PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วีรพงษ์ รามางกูร: ความเงียบ

วีรพงษ์ รามางกูร: ความเงียบ

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22:10:02 น.

มติชนรายวัน 26 มิถุนายน 2557

"เงียบ" เป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่ "ไม่มีเสียง" และขณะเดียวกันก็ไม่มี "การเคลื่อนไหว" สภาวการณ์ที่มีองค์ประกอบทั้ง 2 อย่างเช่นว่า เป็นสภาวการณ์ที่เดาได้ยากและไม่ค่อยได้พบในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน

ในสภาพของสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองที่ผู้คนต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ เพื่อไต่เต้าฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยแล้ว "ความเงียบ" นั้นเกิดขึ้นได้ยาก เพราะจะมีเสียงเรียกร้องวิพากษ์วิจารณ์เพื่อผลประโยชน์ของตนเสมอ ผ่านทางใดทางหนึ่งของสื่อมวลชนและช่องทางอื่นๆ

หลายคนเวลาจะซื้อที่สร้างบ้านหรือซื้อบ้าน ก็พยายามหาที่สงบเงียบหรือเงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนหรือจากการเคลื่อนไหวของวัตถุ เช่น ยานพาหนะ ผู้คน สัตว์เลี้ยง รถเข็นซาเล้งที่ผ่านไปมาเป็นที่รำคาญใจ แต่ก็หาไม่ได้

แม้จะออกไปอยู่ต่างจังหวัด ในอำเภอไกลๆ เช่น บนเนินเขาชายแดนพม่า ลาว เขมร หรือ มลายู ก็ไม่สามารถหาที่ "เงียบ" สงัดใช้เป็นที่พำนักพักพิงได้ เพราะเคยไปนั่งสมาธิลองดูที่วัดป่าแถวๆ ภาคอีสาน เอาเข้าจริงในป่าก็ไม่เงียบ ไม่สงัด มีเสียงจิ้งหรีด เรไร มีเสียงยุงบินวนไปมาหาเลือดดูดเป็นอาหาร ได้ยินเสียงกรอบแกรบ ลมพัดถูกใบไม้แห้งปลิวไปปลิวมา เสียงต้นไม้เล็กใหญ่เคลื่อนไหวไปมา เมื่อมีทั้งเสียงและเห็นการเคลื่อนไหวของวัตถุก็ไม่เข้ากับคำจำกัดความของคำว่า "เงียบสงบ" 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกก็คงจะหลีกหนีความ "ไม่เงียบ ไม่สงบ" ไม่ได้ "ความเงียบ" และ "ความสงบ" อย่างสมบูรณ์จึงไม่น่าจะมี คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าเราไปนั่งอยู่บนดวงจันทร์ จะมีความเงียบสงบหรือไม่ อาจจะเป็นไปได้ว่าบนพระจันทร์นั้นมีความเงียบและมีความสงบ แต่ก็ยังไม่เคยไป

เมื่อสมัยเป็นนักเรียนไม่ว่าชั้นประถมหรือชั้นมัธยม เวลาครูไม่อยู่หรือยังไม่มา พวกนักเรียนก็จะคุยกันเสียงดังโล้งเล้ง จนคุณครูเดินเข้ามาในห้อง ถ้ามองเห็นทันทั้งห้องก็เงียบ ถ้าไม่ทันเห็นก็ไม่เงียบจนครูต้องตะโกนเสียงดังว่า "เงียบ" เสียงคุยกันจึงเงียบลง แต่ที่จริงก็ไม่ได้เงียบจริง เพราะยังได้ยินเสียงรถยนต์ ได้ยินเสียงรถตัดหญ้า ได้ยินเสียงอย่างอื่นลอดหน้าต่างห้องเรียนเข้ามา อีกทั้งยังเห็นการเคลื่อนไหวของเพื่อนนักเรียน เห็นการเคลื่อนไหวของคุณครู ได้ยินคุณครูดุด่าว่ากล่าวอยู่นั่นเอง

ในสมัยเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกา ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยต้องถือว่าเป็นสถานที่ที่เงียบสงัดมากที่สุด โดยเฉพาะห้องที่เขาจัดให้นักศึกษาปริญญาเอก สามารถเอาหนังสือมาวางไว้บนชั้นหนังสือของโต๊ะส่วนตัวได้ เอาเข้าจริงก็ไม่เงียบสงัดอย่างที่ว่า เพราะมักจะมีเพื่อนนักศึกษาที่กำลังทำวิทยานิพนธ์เหมือนกันโดยเฉพาะเพื่อนแขกอินเดียบ้าง ปากีสถานบ้าง บังกลาเทศบ้าง จะย่องมาแอบซุบซิบคุยกัน หนักๆ เข้ามาก็ชวนกันไปหากาแฟดื่มที่คาเฟทีเรีย

เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดนอนป่วยอยู่ 7 วัน อุตส่าห์เช่าห้องพิเศษอยู่ก็ไม่เงียบ เดี๋ยวก็มีพยาบาลมาวัดความดัน มาวัดอุณหภูมิของร่างกาย หนักๆ เข้าก็มีนักเรียนพยาบาลมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ขอให้ติววิชาเศรษฐศาสตร์ให้ หาความเงียบสงบไม่ได้อีก

ความเงียบสงบของปุถุชนหรือสังคมของปุถุชนจึงหาได้ยากหรือแทบจะไม่มีเลย แต่ถ้าเป็นความเงียบสงบสัมพัทธ์ หรือความเงียบสงบเปรียบเทียบ เช่น ก่อนที่ครูประจำชั้นจะถือไม้เรียวเดินเข้ามาในห้องที่นักเรียนทั้งห้องกำลังคุยกันเซ็งแซ่ หยอกล้อกันวุ่นวาย ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อครูประจำชั้นซึ่งถือไม้เรียวมาแล้วสั่งให้เงียบ เสียงดังและการเคลื่อนไหววุ่นวายก็หยุดลง ทุกคนนั่งตัวตรงปิดปากเงียบ แต่ก็ไม่ใช่ความเงียบและไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์เพราะยังมีเสียงอื่นๆ เล็ดลอดเข้ามาในห้องอยู่ดี ความเงียบสงบเพราะครูประจำชั้นสั่งก็ไม่เป็นความเงียบสงบที่ถาวร เพราะเมื่อครูประจำชั้นก้าวออกไปจากห้อง ขณะที่รอครูประจำวิชาต่อไปเข้ามาสอน การเคลื่อนไหวและความเซ็งแซ่ของเสียงพูดคุยกันก็เริ่มขึ้นใหม่ บางทีก็ตามมาด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคายไม่สุภาพต่อว่าครูประจำชั้นโดยนักเรียนที่เป็นหัวโจกของชั้นตามมาอีก ความไม่สมบูรณ์และความไม่ถาวรดูจะเป็นกฎธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นหลักของศาสนาพุทธของเรา

ความสงบเงียบอาจจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ท่านอริยบุคคลเท่านั้น เพราะท่านเหล่านั้นสามารถขจัดกิเลส ตัณหา อุปทาน จนจิตของท่านกลับไปเป็นประภัสสรเหมือนดังเมื่อแรกเกิดแล้ว แต่ท่านเหล่านั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยของสังคม และท่านได้แยกตัวออกจากความวุ่นวายไม่เงียบสงบของสังคมมนุษย์ไปแล้ว ถ้าผู้ใดเข้าถึงความเงียบสงบที่แท้จริงได้ก็จะประสบกับความสุขอย่างยิ่ง ดังพุทธวจนะที่ว่า "นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง" นั้นเอง

ความเงียบสงบจึงเป็นที่ปรารถนาของทุกสังคมทุกประเทศชาติเสมอ ทุกศาสนาก็ปรารถนาให้สังคมมีความเงียบสงบ คำอวยพรของศาสนาทุกศาสนาก็อวยพรให้สันติจงบังเกิดแก่ผู้ที่ได้รับการอวยพร แสดงให้เห็นว่าความไม่เงียบสงบนั้นเป็นของปกติที่มีอยู่ทั่วไปเป็นของธรรมดา

ความสงบเงียบสัมพัทธ์ของสังคมนั้นคงจะมี 2 มิติ ดังที่ได้กล่าวมา คือมองระหว่างบุคคล ระหว่างครอบครัว ระหว่างประเทศชาติว่า ความสงบเงียบของบุคคลหนึ่ง ครอบครัวหนึ่ง หรือสังคมหนึ่งมีมากหรือมีน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง ครอบครัวหนึ่ง หรือสังคมหนึ่ง กับอีกมิติหนึ่งคือมิติทางด้านเวลาโดยเปรียบเทียบว่าในเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะยาวบุคคล ครอบครัวหรือสังคมประเทศนั้นๆ มีความสงบเงียบมากน้อยต่างกันอย่างไร มีแนวโน้มที่ความเงียบสงบจะมีน้อยลง หรือมีมากขึ้นอย่างไร

มีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสงบเงียบหรือความไม่เงียบสงบแฝง มีอยู่หรือไม่อย่างไร บางทีในขณะใดขณะหนึ่งมีความไม่เงียบสงบ มีเรื่องอึกทึกวุ่นวายเคลื่อนไหวไปมา และในความไม่เงียบไม่สงบนั้นมีความสงบเงียบแฝงอยู่ ในทางตรงกันข้ามความเงียบสงบนั้นก็มีความไม่สงบเงียบแฝงอยู่ และพร้อมที่จะปะทุระเบิดขึ้นจนกลายเป็นการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและมีเสียงดังสนั่นไปเลยก็ได้

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกในประเทศไทย ประเทศไทยเงียบสงบอย่างผิดปกติทั้งๆ ที่สงครามเกิดขึ้นแล้วในยุโรปและเอเชีย

เมื่อพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิดในสงครามคืนไหน คืนนั้นจะดูเงียบสงัดผิดปกติ แต่ในจิตใจของผู้คนก็เต็มไปด้วยความไม่สงบแฝงอยู่มิได้ขาดหายไปไหนเลย เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดของพันธมิตรอาจจะบินมาทิ้งระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้ ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อเสียงสัญญาณเตือนภัยเกิดขึ้น ทุกคนต้องรีบหาที่กำบังหรือหลุมหลบภัยทันที

ป่าช้าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เงียบที่เปลี่ยว เวลากลางคืนจะไม่ค่อยมีผู้คนหรือยานพาหนะผ่านไปมา เคยได้ยินว่าป่าช้าวัดดอนที่อำเภอยานนาวา กรุงเทพฯ เป็นป่าช้าที่เงียบสงัดที่สุดในกรุงเทพฯ เพราะเป็นป่าช้าที่ใช้ฝังหรือเก็บศพไม่มีญาติ เวลากลางคืนผู้คนไม่กล้าเดินผ่านเพราะถ้าเดินผ่านหรือเข้าไปจะรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อสายลมพัดมาปะทะใบหน้า คนสมัยก่อนเวลาเปรียบเทียบความเงียบหลังเวลาที่ถูกห้ามออกจากเคหสถานหลัง 4 ทุ่ม หรือหลัง 2 ยามว่า กรุงเทพฯต้อง "เงียบเหมือนป่าช้า" เย็นยะเยือก เวลาเด็กๆ ถูกพ่อแม่หรือครูประจำชั้นขู่ก็จะเงียบเหมือนใบ้กิน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปบ้านเมืองเจริญขึ้นป่าช้าก็จะไม่เงียบ ถนนสุรวงศ์ ถนนสีลม ถนนสาทร สมัยก่อนมีป่าช้าอยู่หลายแห่ง เป็นป่าช้าฝรั่งบ้าง ป่าช้าจีนบ้าง ป.อินทรปาลิตเคยบรรยายไว้ในหนังสืออ่านเล่นชุด พล นิกร กิมหงวน ว่า "ค่ำลงจะเงียบวังเวง ไม่มีคน แม้แต่สามล้อก็ไม่กล้าผ่าน" ความเงียบสงบหรือความเงียบสงัดนั้นนอกจากจะเกิดขึ้นเฉพาะที่เฉพาะแห่งแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วย

ในภาคอีสานเมื่อ 50-60 ปีก่อน มีข่าวร่ำลือกันถึง "ผีปอบ" คนมักจะสงสัยคนโน้นคนนี้ว่าเป็นผีปอบ บ้านไหนที่คนร่ำลือกันว่าเป็นบ้านผีปอบ หรือบ้าน "ผีสิง" ที่ปล่อยให้ว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ก็จะเงียบสงบเหมือนป่าช้า ไม่มีใครกล้าเดินผ่านหรือพูดถึงด้วยความไม่เคารพ แต่บัดนี้ความเชื่อเรื่องบ้านผีปอบและบ้านผีสิงหายไปจากสังคมหมดแล้ว บ้านที่เคยเป็นบ้านผีปอบและบ้านผีสิงก็พลอยหายไปด้วย

มีความเงียบอีกอย่างหนึ่งแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดก็ตาม ก็ยังมีอยู่ไม่หมดไป คือ "ความเงียบของกฎหมาย" ถ้าใครเป็นนักกฎหมายคงจะเคยได้ยินภาษิตกฎหมายที่เป็นภาษาละตินที่ว่า "Inter arma enim silent leges" มีผู้แปลเป็นไทยตามคำภาษิตว่า "ท่ามกลางอาวุธกฎหมายก็ไม่มีเสียง หรือท่ามกลางเสียงปืนกฎหมายก็ย่อมต้องเงียบ" เงียบหรือ silent แปลว่าไม่มีเสียงหรือไม่มีปากมีเสียงก็ได้ ไม่มีการกล่าวถึงก็ได้ ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์โต้เถียงก็ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อมีการนำเอาอาวุธมาใช้บังคับแทนกฎหมายแล้ว ก็ไม่ต้องยกเรื่องความถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือหลักปฏิบัติมาอ้างกัน คำสั่งของผู้ถืออาวุธคือความถูกต้อง กฎหมายต้องยอมเปิดทางให้กับผู้ชนะด้วยอาวุธที่จะออกคำสั่งอย่างไรก็ได้ ไม่มีความผิด

ป่าช้าคือที่ที่ทุกอย่างเงียบ

ไม่มีความคิดเห็น: