๆ โดยละเอียดอีกครั้ง
ไม่เฉพาะเพื่อรองรับต่อการถกเถียงเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรม แต่รวมถึงกฎหมายทั่วไปอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะเมื่อประชาชนเริ่มเข้ามามีบทบาทในการร่างกฎหมายต่างๆ มากขึ้น


คลิ๊กดูภาพขนาดใหญ่


การพิจารณากฎหมายนั้นโดยส่วนใหญ่กระทำในสมัยสามัญนิติบัญญัติ แต่จะพิจารณากฎหมายในสมัยสามัญทั่วไปเช่นเดียวกับครั้งนี้ก็ได้
หากเริ่มต้นตั้งแต่ก้าวแรก เราจะพบว่ากฎหมายมีที่มาจาก 3 ทางหลัก คือ 1.กฎหมายที่มาจากหน่วยงานรัฐทั้งหลาย ผ่านกระทรวง มายังคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2. กฎหมายที่ ส.ส.เป็นผู้เสนอ โดยต้องรวมชื่อส.ส.ไม่น้อยกว่า 20 คน 3.ประชาชนเป็นคนเสนอ โดยรวบรวม 10,000 รายชื่อ และอีกส่วนหนึ่งที่เสนอกฎหมายได้ คือ ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม การเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชนก็เป็นมหากาพย์อันยาวนาน ปัจจุบันกฎหมายลูกเรื่องนี้ก็มีการปรับแก้และอยู่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการร่วมสองสภา
ในกรณีที่หนึ่ง หากหน่วยงานรัฐเป็นผู้เสนอผ่านความเห็นชอบของ ครม.โดยทั่วไปแล้ว ครม. ก็จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจทานก่อน แล้วจึงส่งกลับมายัง ครม.เพื่อให้ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ “วิปรัฐบาล” ไปหารือกับทางสภาเพื่อบรรจุวาระรวมถึง “จัดคิว” การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรด้วย
หากเป็นกรณีร่างกฎหมายที่ ส.ส.เสนอเองก็ไม่จำเป็นต้องส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบ
ส่วนร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอ หากตรวจเช็ครายชื่อแล้วและประธานสภาพิจารณาแล้วว่าอยู่ในเงื่อนไขหมวด 3 (สิทธิเสรีภาพ) หมวด 5 (แนวนโยบายแห่งรัฐ) ของรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีสิทธิเสนอได้ ก็สามารถบรรจุเข้าวาระการพิจารณาได้
การพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร แบ่งเป็น 3 วาระ
วาระที่ 1 คือ  การรับหลักการและสาระสำคัญ กรณีที่มีกฎหมายเรื่องเดียวกันแต่มีหลายเวอร์ชั่น มีคนเสนอหลายคน ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวาระหนึ่งไปพร้อมๆ กัน อาจจะเข้าไล่เลี่ยกันไม่นานนักก็ได้ เพราะฉบับที่ผ่านวาระ 1 ก่อนจะไปกองรออยู่ที่ วาระ 2 เพื่อพิจารณาพร้อมๆ กัน  
ในการพิจารณาวาระ 1 นี้ หากมีหลายร่าง ที่ประชุมสภาอาจโหวตให้รับหลักการเฉพาะร่างใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรับทุกฉบับ ร่างที่ไม่ได้รับการโหวตจะเป็นอันตกไป
ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกรณีกฎหมายประกันสังคม ซึ่งมีทั้งหมด 4 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือฉบับที่ภาคประชาชนล่ารายชื่อเสนอเข้าไป สุดท้ายที่ประชุมสภาโหวตรับหลักการเพียงร่างของ ครม.และร่างของ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ร่างประชาชนก็เป็นอันตกไปตั้งแต่วาระที่1 ทั้งที่มีเนื้อหาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ที่ประชุมสภาจะกำหนดให้ด้วยว่า ในชั้นกรรมาธิการจะใช้ร่างใดเป็น “ร่างหลัก” ในการพิจารณา ส่วนร่างอื่นๆ นั้นใช้ประกอบการพิจารณา โดยปกติแล้วก็มักจะใช้ร่างของ ครม.เป็นร่างหลักเนื่องจากผ่านการตรวจสอบของกฤษฎีกาแล้ว แต่การใช้ร่างใดเป็นร่างหลักก็ยังไม่สำคัญเท่าสัดส่วนกรรมาธิการว่ามีแนวโน้มไปทางสนับสนุนร่างใด
ต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า วาระที่ 1 นี้ไม่มีการกำหนดกรอบเวลา ส.ส.สามารถอภิปรายกันได้ยาวนาน จากงานวิจัย พบว่าส.ส.ใช้เวลาส่วนนี้เยอะมาก โดยอภิปรายเลยไปถึงประเด็นเนื้อหา ไม่ได้จำกัดเฉพาะหลักการดังชื่อของวาระ
วาระที่ 2 แบ่งเป็นการพิจารณาชั้นคณะกรรมาธิการ และ การพิจารณารายมาตราของสภา
หลังผ่านวาระที่ 1 จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการที่จะพิจารณาร่างกฎหมายนั้น ซึ่งจะเป็นกรรมาธิการสามัญที่อยู่แล้วหลายคณะในสภาก็ได้ หรือจะตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเป็นการเฉพาะก็ได้ กรรมาธิการสามัญจะเป็นบรรดา ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลตามสัดส่วนที่ตกลงกัน ส่วนกรรมาธิการวิสามัญนั้นนอกจากจะมี ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล ยังสามารถเชิญคนนอก/ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมเป็นกรรมาธิการได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมีการพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนรวบรวมชื่อเสนอ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องมีตัวแทนภาคประชาชน 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด
ชั้นกรรมาธิการจะเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายแบบละเอียดยิบไล่ไปทีละมาตรา โดยดูจากร่างหลักประกอบกับร่างอื่นๆ  กรรมาธิการมีสิทธิที่จะแก้ไข  ตัดทอน หรือกระทั่งเพิ่มมาตราขึ้นมาใหม่ก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น  
หากกรรมาธิการคนใดเสนอความเห็นแล้วเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมไม่เห็นด้วย ไม่แก้ตาม กรรมาธิการผู้นั้นก็สามารถ “สงวนความเห็น” เพื่อมาอภิปรายให้ที่ประชุมใหญ่ ส.ส.เป็นผู้ตัดสินได้
อย่างไรก็ตาม การพิจารณากฎหมายก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คนนี้ ส.ส.ที่ไม่ถูกเลือกให้ร่วมเป็นกรรมาธิการ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้ โดยการยื่นคำขอ “แปรญัตติ” ต่อประธานคณะกรรมาธิการล่วงหน้า จากนั้นส.ส.คนดังกล่าวก็ต้องมานำเสนอในที่ประชุมกรรมาธิการ หากเสียงส่วนใหญ่ที่ประชุมกรรมาธิการเห็นด้วยก็แก้ตามกันไป แต่หากไม่เห็นด้วย ส.ส.คนดังกล่าวสามารถ “สงวนคำแปรญัตติ” เพื่อมาอภิปรายให้ที่ประชุมใหญ่ส.ส.เป็นผู้ตัดสินได้เหมือนกัน
ถามว่าการพิจารณาจะล่าช้าเพียงไหน ก็อยู่ที่จะมีผู้แปรญัตติขอแก้ไขร่างในจุดต่างๆ มากน้อยขนาดไหน ถ้าแต่ละมาตราของแต่ละร่างมีความแตกต่างกันมากก็จะล่าช้าเป็นธรรมดา โดยปกติในชั้นกรรมาธิการหากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน แต่ก็สามารถขยายเวลาได้ครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นกฎหมายอื่นซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณก็ไม่มีข้อกำหนดเรื่องระยะเวลา
เมื่อเสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการ ก็จะนำร่างกฎหมายกลับสู่การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร 500 คน โดยกรรมาธิการจะต้องทำรายงานเปรียบเทียบร่างเดิมและร่างที่กรรมาธิการแก้ไขเพิ่มเติม พร้อมแจ้งการสงวนคำแปรญัตติของผู้แปรญัตติหรือมีการสงวนความเห็นของกรรมาธิการ
ในที่ประชุมใหญ่ กรรมาธิการจะมาชี้แจงด้วยตัวเอง หากมาตราใดที่ไม่มีการแก้ไข  ไม่มีการสงวนคำแปรญัตติ หรือกรรมาธิการไม่ได้สงวนความเห็นไว้ ก็จะผ่านการพิจารณาไปโดยไม่มีการอภิปราย
แต่ถ้ามาตราใดมีการแก้ไข และมีผู้สงวนคำแปรญัตติหรือกรรมาธิการสงวนความเห็นไว้ ที่ประชุมจะเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในมาตรานั้น โดยสมาชิกผู้ขอสงวนคำแปรญัตติหรือกรรมาธิการผู้ขอสงวนความเห็นมีสิทธิอภิปรายแสดงความเห็นได้เฉพาะในประเด็นที่ขอสงวนไว้เท่านั้น ส่วนสมาชิกอื่นจะอภิปรายหรือซักถามได้เฉพาะมาตราที่กรรมาธิการได้เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเพิ่มเติมเท่านั้น
หากอภิปรายแล้วมีข้อขัดแย้งกันมากก็ต้องมีการลงมติเพื่อหาข้อยุติในเรื่องดังกล่าว พิจารณาไล่ไปเรื่อยๆ จนจบทั้งร่าง
จากนั้นจะเข้าสู่วาระ 3 ที่เรียกว่า การลงมติทั้งฉบับ คือ การให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทั้งฉบับ ขั้นตอนนี้จะไม่มีการอภิปรายหรือแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น แค่เพียงให้ ส.ส.โหวตว่าจะเห็นชอบหรือไม่ หากเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบก็ผ่านไปสู่ชั้นวุฒิสภา แต่หากไม่เห็นชอบร่างกฎหมายนั้นก็ตกไป
นี่คือกระบวนการปกติในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร แต่กับกฎหมายบางฉบับที่ต้องการนำไปใช้บังคับเป็นการด่วน หรือเป็นกฎหมายที่มีรายละเอียดไม่มาก มีไม่กี่มาตรา ไม่ได้มีความคิดเห็นแย้งกันนัก ก็สามารถลดขั้นตอนการพิจารณาได้เร็วขึ้นอีก โดยครม. หรือ ส.ส. ไม่นอยกว่า 20 คน ยื่นขอให้พิจารณาโดย “กรรมาธิการเต็มสภา” ก็คือให้ทั้งสภาเป็นกรรมาธิการไปเลย ไม่ต้องยื่นคำขอแปรญัตติหรือสงวนคำแปรญัตติกันอีก ทำให้ลดขั้นตอนและนำสู่วาระ 3 ได้เลย
เมื่อมาถึงในชั้นวุฒิสภาก็จะทำแบบเดิมอีก คือ พิจารณา 3 วาระ ต่างแต่เพียงว่า ในชั้นของวุฒิฯ นั้นมีการกำหนดเวลาการพิจารณาชัดเจนว่า หากเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 30 วัน หากเป็นร่างกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเงินให้เวลา 60 วัน ความเห็นของวุฒิที่ออกมาแบ่งเป็น 3 กรณี
1.หากวุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับร่างที่สภาผู้แทนราษฎรแก้ก็เป็นอันจบ ให้นายกฯ ทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงประปรมาภิไธยและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
2.หากวุฒิสภามีมติไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน และส่งร่างพระราชบัญญัติคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร
3.หากวุฒิสภามีมติให้แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎร ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นก็จบ แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการแก้ไข ก็จะมีการตั้งกรรมาธิการร่วมของทั้ง 2 สภาเพื่อพิจารณาร่างนั้นอีกครั้ง เมื่อกรรมาธิการร่วมพิจารณาเสร็จ ก็รายงานไปยัง 2 สภา หากทั้ง 2 สภาเห็นชอบก็เป็นอันจบ แต่หากสภาใดสภาหนึ่งไม่ให้ความเห็นชอบ ให้ยับยั้งร่างนั้นไว้ก่อน
กรณีที่มีการยับยั้งร่าง ไม่ว่าจากการที่วุฒิฯ ไม่รับหลักการในวาระ 1 หรือไม่เห็นชอบในวาระ 3 หรือกรณีสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบเวอร์ชั่นหลังตั้งกรรมาธิการร่วมแล้วก็ตาม เมื่อเรื่องถูกส่งกลับสภาผู้แทนฯ แล้ว ไม่สามารถพิจารณาต่อได้ทันที (ถ้าไม่ใช่ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน) ต้องรอไว้ 180 วันก่อนจึงจะสามารถหยิบร่างนั้นมาพิจารณาใหม่ ในชั้นนี้สภาผู้แทนฯ จะมีสิทธิลงมติยืนยันร่างเดิมที่ผ่านสภาตนก็ได้ หรือยืนยันร่างกรรมาธิการร่วมก็ได้ แต่เสียงต้องเกินกึ่งหนึ่
ที่มา ประชาไท