PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

มติปปช ยืนยันให้ ดำเนินการ กรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามข้อบังคับของ สนช.

มติปปช ยืนยันให้ ดำเนินการ กรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามข้อบังคับของ สนช. หลังจาก ที่ ประธาน สนช. "พรเพชร" ทำเรื่องส่งคืน โยนกลองให้ ปปช.ดูคำร้องถอดถอนใหม่ ชี้ รธน.50 หมดสภาพแล้ว ให้ ปปช. พิจารณาข้อกฎหมายใหม่ เพราะสำนวนเก่าอ้างตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 แต่ปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้ รัฐธรรมนูญดังกล่าว และ ปปช.จะอ้างกฎหมายใด ก็เป็นเรื่อง ปปช. ที่ต้องพิจารณาให้ครบถ้วน

ทังนี้ คณะกรรมการ ปปช. โดยเสียงข้างมาก เห็นว่า การดำเนินการ กรณี ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖๔ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๖ วรรคสอง ซึ่งระบุให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา จึงมีมติให้ส่งเรื่องดังกล่าว ไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อดำเนินการตาม อำนาจหน้าที่ต่อไป

นอกจากนี้ ปปช.. ยังมีมติเป็นหลักการ เกี่ยวกับกรณีถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง เช่น การถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ และ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 39 ราย รวมทั้งการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองอื่นๆ ด้วยว่า หากเป็นการกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหา ส่อว่าจงใจ ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ บทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ก็อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ปปช.ที่จะดำเนินการไต่สวนต่อไป

ส่อเค้าต้อนข้างเดียว:ไทยรัฐ

ส่อเค้าต้อนข้างเดียว
30ก.ย.57 ไทยรัฐ

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ก็แล้วกัน

โดยปรากฏการณ์ชื่อของนายปรีชา บัววิรัตน์เลิศ พี่ชาย นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายา “โหร คมช.” อยู่ในบัญชี 28 คน ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.เพิ่มเติม

เบิ้ลเป็นรอบที่ 2 หลังจากครั้งแรกก็ได้เป็น สนช. เมื่อปี 2549

ตามฉากที่ “พุทธะอิสระ” อดีตแกนนำม็อบ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ได้นั่งหัวโต๊ะเป็นเจ้าภาพใหญ่ในเวทีเสวนาปฏิรูปพลังงาน โปรแกรมสำคัญในกระบวนการปฏิรูปประเทศไทย

ท่ามกลางกระแสข่าววงใน เครือข่ายบริษัท ปตท.ฯ ฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ไม่ขาดสาย

แน่นอน ว่ากันตามโปรไฟล์เบื้องหลังอย่างที่รู้ๆกัน “พุทธะอิสระโหรวารินทร์” ชื่อขลังๆที่บิ๊กท็อปบูตไล่มาตั้งแต่ยุค คมช.มาถึง คสช.เชื่อและศรัทธา

ถ้าไม่แน่ ไม่ใช่ “ของจริง” มีหรือจะได้สิทธิพิเศษอย่างนี้

เรื่องของเรื่อง มันก็เป็นไปตามฟอร์มทหารที่จะอยู่แต่ในค่าย ไม่ค่อยรู้จักใคร ไม่กว้างขวางหลากหลายในวงการเหมือนนักการเมือง

ฉะนั้น มาตรฐานการตั้งคนมาทำงาน ก็ต้องเลือกใช้บริการคนที่รู้จักก่อน

ตามรูปการณ์ก็อย่างที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ย้อนคำถามนักข่าวในประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกต

เรื่อง“วปอ.คอนเนกชั่น” พวกที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช.เป็นพวกที่เรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรมากับบิ๊ก คสช.

ไม่ได้มีข้อห้าม รัฐธรรมนูญไม่ได้ล็อกไว้ซะเมื่อไหร่

ในอารมณ์เหมือนไม่สนแล้วกับเสียงนกเสียงกา ข้อครหาเรื่องล็อกสเปกเครือข่ายใกล้ชิด

และโดยจังหวะต่อเนื่อง ตามท้องเรื่องมาถึงคิวของโฉมหน้าสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ผ่านขั้นตอนที่ คสช.จิ้มชื่อ “250 อรหันต์” ไปแล้ว

ล่าสุดมีโพยหลุดออกมา ไม่ชัวร์ว่าบัญชีจริงหรือโผหลอก

เพราะสะดุดตรงชื่อของ “พล.ท.ไพบูลย์ นิติตะวัน” ที่ติดเข้ามาในด้านการเมือง ซึ่งไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว.ลากตั้ง แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว.คนดังหรือไม่

แต่ถ้าเป็นโพยจริงก็เรียบร้อยโรงเรียน คสช.

เพราะไล่เรียงรายชื่อ พะยี่ห้อ “ขาประจำ” แทบทั้งนั้น

เครือข่ายฝ่ายตรงข้ามระบอบ “ทักษิณ” พาเหรดยึดเวทีปฏิรูป ได้สิทธิกำหนดกติกาประเทศไทย

และเหมือนจะจับสัญญาณ ประเมินรูปการณ์ที่กำลังโดนต้อนเข้ามุมอับ

กับจังหวะที่นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มเสื้อแดง นปช. ออกมาดักคอ เจตนาของ พล.อ.ประยุทธ์ในการยึดอำนาจคือการเข้ามาลดความขัดแย้ง แตกแยกในประเทศ

แต่ปรากฏว่า การแต่งตั้ง สนช.ก็เป็นคู่ขัดแย้งของพรรคเพื่อไทย และ นปช. ได้เข้ามาเป็น สนช.จำนวนมาก ได้อำนาจมารวมหัวกัน ขณะที่องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.และ กกต.ที่มีมาตรฐานในการใช้กฎหมายอุ้มพรรคประชาธิปัตย์ มุ่งจัดการเฉพาะพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่ถูกยุบทิ้งไป

วันนี้ สนช.กำลังเพิ่มอำนาจให้ตัวเองในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้คนที่มาจากการยึดอำนาจถอดถอนผู้ที่มาจากการเลือกตั้งขู่เลยว่า อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว

ลูกข่าย “ทักษิณ” ชักเริ่มเสียวกับเกมล้อมกรอบ ปิดประตูตีแมว

แต่อีกทางหนึ่ง มันก็มีอาการแปร่งๆของฝ่ายที่กำลังเถลิงอำนาจในกำมือ กับจังหวะที่ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. และอีกสถานะหนึ่งคือ ที่ปรึกษา คสช. นำทีม 28 สนช.ยื่นคำร้องต่อศาล
ปกครองขอให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช. ที่ให้ สนช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

กระตุกเครื่องหมายคำถาม สนช.มีปมแฝงอะไร ทำไมถึงเลี่ยงโชว์กรุสมบัติ

ซึ่งมันก็ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์อีกด้านหนึ่ง สนช.เดินหน้าเพิ่มดาบให้ตัวเอง ด้วยการแก้ไขข้อบังคับการประชุม เพิ่มอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามท้องเรื่องไล่บี้เครือข่ายขั้วอำนาจพรรคเพื่อไทย

ฉวยจังหวะเช็กบิลฝ่ายตรงข้าม แต่ตัวเองกลับพยายามปิดกั้นกระบวนการตรวจสอบ

แบบนี้ “บิ๊กตู่” ตอบคำถามสังคมลำบากเหมือนกัน.

ทีมข่าวการเมือง
////////////////////////
มาตรการป้องกันทุจริต
30ก.ย.2557 บทนำไทยรัฐ

ยังมีความเห็นต่างอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีรายงานข่าวว่า สมาชิก สนช. 28 คน นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. ร่วมกันยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ระบุว่ามติของ ป.ป.ช. ที่ให้ สนช. ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. และให้เปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้เพิกถอนมติสมาชิก สนช. ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า สนช.มิได้มีฐานะเป็น “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” จึงไม่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่โต้เถียงกันต่อไป และศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด

ส่วน ป.ป.ช.อ้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ใช้อยู่ในขณะนี้ ให้สมาชิก สนช. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา จึงต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ถูกยกเลิกไป และกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ยังใช้บังคับอยู่ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้ง ส.ส. และ ส.ว. และ “ข้าราชการการเมืองอื่น” ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และเปิดเผยต่อสาธารณชน เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นนโยบายสำคัญของ คสช. และรัฐบาลปัจจุบัน ที่ประกาศว่าต้องไม่มีการทุจริต

ถึงแม้สมาชิก สนช. จะไม่ดำรงตำแหน่ง ส.ส. หรือ ส.ว. โดยตรง แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราว ให้ทำหน้าที่ ส.ส. และ ส.ว. มีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและองค์กรอื่นๆ เหมือนกับ ส.ส. และ ส.ว.ทุกประการ จึงมีอำนาจที่จะให้คุณให้โทษหลากหลาย แม้จะไม่เป็น ส.ส. แต่ก็อาจเป็น “ข้าราชการการเมืองอื่น”

ส่วนสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แม้จะเป็น “ข้าราชการการเมืองอื่น” แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการให้คุณให้โทษ หรือมีช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ เหมือนกับ สนช. เพราะส่วนใหญ่

สปช.มี “หน้าที่” แต่ไม่มี “อำนาจ” ที่แท้จริง หน้าที่สำคัญคือศึกษาและทำข้อเสนอแนะการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ถ้า สปช.ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ชาวบ้านก็อาจไม่ติดใจ

นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยืนยันว่า จะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันโดยเด็ดขาดในรัฐบาล คสช. ซึ่งน่าจะรวมถึง สนช.ด้วย อีกทั้งรัฐธรรมนูญชั่วคราวยังได้ระบุไว้ว่า รัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่ จะต้องมีกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ เชื่อว่ากลไกที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือการยื่นบัญชีทรัพย์สิน

สนช.เป็นองค์กรที่สำคัญองค์กรหนึ่ง ในการขับเคลื่อนการบริหารประเทศ ของรัฐบาล คสช. แต่ถ้าสมาชิก สนช.ไม่ยอมรับมาตรการป้องกันการทุจริต ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล นับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ 

ส่วนประเด็นที่ว่าสมาชิก สนช.จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือไม่? เป็นอำนาจของฝ่ายตุลาการที่จะชี้ขาด อาจจะเป็นศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ.
////////
ประธาน สปช.ต้องไม่เผด็จการ
โดย หมัดเหล็ก 30 ก.ย. 2557 05:01

ประธาน สนช. พรเพชร วิชิตชลชัย พูดถึงเรื่องคุณสมบัติของ ประธาน สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติเอาไว้ว่า จะต้องมีความเป็นกลาง ยอมรับฟังความเห็นคนอื่น รับฟังความเห็นที่แตกต่าง ยึดกติกาความถูกต้อง ไม่ใช้เผด็จการ หรือยึดข้อบังคับเคร่งเครียดเกินไป รวมทั้งต้องมีความประนีประนอมด้วย

ด้วยคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นประธาน สปช.ที่ว่านี้ ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีบารมีพอสมควร การจะมีความเป็นกลาง หรือ เป็นคนกลางได้ โดยไม่ใช้เผด็จการหรือความเด็ดขาด สำหรับสังคมไทยซึ่งบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลด้วยแล้วเป็นเรื่องที่สวนทางกับความเป็นจริง

ถ้ายุคนี้ไม่ใช่เพราะมีทหารเข้ามาปกครองประเทศ คิดว่าบ้านเมืองจะเงียบสงบอยู่อย่างนี้หรือ คงได้ลุกเป็นไฟไปแล้ว นี่ขนาดมีทหารมาเป็นคนกลาง คลื่นใต้น้ำก็ยังกระเพื่อมทุกวัน จัดเวทีเสวนา

ปฏิรูปทีไรมีเรื่องทุกที เข้าใจว่า คสช.ก็คงจะพยายามปรับพฤติกรรมของคนเหล่านี้ เอาไปรวมกัน

ไว้ใน สปช. มีอะไรไปว่ากันบนเวทีให้เรียบร้อย มีกรอบกติกา

มีกรรมการคอยคุมไม่ให้ออกนอกกรอบจนเกินไป

เพราะฉะนั้น ประธาน สปช.จึงเป็นตำแหน่งที่มีบารมีพอสมควร

แต่ก็ต้องคุมบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดให้อยู่ ตัวเลือกประธาน สปช.จึงไปทิ้งน้ำหนักให้กับ ทหาร ก็อีกนั่นแหละ ถ้าได้คนในกองทัพ มาเป็นประธาน สปช. ก็ต้องใช้อำนาจเด็ดขาด ตามกติกา จะมา

ตามใจคนนั้นคนนี้อยู่ก็คงไม่ใช่ทหาร เหมือนกับ ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในขณะนี้ รมต.ที่ มาจากกองทัพ ต้องการความสะดวกรวดเร็วและชัดเจน ส่วน รมต.ที่มาจากพลเรือน มาจาก

นักวิชาการ ก็จะยึดทฤษฎีความเป็นไปได้ กฎระเบียบสารพัด เพราะฉะนั้นอีกไม่นานอาจจะได้เห็นเกาเหลาชามเล็กๆในส่วนของทีมเศรษฐกิจ

แล้วถ้าไม่ใช่ทหารจะเอาใคร คงต้องเป็นการบ้านให้ คสช.ไปทบทวน จะเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มือกฎหมาย เนติบริกร อะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะให้ลากยาวไป 1 ปีเพื่อทำเรื่องปฏิรูปทั้ง 11 ด้านไป

พร้อมกัน งานนี้ถ้าไม่แน่จริงคงเอาตัวไม่รอด

ไม่เฉพาะ 250 สปช.เท่านั้น

แต่ยังมี ประชาชนอีก 60-70 ล้านคนมองอยู่ มีกลุ่มการเมืองนอกสภาจับตาอยู่ ถ้าทำหน้าที่ถูกใจ คสช. แต่ไม่ถูกใจชาวบ้าน มีโอกาสน้ำบานได้ตลอดเวลา

ถึง คสช.จะยังมีอำนาจเต็ม สามารถจัดเต็มได้ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อย่าลืมว่าเป็นอำนาจที่ประชาชนยินยอมพร้อมใจ ถ้าชาวบ้านไม่พอใจก็จะชวนกันออกมาทวงอำนาจคืน

เหลือเวลาตัดสินใจอีกอึดใจเดียว คสช.ต้องตีโจทย์ให้แตก จะเอาทหารหรือพลเรือน มาเป็นประธาน สปช. เพราะความเป็นกลาง จะมีความสำคัญที่สุดสำหรับอนาคตประเทศไทยที่จะก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง.

หมัดเหล็ก
///////////////////////

วันนี้ (30 ก.ย.) เป็นวันอำลาชีวิตราชการของ 4 ซุปเปอร์บิ๊ก คสช. ผู้ควบคุมแสนยานุภาพกองทัพ ไทยที่มีเขี้ยวเล็บแข็งโป๊กอันดับ 24 ของโลก พร้อมกำลังรบ “สามแสนหนึ่งหมื่นสี่พันนาย” ไว้ในกำมือ

พรุ่งนี้ (1 ต.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลายเป็นอดีต ผบ.ทบ. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร จะกลายเป็นอดีต ผบ.สูงสุด พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง จะกลายเป็นอดีต ผบ.ทอ. และ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย จะกลายเป็น อดีต ผบ.ทร. อำนาจสั่งการกองทัพจะเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้ ผบ.ทบ.คนใหม่ ผบ.สูงสุดคนใหม่ ผบ.ทอ.คนใหม่ และ ผบ.ทร.คนใหม่ ที่ผงาดขึ้นมาพร้อมกัน 

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการที่ ผบ.เหล่าทัพ เกษียณอายุราชการพร้อมกันนานๆจะเกิดขึ้นซะที แถมเกิดขึ้นทีไรต้องมีคลื่นใต้น้ำตามมา เพราะการเมืองจะเข้าไปล้วงลูกการแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพกันอึกทึกครึมโครม แต่ยุคนี้ การเมืองไม่มีสิทธิ์แหย็มเข้าไปล้วงลูกการโยกย้ายแต่งตั้งอย่างเดิม มีแต่ทหารล้วงลูกกันเอง ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่จึงเป็นเนื้อ เดียวกัน เป็นทีมเดียวกัน เป็นสายเดียวกันกับกลุ่มผู้คุมอำนาจกองทัพชุดเดิมสองพันห้าร้อยเปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าจุดได้เปรียบอย่างสำคัญของรัฐบาล “บิ๊กตู่” คือได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการประจำ และได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกองทัพอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แม้แต่สภานิติบัญญัติ
แห่งชาติที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลตามกติกา คสช.ก็เป็นผู้แต่งตั้งมากับมือ เมื่อตั้งเองกับมือ การออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมายก็ทำได้รวดเร็วทันใจ ถือว่ารัฐบาลใช้ประโยชน์จากสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่มีรัฐบาลไหนสบายไปกว่ารัฐบาลนี้อีกแล้วโยม

“แม่ลูกจันทร์” จึงไม่แปลกใจที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ใช้อำนาจ หน.คสช.แต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติเพิ่มอีก 28 คน ซึ่งจะทำให้ สนช.มีสมาชิกเต็มโควตา 220 คนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่ว
คราว ถามว่า...จำเป็นหรือไม่ที่ต้องแต่งตั้ง สนช.เต็มอัตราศึก 220 คน?? ตอบว่า...ไม่จำเป็นต้องตั้งเพิ่มให้สิ้นเปลืองภาษีประชาชน เพราะ สนช.ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 192 คนก็มากเพียงพอที่จะทำคลอด
กฎหมายอย่างสบายแฮ แต่ถ้าจะตั้ง สนช.เต็มโควตาก็ไม่มีผลเสียหายแต่ประการใด ถือเป็นการกระจายความสุข (รอบเก็บตก) ให้แก่ผู้ที่ คสช.ยังไม่ได้ตอบแทน

“แม่ลูกจันทร์” สำรวจรายชื่อ สนช.น้องใหม่ เปิดซิงที่ คสช.ตั้งเพิ่มอีก 28 คน พบว่ามีทหารและอดีตทหารตบแถวเข้าไปอีก 17 คน หรือกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของโควตาที่เพิ่มเข้าไป นอกจากนี้ยังมี อธิการบดี อาจารย์มหาวิทยาลัย อดีต รมช.มหาดไทย รัฐบาลขิงแก่ ประธาน ก.ล.ต. อดีต ส.ว.ลากตั้ง และตัวแทนกลุ่มทุนยักษ์แทรกเข้าไปเป็นยาดำ ที่ฮือฮากันเป็นพิเศษคือมีชื่อ นายปรีชา บัววิรัตน์เลิศ พี่ชายของ นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรใหญ่ คสช.ควบ คมช.เข้าไปนั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วยอีกคน อภินิหารหลวงปู่ฤาษีเกวาลัญเห็นทันตาจริงๆ แต่เมื่อมีโควตาหลวงปู่ ถ้า

ไม่มีโควตาหลวงลุงส่วนผสมจะไม่ลงตัว จึงต้องมีโควตาหลวงลุงกำนันเสียบเข้าไปด้วยอีก 1 คน

 “แม่ลูกจันทร์” ขอต้อนรับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติรุ่นลากตั้งกลางเทอมด้วยความยินดี ขอให้ สนช.ชุดใหม่ 28 คน ใช้ความรู้ ความสามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติอย่างสุดฝีมือ ไม่บ่อยนะคุณพี่

ที่จะมีราชรถมาเกยเข้าประตูสภา โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน ขยันอภิปรายท้วงติงรัฐบาลกันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเกาสะดือ.

"แม่ลูกจันทร์

ปิดฉาก "อิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค" สมบัติชิ้นสุดท้ายของ “อากร ฮุนตระกูล”

ปิดฉาก "อิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค" สมบัติชิ้นสุดท้ายของ “อากร ฮุนตระกูล”

ถือเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้บริการแก่ลูกค้าของโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คที่เปิดให้บริการมากว่า 22ปี และที่สำคัญคือเป็นการปิดฉากโรงแรมของ “เครืออิมพีเรียล” ชิ้นสุดท้ายในกรุงเทพฯ ซึ่งเคยเป็นสมบัติของรักของหวงของอดีตเจ้าพ่อธุรกิจโรงแรมชื่อดัง อากร ฮุนตระกูล ที่เสียชีวิตไปเมื่อ 14 ปีก่อน

ในยุคที่เครือโรงแรมอิมพีเรียลรุ่งเรืองสุดขีดนั้น อากร ขยายโรงแรมถึง 7 แห่งคือ โรงแรมนิวอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค โรงแรมอิมพาล่า โรงแรมอิมพีเรียลธารา โรงแรมอิมพีเรียลสมุย โรงแรมธาราแม่ฮ่องสอน โรงแรมเรือและบ้านสมุย และโรงแรมลำปางธานี

ในบรรดาโรงแรมในเครือทั้งหมด นับว่าอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คมีขนาดใหญ่ที่สุดและลงทุนมากที่สุดจนกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในยุคที่กำลังก่อสร้าง แนวความคิดของนักลงทุนหัวก้าวหน้าอย่างอากร เห็นว่าช่วงนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูของการท่องเที่ยวเมืองไทย ประกอบกับกำลังจะมีการประชุมWorld Bank ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เขาจึงตัดสินใจลงทุนสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมีคือ 1,250 ห้อง หรือเท่ากับโรงแรม 5ดาว จำนวน 4 แห่งมารวมกัน

อีกปรากฏการณ์หนึ่งของโรงแรมแห่งนี้คือ “ห้องจัดเลี้ยง” ขนาดใหญ่ที่จุแขกได้ถึง 2,500 คน ห้องสัมนาและจัดเลี้ยงกลางขนาดกลาง 40 ห้อง และที่จอดรถส่วนบุคคลอีก 1,500 คัน เพื่อรองรับการประชุมขนาดใหญ่ระดับประเทศที่เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยหวังให้อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค เป็น Convention Hotel ซึ่งตอนนั้นโรงแรมในกรุงเทพฯยังไม่มี

ถือได้ว่าอากรมองอนาคตได้แม่นยำ เพราะตั้งแต่เปิดดำเนินการมา ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คก็มีโอกาสจัดงานใหญ่ระดับประเทศหลาย ๆ ครั้ง รวมทั้งการจัดเลี้ยงฉลองชัยชนะของเหล่านักกีฬาที่ได้เหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิกทุกครั้งจะต้องมาเปิดห้องเลี้ยงฉลองกันที่นี่

ส่วนห้องอาหารที่นักดื่มนักกินอย่างอากรจัดสรรในโรงแรมใหญ่ขนาดนี้ มีตั้งแต่ห้องชาบู ชาบู ที่นำคอนเซ็ปต์นี้มาจากโรงแรมอิมพีเรียล วิทยุ ซึ่งถือเป็นคนแรกที่จุดประกายอาหารประเภทหม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่นขึ้นเป็นคนแรกของเมืองไทย รวมทั้งห้อง อาหารเลแนมเฟียส์ และ ห้องอาหารดิอิมพีเรียลไชน่า, ห้องอาหารคาโช

นอกจากนี้ยังมีห้อง Queenrsquo;s Park Grand Penthouse ที่ตั้งอยู่บนชั้น 37 ถือเป็นห้องเพนท์เฮ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยขนาดพื้นที่ 750 ตารางเมตร ซึ่งคนมีรสนิยมการใช้ชีวิอย่างเสิศหรูแบบอากรนั้น ต้องการให้ห้องนี้เป็นเสมือนคฤหาสน์หลังใหญ่แต่มีบรรยากาศเหมือนบ้าน โดยเขาลงทุนตระเวนหาซื้อของตกแต่งห้องด้วยตัวเอง จนห้องนี้เต็มไปด้วยของสะสมราคาแพง ๆ

ห้องเพนท์เฮ้าส์ประกอบด้วย ห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง ห้องสำหรับผู้ติดตาม 2 ห้อง ห้องโถงรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน จากุชชี่กลางแจ้ง ห้องซาวน่า และห้องออกกำลังกายส่วนตัว และลงทุนจ้างบัทเลอร์ฝรั่งถึง 2 คน ประจำห้องนี้

ใครที่คิดจะมานอนห้องเพนท์เฮ้าส์แห่งนี้ต้องลงทุนควักเงินถึง 1.8 แสนบาทต่อคืนทีเดียว จึงมีแต่แขกระดับผู้นำประเทศและมหาเศรษฐ๊เท่านั้นที่มีโอกาสมาพัก อาทิ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ราชวงศ์ตะวันออกกลาง ซีอีโอของบริษัทชั้นนำของโลก เป็นต้น

“ยิ่งใหญ่ยิ่งหนาว” คงไม่เพียงเปรียบเทียบกับคนเท่านั้น เพราะการลงทุนอันมหาศาลในโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค กลับเกิดขึ้นในจังหวะที่ไม่ดี ขณะที่กำลังก่อสร้างไปจนถึงเปิดให้บริการ ต้องมาเจอกับวิกฤติโลกทั้งสงครามอ่าวเปอร์เชีย รสช.ปฏิวัติและ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่มีผลกระทบถึงการดำเนินของโรงแรม จนในที่สุดอากร ต้องตัดสินใจขายโรงแรมในเครืออิมพีเรียลให้กับ กลุ่มเจริญ สิริวัฒนภักดี รวมทั้งอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คด้วยเมื่อปี 2537 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเครืออิมพีเรียลทีเดียว

และครั้งนี้ถือเป็นการพลิกประวัติศาตร์ครั้งสำคัญของโรงแรมอีกครั้ง เพราะเจ้าสัวเจริญ ตัดสินใจประกาศปิดกิจการโรงแรม โดยถือเอาสิ้นเดือนกันยายนนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับเคลียร์ลูกค้าทั้งหมด

“ 22-22-22” จึงเป็นปาร์ตี้เลี้ยงอำลาของโรงแรมอิมพีเรียลที่ถอดรหัสลับออกมาว่า เป็นงาน Thank You Party ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ซอยสุขุมวิท 22 อันเป็นที่ตั้งของโรงแรม ที่เปิดดำเนินการมายาวนานถึง 22 ปี

บรรยากาศของงานเลี้ยงครั้งนี้ถือโอกาสขอบคุณบรรดาเอเจนซี่ท่องเที่ยว เหล่าลูกค้าขาประจำผู้มีอุปการคุณ และแขกสำคัญอื่นๆ โดยใช้ล็อบบี้ขนาดใหญ่เป็นสถานที่จัดเลี้ยง ในบรรยากาศที่รื่นเริง ซึ่งมีแขกรับเชิญและเหล่าพนักงานลูกหม้อของโรงแรมมาร่วมรำลึกถึงความหลังกันเต็มห้องจัดเลี้ยง

จากนี้ไปชื่อโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คจะหายไปจากวงการโรงแรม และอีก 2 ปีข้างหน้าจึงจะเผยโฉมในชื่อใหม่ที่ตั้งขึ้นมารอว่า “แมริออท โฮเทล ควีนส์ปาร์ค” คงต้องรอดูว่าโฉมใหม่ของโรงแรมยักษ์ใหญ่แห่งนี้จะสร้างความฮือฮาได้เทียบเท่ากับยุคของอากร ฮุนตระกูลได้หรือเปล่า!!

ถอดถอน'สมศักดิ์-นิคม'ถึงปปช. จนท.ขนสำนวนคดี4กล่องใหญ่

ถอดถอน'สมศักดิ์-นิคม'ถึงปปช. จนท.ขนสำนวนคดี4กล่องใหญ่

30 ก.ย.57 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มงานถอดถอนและตรวจสอบสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา นำเอกสารสำนวนคดีถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และคดีถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ จำนวน 24 แฟ้มคดี ที่บรรจุอยู่ในกล่องเอกสาร 4 กล่อง และซองเอกสาร 2 ซอง เพื่อให้ ป.ป.ช.นำไปพิจารณาข้อกฎหมายใหม่ เนื่องจากสำนวนเดิมที่ ป.ป.ช.ส่งให้วุฒิสภาพิจารณานั้น เป็นการอาศัยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ต้องพิจาณาให้ครบถ้วน

ขณะเดียวกัน ตั้งแต่เวลา 09.30 น.คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ร่วมการประชุมเพื่อรับทราบรายงานการดำเนินคดีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเรื่องคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว และคดีถอดถอน ส.ส. - ส.ว.ร่วมกันลงชื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาของ ส.ว.รวมทั้งพิจารณาว่าจะส่งคดีดังกล่าวให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือไม่

นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่าที่ประชุม ป.ป.ช.จะมีการพิจารณาตั้งอนุกรรมการไต่สวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ กรณีปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ จากการออกคำสั่งปิดสถานีดาวเทียม ภายหลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน กทม.และปริมณฑล เมื่อปี 2553 ทำให้เว็บไซต์ 36 แห่งภายในประเทศ และเว็บไซต์ดาวเทียมต่างประเทศ 15 ประเทศ ใช้งานไม่ได้ และยังระงับการเสนอข่าว หรือรายการทางวิทยุโทรทัศน์ และสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีเพิลแชลเนล ถือเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรองรับ

เปิดเอกสารชัดๆ มัด บ.ดี.เอ็มฯ “ยงยุทธ มัยลาภ-เมีย” โฆษก คสช.-รัฐบาล คว้างานประชาสัมพันธ์โครงการธงฟ้าคืนความสุข กว่า 4.2 ล้าน

เปิดเอกสารชัดๆ มัด บ.ดี.เอ็มฯ “ยงยุทธ มัยลาภ-เมีย” โฆษก คสช.-รัฐบาล คว้างานประชาสัมพันธ์โครงการธงฟ้าคืนความสุข กว่า 4.2 ล้าน ยื่นลาออก กก. - โอนหุ้นหลังได้งาน 1 เดือน
ytreeeeeee

กรณี สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 57 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งมีร้อยเอก น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ ปัจจุบันเป็นโฆษกรัฐบาล ดำเนินการประชาสัมพันธ์การจัดงานธงฟ้าคืนความสุข ลดค่าใช้จ่ายประชาชน วงเงิน 4,280,000 บาท โดยมีระยะเวลาสิ้นสุด วันที่ 28 ก.ย. 57
ขณะที่ ร้อยเอก น.พ.ยงยุทธ ชี้แจงกับสำนักข่าวอิศราว่า ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกับกิจการในบริษัทนี้มาสัก 2 – 3 เดือนแล้ว เนื่องจากตัดสินใจว่าจะลาออก จึงให้ภรรยาเข้ามาดูแลต่อแทนจึงไม่ทราบในการรับงานดังกล่าว และปัจจุบันไม่ได้เป็นเจ้าของแล้ว
เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน สำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้มาเสนอ
1.ภายหลังรัฐประหารวันที่ 22 พ.ค.57 ต่อมาวันที่ 3 มิ.ย. 57 ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดตัวทีมงานโฆษกเพิ่มเติมที่ทำเนียบรัฐบาล มี ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนางสาวปัฐมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นักสื่อสารชำนาญการ และผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เข้ามาร่วมคณะโฆษกด้วย
2.วันที่ 5 มิ.ย. 57 ร.อ.นพ.ยงยุทธ แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลถึงผลการประชุมฝ่ายความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ของ คสช. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มอบนโยบายกับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้จัดทำมาตรการตรึงราคาสินค้าในส่วนที่มีความจำเป็น เพื่อเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะดูแลปากท้องให้กับประชาชน โดยกรมการค้าภายในจะได้จัดทำนโยบายมาเสนอต่อ คสช.อีกครั้งโดยเร็วที่สุด
3.วันที่ 6 มิ.ย.57 นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จะหารือกับผู้ประกอบการสินค้าที่อยู่ในบัญชีดูแลของกระทรวงพาณิชย์ 205 รายการ เพื่อขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย.-พ.ย. 2557 เพื่อดูแลภาวะค่าครองชีพให้กับประชาชน รวมถึงจะหารือกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีก (โมเดิร์นเทรด) เพื่อขอความร่วมมือตรึงราคาอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) ที่จำหน่ายภายในห้างค้าปลีกให้ขายตามราคาแนะนำที่กระทรวงกำหนด(http://www.bangkokbiznews.com/mobile/xhtml/news/detail/02/586781/)
ในช่วงต่อมา กระทรวงพาณิชย์จัดกิจกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เริ่มตั้งแต่ 22 พ.ค.-4 ก.ค.57 ทั้งระดับอำเภอ, งานธงฟ้าร่วมกับจังหวัดเคลื่อนที่ 139 ครั้ง ใน 72 จังหวัด จัดงานร่วมกับหน่วยงานอื่น 12 ครั้ง ในเดือน ก.ค.-ก.ย.57 ในระดับประเทศ 2 ครั้ง ในงานมหกรรมพาณิชย์คืนความสุขให้ประชาชน วันที่ 21-24 ส.ค.57 ที่อิมแพคเมืองทองธานี และงานมหกรรมธงฟ้าคืนความสุขลดค่าใช้จ่าย วันที่ 10-14 ก.ย.57 ที่ศูนย์สิริกิติ์ ส่วนระดับภาค 4 ครั้ง ที่กาญจนบุรี ชุมพร เชียงใหม่ และร้อยเอ็ด ช่วงเดือน ส.ค.57 ระดับเขตในกรุงเทพฯ 30 ครั้ง ในเดือน ส.ค.-ก.ย.57
4.วันที่ 30 มิ.ย. 57 กรมการค้าภายใน ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ดำเนินการประชาสัมพันธ์การจัดงานธงฟ้าคืนความสุข ลดค่าใช้จ่ายประชาชน วงเงิน 4,280,000 บาท โดยมีระยะเวลาสิ้นสุด วันที่ 28 ก.ย. 57
ขณะที่ บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด มีข้อมูลดังนี้
จดทะเบียนวันที่ 25 มิถุนายน 2536 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 99/6 ซอยรามอินทรา 14 แยก 11 ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ร.อ. น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ เป็นผู้ก่อตั้ง มีผู้ถือหุ้น 7 คน
1. ร.อ.น.พ. ยงยุทธ มัยลาภ 6,000 หุ้น 
2.คุณหญิงละเอียด มัยลาภ 3,000 หุ้น 
3.พล.อ.ธีระวัฒน์ เอมะสุวรรณ 200 หุ้น 
4.นางจิตรอนงค์ เอมะสุวรรณ 200 หุ้น 
5.ร้อยเอกหญิงพิลาศลักษณ์ เปรมสมิทธิ์ 200 หุ้น 
6.นางอรัญญา ทรัพย์พ่วง 200 หุ้น 
7.น.ส.พัชรรินทร์ พงษ์ฉวี 200 หุ้น
รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ เป็นผู้ริเริ่มก่อการผู้ขอจดทะเบียน และเป็นกรรมการ เรื่อยมา 
6 มี.ค.45 ได้จดทะเบียนเพิ่มทุนเป็น 15 ล้านบาท
วันที่ 18 ม.ค.50 ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ ลาออกจากกรรมการ มี นางจุฑารัตน์ มัยลาภ เป็นกรรมการเพียงคนเดียว
ทั้งนี้ ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ วันที่ 10 ต.ค.49-3 ต.ค.50
23 พ.ย.50 ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ เข้ามาเป็นกรรมการอีกครั้ง 
22 ธ.ค.51 นางจุฑารัตน์ มัยลาภ ลาออก เหลือ ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ เป็นกรรมการคนเดียว 
22 มี.ค.56 น.ส.พิชญา พิบูลเวช (มัยลาภ) ภรรยา ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ เข้ามาเป็นกรรมการ ร่วมกับ ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ 
ณ วันที่ 30 เม.ย.2557 มีผู้ถือหุ้น 4 ราย 
ร.อ. น.พ. ยงยุทธ มัยลาภ 147,000 หุ้น 
น.ส.ยศวดี 1,400 หุ้น นางพิชญา มัยลาภ (ภรรยา ร.อ.นพ.ยงยุทธ) 1,400 หุ้น 
นายธีระเดช เอมสุวรรณ 200 หุ้น รวม 150,000 หุ้น
มูลค่า หุ้นละ 100 บาท
570925-2 2
29 ก.ค.57 ร.อ.นพ. ยงยุทธ ยื่นคำร้องจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด แจ้งว่า ร.อ.นพ. ยงยุทธ และ นางพิชญา มัยลาภ ได้ลาออกจากกรรมการ มีผลวันที่ 30 ก.ค.57 มี นางศิริวรรณ พานิชตระกูล เป็นกรรมการ (ดูเอกสารประกอบ)
570925-1
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ณ วันที่ 30 ก.ค.57 มีผู้ถือหุ้น 3 ราย นางศิริวรรณ พานิชตระกูล ถือหุ้นใหญ่ 149,998 หุ้น จากทั้งหมด 150,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท 
(ดูเอกสารประกอบ)
570925-3 1
 ล่าสุด 24 ส.ค.57 บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 15 ล้านบาท เป็น 30 ล้านบาท นางศิริวรรณ พานิชตระกูล ถือหุ้นใหญ่ 299,998 หุ้น จากทั้งหมด 300,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท 
จากข้อมูลเห็นได้ว่า บริษัท ดี.เอ็ม.อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด เป็นคู่สัญญากับกรมการค้าภายใน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.57 ขณะที่ ร.อ.นพ.ยงยุทธ กับภรรยา ลาออกจากกรรมการและหุ้นใหญ่ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 57
เป็นการลาออกจากกรรมการและผู้ถือหุ้นหลังจากรับงานแล้ว 1 เดือน

โอกาส กับดัก สปช.

“โอกาส” และ “กับดัก”
สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน  มหาวิทยาลัยรังสิต
​​ขณะนี้ องค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่จะมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปประเทศ ได้ก่อเกิดขึ้นมาเกือบจะครบทั้ง 5 องค์กรแล้ว ประกอบด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) คณะรัฐมนตรี(ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างรธน.)

​​การปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ จะเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับการทำงานสอดประสาน รับ-ส่งกันของทั้ง 5 องค์กรข้างต้น
​​สภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะมีบทบาทอย่างไรต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศไทย?
​​จะมี “โอกาส” และ “กับดัก” อะไรบ้าง ที่ต้องใส่ใจและระมัดระวัง?
 
​​1) บทบาทของสปช.กับกลไกการทำงานปฏิรูปประเทศไทย
 

 
​​แผนภาพข้างต้น แสดงให้เห็นบทบาทของ สปช.ในการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย ว่าจะต้องทำงานเกี่ยวข้อง ร่วมมือ หรือสัมพันธ์กับองค์กรสำคัญอีก 4 องค์กรอย่างไร
​​หน้าที่หลักของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คือ ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทําแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านต่างๆ แล้วนำเสนอต่อ สนช. ครม. คสช. ตลอดจน กมธ.ยกร่าง รธน.
​​อธิบายตามแผนภาพ พูดง่ายๆ ว่า สปช.ทำหน้าที่เสมือนองค์กรที่เสนอแนะการปฏิรูปไปยังองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เขารับลูกไปดำเนินการ เนื่องจาก สปช.มิได้มีอำนาจในตัวเอง
​​เรียกว่า มีหน้าที่เสนอแนะ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการโดยตรง​ ยกตัวอย่าง
​​หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องสั่งการข้าราชการ ต้องใช้กลไกระบบราชการในการปฏิบัติ ก็จะต้องเสนอเรื่องไปที่ ครม. เพื่อให้ ครม.พิจารณาสั่งการข้าราชการต่อไป
​​หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ หรือออก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องเสนอร่างกฎหมายไปยัง สนช. เพื่อให้พิจารณาผ่านกฎหมายออกมาใช้บังคับต่อไป
​​หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะต้องเสนอประเด็นนั้นๆ ไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
​​หรือหากข้อเสนอการปฏิรูปใดมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีความซับซ้อนด้านความมั่นคง พบข้อจำกัด มีอุปสรรค หรือจำเป็นต้องใช้อำนาจ คสช.ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็จะต้องนำเสนอให้ คสช.พิจารณาดำเนินการต่อไป
​​นอกจากนี้ สปช.ก็ยังมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะต้องส่งตัวแทนจำนวน 20 คน เข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสุดท้าย สนช.ยังมีหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทําขึ้นด้วย
​​พิจารณาจากแผนภาพจะเห็นได้ว่า การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยนั้น จะเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อองค์กรสำคัญทั้ง 5 ทำงานสอดประสาน สอดรับกัน เดินหน้าผลักดันการปฏิรูปอย่างจริงจัง
​​หากสภาปฏิรูปแห่งชาติเข้าเกียร์เดินหน้า แต่องค์กรอื่นๆ เข้าเกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ถอยหลัง การปฏิรูปประเทศก็อาจจะประสบปัญหา ขลุกขลัก กุกกัก ยากจะประสบความสำเร็จจนเห็นผลเป็นรปธรรม หรือถ้า สปช.กลับไม่มีหัวคิดที่จะปฏิรูป ไม่กล้านำเสนอแนวทางที่จะเป็นการปฏิรูปในระดับโครงสร้างแก่องค์กรอื่นเสียเอง ก็จะเป็นการทำลายโอกาสสำคัญของประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
​​สิ่งสำคัญ คือ การปฏิรูปครั้งนี้จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง สปช.จำเป็นจะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ร่วมสนับสนุน ร่วมผลักดัน เกิดการยอมรับ มีความรู้สึกเป็นเจ้าของในข้อเสนอของการปฏิรูปทั้งหลายนั้น อันจะเป็นพลังและความชอบธรรมให้การผลักดันแนวทางการปฏิรูปในด้านต่างๆ ต่อไปด้วยในอนาคต
 
​​2) โจทย์ใหญ่ ความท้าทายของการปฏิรูป?
​​เมื่อพิจารณาจากสภาพปัญหาจริงในบ้านเรา จะพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาที่ดำรงอยู่อย่างฝังลึก กัดกินผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนร้ายแรง บางปัญหามีความซับซ้อน เกี่ยวพันหลายมิติ ทั้งในเชิงกฎหมาย วัฒนธรรม ค่านิยม เศรษฐกิจ ฯลฯ  เป็นความท้าทายเร่งด่วนสำหรับการปฏิรูปประเทศ ยกตัวอย่าง
​​(1) แก้ปัญหาเผด็จการทุนนิยมผูกขาดในการเมือง : ปัญหานี้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีความเป็นประชาธิปไตนอย่างแท้จริง เลวร้ายกว่ารัฐประหาร เพราะนายทุนสามานย์ใช้อำนาจทุนรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตนเอง ผลที่ตามมา คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ส.ส.ก็ไม่ฟังความต้องการที่แท้จริงของประชาชน กลับมีพฤติกรรมเสมือนลูกจ้างนายทุนพรรค อาทิ แก้กฎหมายล้างผิดให้นายทุนพรรค ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่นายทุนการเมือง แต่ลอยแพปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่รับฟังความต้องการของประชาชน เป็นต้น
​​จะต้องปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองอย่างไร จึงจะทำให้นายทุนพรรคการเมืองเข้าสู่การเมืองได้ยากขึ้น ระบบเลือกตั้งใหม่จะเป็นอย่างไร? ระบบพรรคการเมือง ระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ช่องทางการมีส่วนรวมของประชาชน จะเป็นอย่างไร? และจะขจัดผู้บริหารที่ขาดความชอบธรรมให้ออกจากตำแหน่งได้อย่างไร? เป็นต้น
​​(2) ปฏิรูปสื่อสารมวลชนเพื่อการเรียนรู้ของสังคม : สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ เสมือนเป็นสถาบันการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน หากสื่อไม่สร้างสรรค์ ไม่มุ่งให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องแก่คนในสังคม ไม่สนับสนุนการปฏิรูปบ้านเมือง แต่กลับมอมเมาผู้คนด้วยข่าวสารที่ไร้สาระ ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ โดยอ้างแค่ว่าคนชอบดู และก็ใช้สื่อเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ การปฏิรูปก็ยากจะเกิดขึ้นได้
​​(3) กรณีการกระจายอำนาจ : จะปฏิรูปโครงสร้างอำนาจการเมืองการปกครอง เพื่อ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ได้อย่างไร?
​​(4) การแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย : จะทำอย่างไร มิให้ระบบอุปถัมภ์ถูกนำมาใช้บ่อนทำลายประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ฯลฯ
​​​​
​​3) “กับดัก” ที่ สปช.ต้องระมัดระวัง?
​​แม้ประตูแห่ง “โอกาส” จะเปิดขึ้น แต่ก็มี “กับดัก” ที่ สปช.ในฐานะที่เป็นองค์กรเกิดใหม่จะต้องระมัดระวัง
​​(1) ภารกิจของ สปช. แตกต่างจาก ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ สสร.ในอดีต ทั้งยังแตกต่างจาก สนช.ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ จะต้องพิจารณาว่า สปช.จะกำหนดวิธีการทำงานของตนเองอย่างไร?
​​รูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนการทำงาน แบบไหนจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด?
​​จะมีคณะกรรมาธิการฯ 11 ด้าน หรือมากกว่านั้น เพื่อให้ครอบคลุม?
​​สมาชิก สปช. 250 คน จะทำงานอย่างไร? จะมีผู้ช่วย มีทีมงาน หรือจะกำหนดให้มีการทำงานร่วมกันอย่างไร จึงจะเกิดเอกภาพและมีประสิทธิภาพในหมู่ สปช.
​​ผู้ที่เสนอตัว แต่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นสปช.จำนวนกว่า 7,000 คน จะเปิดพื้นที่ หรือสร้างช่องทาง เพื่อให้ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมกับการปฏิรูปประเทศเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศอย่างไร?
​​ต้องไม่ลืมว่า ระยะเวลาการทำงานของ สปช.มีจำกัด เพราะข้อเสนอการปฏิรูปทั้งหลายจะต้องนำเสนอไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น คสช. ครม. สนช. กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนที่องค์กรเหล่านั้นจะหมดอายุการทำงานในระยะเวลาประมาณ 1 ปี เท่านั้น
​​หาก สปช.เสนอแนะไปแล้ว องค์กรที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ จะทำอย่างไร?
​​(2) หาก สปช.จะประกอบด้วยคนที่มีแนวคิดแตกต่างกัน อุดมการณ์แตกต่างกัน ความคิด ความเชื่อ ปูมหลังแตกต่างกัน สภาปฏิรูปก็จะกลายเป็นสภาโต้คารม หรือสภาปรองดอง
​​“กับดัก” ที่ต้องระมัดระวัง คือ ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น สุดท้ายก็คงจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง จะทำอย่างไร มิให้ถูกนำไปขยายผล ยั่วยุ หรือยุให้รำตำให้รั่ว กระทั่งนำไปโจมตีว่า สปช.เป็นเพียงสภาสร้างภาพ เป็นเวทีสมานฉันท์ สร้างภาพการมีส่วนร่วมทางการเมือง
​​ทางออกที่จำเป็น คือ สปช.จะต้องทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุด และทุกฝ่ายจะต้องทำให้ข้อเสนอของสปช.นั้นเกิดผลในทางปฏิบัติจริง เกิดผลรูปธรรมแท้จริง โดยกำหนดทิศทางของการปฏิรูปในภาพรวม ให้ทุกด้านปฏิรูปไปในทิศทางเดียวกัน เช่น “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน”
​​(3) สปช.จะต้องเผชิญกับดักเรื่องเวลา เพราะต้องทำงานภายใน 1 ปี
​​แต่งานปฏิรูปในเชิงโครงสร้างเกือบทุกด้าน มีหลายมิติที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ทั้งกฎหมาย ข้อกำหนดของทางราชการ รวมไปถึงวัฒนธรรม ค่านิยมของประชาชน ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีอย่างแน่นอน
​​กว่าจะแก้กฎหมายเสร็จ กว่าจะร่างกฎหมายใหม่ หรือกว่าจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญ คือ กว่าจะสร้างค่านิยมใหม่ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติของคนในสังคม ซึ่งมักจะเคยชินกับการปฏิบัติแบบเดิมๆ ที่เป็นปัญหา จะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีอย่างแน่นอน สภาปฎิรูปอาจต้องวางแผนว่าการปฏิรูปจะเดินต่ออย่างไรหากมีรัฐธรรมนูญใหม่และการเลือกตั้งเกิดขึ้นใหม่แล้ว
​​สุดท้าย หากข้อเสนอของ สปช.ไม่สามารถทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในเงื่อนเวลาดังกล่าว ตลอดจนไม่สามารถสร้างความเห็นชอบร่วมกันกับฝ่ายต่างๆได้ ผลงานของ สปช.ก็อาจจะเป็นเพียง “ข้อเสนอทางวิชาการ”
 
​​4) น่าคิดว่า นอกจาก สปช. จะเผชิญกับ “กับดัก” ของการปฏิรูปในครั้งนี้แล้ว คสช.ก็ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
​​เห็นได้จาก สื่อมวลชนบางส่วนเริ่มตั้งคำถามกับหัวหน้าคสช. ในฐานะผู้นำรัฐบาล ในทำนองว่า “จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกไหม?”
​​อาจหมายความว่า จะมีการยืดเวลาของการทำงานปฏิรูป ยืดเวลาของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกไปอีกไหม? อันจะมีผลให้รัฐบาลชุดนี้และคสช.ต้องอยู่ในอำนาจต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อปฏิรูปบ้านเมือง หรือไม่?
​​หรืออาจจะหมายความว่า จะมีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อทำงานการเมืองต่อไปหลังจากนี้ หรือไม่?
​​ในทุกโอกาสของประเทศ ก็มี “กับดัก” ทางการเมือง อยู่เช่นกัน!
......0......
​​​​
​​

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

dเหยี่ยว-พิราบ-น้ำ-ไฟ ทบ.บู๊ "บิ๊กตู่" ผบ.ทบ.ขาลุย จับตา "แม่ทัพแก้มบุ๋ม" และฝันของ "ตาแก่ป๊อก"

ทีมเสรีชน:
เหยี่ยว-พิราบ-น้ำ-ไฟ ทบ.บู๊ "บิ๊กตู่" ผบ.ทบ.ขาลุย จับตา "แม่ทัพแก้มบุ๋ม" และฝันของ "ตาแก่ป๊อก"

สังคม ไทยอ่อนไหวและหวาดระแวงต่อข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารอย่างยิ่ง ท่ามกลางระเบิดที่ดังตูมตามรายวันต่อเนื่องลูบคมอำนาจกองทัพ และส่งสัญญาณท้าทายอำนาจของ ผบ.ทบ. คนใหม่

แค่มีกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ 16 กองพัน วิ่งเข้าวิ่งออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อดีต บก.ศอฉ. ย่านบางเขน ตั้งแต่วันซ้อมใหญ่ จนถึงวันสวนสนามเทิดเกียรติอำลา บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อ 29 กันยายน ผู้คนก็แตกตื่น คิดว่าทหารจะปฏิวัติ

ด้วยเพราะมีทหารทุกเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ โดยเฉพาะทหารหมวกแดงรบพิเศษ ที่ถึงขั้นวิ่งสวนสนามเทิดเกียรติสูงสุดให้ พล.อ.อนุพงษ์ กว่า 2 พันคน มารวมตัวกัน พร้อมด้วยระดับแม่ทัพนายกอง

แถมวันรุ่งขึ้น 30 กันยายน ก็มีพิธีสวนสนามใหญ่พิธีส่งมอบหน้าที่และอำนาจการบังคับบัญชาในตำแหน่ง ผบ.ทบ. จาก พล.อ.อนุพงษ์ ให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ บก.ทบ. อีก ตามมาด้วยการตบเท้ายินดีกับ ผบ.ทบ. คนใหม่ในวันถัดมาอีก

ความเคลื่อนไหวของทหารในช่วงเปลี่ยนหัว เปลี่ยนนายใหม่เช่นนี้ จึงทำให้การเมืองร้อนฉ่าไปพร้อมๆ กันด้วย อีกทั้ง ผบ.ทบ. คนใหม่นี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเสมือนเป็นระฆังยกหนึ่งได้ดังขึ้นแล้ว

นอกจากความแข็งกร้าว ห้าวหาญ เด็ดขาด ถึงลูกถึงคน แล้วการเป็นนายทหารที่เกลียดสีแดง จึงทำให้มีคำกล่าวขวัญถึง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารสายเหยี่ยวผู้ใจร้อนคนนี้ กับแนวคิดเรื่องปฏิวัติ วันละสิบหนได้กระมัง

ด้วยเพราะความเชื่อฝังหัวประการหนึ่งของ ผบ.ทบ. คนใหม่ คือ กองทัพเท่านั้นที่จะเป็นองค์กรที่ดูแลชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติได้ และวิกฤติการเมืองคือปัญหาหรือภัยคุกคามความมั่นคงอย่างหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่เคยปฏิเสธเรื่องการปฏิวัติแม้จะมีปัญหาตามมาก็ตาม

ที่สำคัญ พลอยทำให้ทหารทั้งกองทัพ พลอยมีบุคลิกและแนวคิดแบบเดียวกับ "ทบ.1" ไปด้วย โดยเฉพาะการเรียกพวกคนเสื้อแดงว่า "มัน" และพร้อมลุย จึงทำให้เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างทหารกับการเมือง พร้อมที่จะถูกทำลายให้ขาดผึง

ที่สำคัญ แผงอำนาจ เตรียมทหาร 12 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ล้วนแต่เป็นสายเหยี่ยว ทั้งนักรบอีสาน อย่าง บิ๊กเยิ้ม พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่คุมฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และพื้นที่สีแดงแจ๋ นั้น ก็ถึงลูกถึงคน เป็นขาลุย ไม่แพ้ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ เพื่อน ตท.10 ของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ไม่เอาพลเอก ยอมเกษียณแค่พลโท คาตำแหน่งแม่ทัพ ที่ทำให้เสื้อแดงอีสานหัวหด

ส่วน บิ๊กหยอย พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 นั้น แม้จะเป็นทหารม้า ที่มักจะมีบุคลิกรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด แต่ก็มีความสุขุมรอบคอบ และใจเย็นอยู่บ้าง แต่หากสถานการณ์ในภาคเหนือยังรุนแรง มีระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาบ่อยๆ พล.ท.วรรณทิพย์ ก็จำต้องเลือกแสดงบทแข็งกร้าว เพื่อสยบปัญหา ตามบัญชาของท่าน ผบ.ทบ. ประธานรุ่น ตท.12

ขณะที่ พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) แผงอำนาจ ตท.12 อีกคน นั้น เป็นหมวกแดงโหดเงียบ และมักมีเรื่องซุบซิบกับ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ตลอดที่เจอหน้า และได้รับคำขอบคุณแบบไม่หยุดปาก เพราะการปฏิบัติการพิเศษต่างๆ ในช่วงเสื้อแดง ที่วันนี้ภารกิจของทหารรบพิเศษ ก็ยังไม่จบสิ้น

ถึงขั้นที่ พล.อ.อนุพงษ์ เอ่ยปากว่า "ขอบคุณ นายทหารชั้นประทวน โดยเฉพาะ นายสิบ เพราะไม่มีอะไรที่นายสิบของ ทบ. เรา ที่สั่งแล้วทำไม่ได้ นายสิบเราทำได้ทุกอย่าง"

ส่วน บิ๊กยอด พล.ท.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (ผบ.นปอ.) ที่แม้จะดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่บทเอาจริง ก็น่าเกรงขามไม่น้อย

ที่สำคัญที่สุด เพื่อนคู่คิด เป็น เสธ.ทบ. คู่ใจ พล.อ.ประยุทธ์ อย่าง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ นั้น ได้ชื่อว่าเป็น สายเหยี่ยว เพราะได้ประจักษ์กันมาแล้วจากผลงานการสลายม็อบเสื้อแดง แถมเป็นเพื่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญๆ และปรึกษาหารือตลอด

อย่าลืมว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ ก็เป็นนายทหารประเภท ใจถึง พึ่งได้ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พร้อมไปไหนไปกัน เอาไหนเอากันแน่ ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า กองทัพในยุคนี้ จะเป็นยุคขาลุย ยอมหักไม่ยอมงอ เลยทีเดียว แถมมีลูกคู่อย่าง พล.ท.อักษรา เกิดผล ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ (ตท.14) ที่ก็เป็นทหารสายเหยี่ยว มือปราบเสื้อแดง อีกคน

ส่วนเพื่อน ตท.12 ในฝ่ายอำนวยการ ก็เป็นขาลุยมาก่อน ทั้ง บิ๊กอ้อ พล.ท.วิลาส อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว อดีตรองแม่ทัพน้อย 1 ที่มีส่วนสำคัญในการนำทหารจัดการเสื้อแดง บิ๊กอ๊อด พล.ท.อำพน ชูปทุม ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกำลังพล ก็มาจาก ผบ.ปตอ. หน่วยคุมกำลัง ที่มีบทบาทในช่วงศึกเสื้อแดงที่ผ่านมา

ขณะที่ บิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน ที่แม้ทำงานมวลชนแต่ก็ออกแนวบู๊ เพราะเล่นงานมวลชนเชิงรุกมาตลอด โดยเฉพาะการปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) แบบที่คนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นึกไม่ถึงและรับมือไม่ไหวมาแล้วเลยทีเดียว

จึงอาจกล่าวได้ว่า นายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกมาคุมกำลังและงานสำคัญนั้น ล้วนเป็นสายเหยี่ยว สายบู๊ ที่พร้อมเต็มที่ เมื่อมีคำสั่ง และดูจะเป็นการเตรียมคนให้เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤติทางการเมือง ที่รออยู่เบื้องหน้า แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องกังวลว่า สั่งให้ทำ 100 แต่กลับทำแค่ 80 หรือ 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกคนมีบทเรียนจากกรณีของ บิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่ต้องหลุดเก้าอี้ ทัพภาค 1 หลุดห้าเสือ ทบ. ไปนั่งตบยุงเป็น พลเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เท่านั้น

คงจะมีแต่ นายทหารเสือราชินี อย่าง บิ๊กโด่ง พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ รุ่นน้อง ตท.14 ซึ่งคุมขุมกำลังปฏิวัติเท่านั้น ที่ดูจะเป็นนายทหารสายพิราบ แนวบุ๋น เยือกเย็นเยี่ยงสายน้ำ ที่อาจทำให้กองทัพได้ปรับสมดุลบ้าง

แต่ภายใต้ใบหน้าหวานๆ ภายใต้ลักยิ้มแก้มบุ๋ม ท่าทีที่อ่อนน้อมนี้ ก็มีความเด็ดขาดหลบซ่อนอยู่ แบบที่จะไม่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือฯ รุ่นพี่หัวแถว ไม่ผิดหวัง

จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะรู้ตัวดีว่า อะไรรอเขาอยู่บนเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 จนรอยยิ้มที่เคยเห็นบ่อยๆ อาจต้องจางหาย เมื่อรับตำแหน่งตั้งแต่ 5 ตุลาคม เรื่อยไป เพราะต้องคุมพื้นที่สำคัญภาคกลาง 26 จังหวัด รวมทั้งศูนย์กลางอำนาจอย่างกรุงเทพฯ

ที่สำคัญ พล.ท.อุดมเดช จะเป็นที่จับตามอง เพราะเวลานี้ถือว่าเขาอยู่ในเส้นทางเหล็ก ที่ก้าวต่อไปคือ ห้าเสือ ทบ. และด้วยอายุราชการถึงปี 2558 ทำให้เขาอาจเป็นทายาททหารเสือฯ ที่จะรับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกษียณ 2557



สําหรับ พล.ท.อุดมเดช นั้น ถือว่าเป็นทหารเสือราชินีเลือดแท้ เพราะเขาเติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) มาตลอดจนเป็น ผบ.ร.21 รอ. ไม่ได้มีสายเลือดบูรพาพยัคฆ์แต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้โตมาในกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) แต่ก็แค่ ร.21 รอ. เป็นหน่วยลูกของ พล.ร.2 รอ. เท่านั้น แต่เขามาเติบโตในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) แม้จะเป็นแค่ รอง ผบ.พล.1 รอ. แต่ก็เป็นทั้ง ผบ.มทบ.11 และ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (ผบ.พล.ร.9) มาก่อน

แต่นี่อาจเป็นหมากที่จงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่วางนายทหารที่เป็นทั้งเหยี่ยวและพิราบ ได้ทั้งแนวบู๊และบุ๋น อย่าง พล.ท.อุดมเดช มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ต้องเล่นหลายบทบาท ทั้งงานมวลชน ที่ต้องอาศัยรอยยิ้มหวานแก้มบุ๋ม กรุยทาง แต่ก็ต้องเด็ดขาดในงานด้านยุทธการ

พร้อมกันนั้น หากมองไปใน ทบ. แล้ว จะเห็นว่า มีการจัดวางนายทหารสายพิราบ มาทำงานด้านฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายเสนาธิการ เพื่อปรับสมดุลกองทัพ เพราะในระดับห้าเสือ ก็ออกแนวบุ๋นทั้ง บิ๊กต้อย พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยประดับ รอง ผบ.ทบ. (ตท.10) ส่วน พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร ผช.ผบ.ทบ. (ตท.11) แม้จะมาจากแม่ทัพภาคที่ 4 สู้ไฟใต้มา แต่ก็รู้กันดีว่า เขาเป็นนายทหารสายพิราบ นักพัฒนา

คงมีแต่ บิ๊กเล็ก พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผช.ผบ.ทบ. ที่พร้อมเล่นบทบู๊ในฐานะที่เป็นหน่วยคุมกำลัง เป็น ผบ.นปอ. มาก่อน แต่งานนี้ถูกวางตัวให้คุมสายส่งกำลังบำรุง

ระดับ รอง เสธ.ทบ. ทั้ง 3 คน ทั้ง บิ๊กบี้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล บิ๊กอ๋อย พล.ท.จิรเดช โมกขะสมิต สองเพื่อนซี้แห่ง ตท.13 ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารอาชีพสายพิราบ รวมทั้ง พล.ท.อรุณ สมตน (ตท.14) ก็โตมาในสายกำลังพลมาตลอด ไม่ใช่แนวบู๊

แต่ดูสัดส่วนแล้ว นายทหารสายบู๊ จะมีมากกว่าสายบุ๋น จึงยากที่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น น้ำจะหาญดับไฟได้ ในเมื่อหัวแถว ทบ.1 ก็เป็นดั่งพระเพลิง

ขณะที่นายทหารสายเหยี่ยวอีกคน แต่จำต้องเล่นบทพิราบ ทำตัวเป็นน้ำคอยดับไฟ มาตลอด 3 ปี แต่มาจบตรงที่การเผยตัวตน ในยุทธการเสื้อแดง อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ ก็เปิดหมวกอำลา ทบ. ไปแล้ว แต่อาจเป็นแค่ชั่วคราว เพราะเขาถูกจับตามองว่า ไม่อาจหนีไปจากกองทัพและการเมืองได้

"ผมดีใจจะตาย จะได้เกษียณ อย่ามาคิดว่าผมไม่อยากเกษียณ ผมทำงานหนักมาทั้งชีวิต มีแต่อยากจะเกษียณจะได้พักผ่อน" พล.อ.อนุพงษ์ ตัดพ้อ

ด้วยเพราะเขาวางแผนที่จะโยนทุกอย่างใส่บ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ และละทิ้งความวุ่นวายทั้งหมดไว้เบื้องหลัง แล้วจูงมือ คุณอุ๊ กุลยา ภริยา ลูกๆ และเพื่อนสนิทที่รู้กันดีว่าเป็น "กระเป๋า" ส่วนตัว ไปเที่ยวเมืองนอก แบบม้วนยาว ทั้งยุโรป และอเมริกา

แต่ที่จะพิสูจน์ใจพี่ป๊อกกับน้องตู่ และเคยพิสูจน์ใจ ผบ.ทบ. ที่มาเป็นต่อกันมาหลายคนแล้ว ก็คือ จะมีเงินคงเหลือในบัญชีส่งมอบเหลือเป็นขวัญถุงให้ ผบ.ทบ. คนใหม่ หรือไม่เพียงใด เพราะก่อนเกษียณไม่กี่วัน ก็มีการเคลียร์บัญชีธนาคารครั้งใหญ่

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่วอรี่ เพราะมองไปข้างหน้าอีก 4 ปีบนเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็เหลือคณานับแล้ว แต่อยากให้พี่ชายพักผ่อนอย่างมีความสุข

วันเกิดปีนี้ 10 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์ จึงฉลองเบิร์ธเดย์ที่ต่างแดน แบบหัวเบาตัวเบาจากภาระต่างๆ ที่สลัดทิ้งให้ ผบ.ทบ. คนใหม่ไปแล้ว

จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้ ในงานอำลากองทัพภาคต่างๆ โรงเรียนนายร้อย จปร. ศูนย์การทหารราบ และ ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ จึงกดเก็บความรู้สึก ไม่ให้ปรากฏออกมาทางแววตา ไม่ให้มีแม้น้ำตาคลอเบ้า คงมีแต่อารมณ์โกรธขึ้ง เมื่อถูกนักข่าวจ้องมองและถ่ายเจาะสีหน้าและแววตา

"จะมาถามทำไมว่า เกษียณแล้วรู้สึกยังไง จะให้เสียใจไม่อยากเกษียณหรือ ถามอย่างนี้ไม่แฟร์ จะมาคิดว่าผมไม่อยากเกษียณหรือไง" บิ๊กป๊อก ปรี๊ดส่งท้าย

"คนเราทำงานมาจนเกษียณ ขอให้เกษียณด้วยความภูมิใจว่า เราได้ทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองไว้บ้าง" บิ๊กป๊อก ย้ำเหตุผลที่ทำให้ตนเองเกษียณราชการอย่างเปี่ยมสุขและเปี่ยมเกียรติ เพราะเขาเชื่อมั่นว่า วีรกรรมปราบแดง ครั้งล่าสุด เป็นที่ยอมรับและทำให้เขาได้รับแต่เสียงชื่นชมและขอบคุณ

ว่ากันว่า ส่งมอบเก้าอี้ ผบ.ทบ. 30 กันยายน รุ่งขึ้นเกษียณปุ๊บ 1 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์ ก็ออกท่องโลกทันที แต่จะเป็นเหมือนแค่การลาพักร้อนยาวๆ ไปชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น เพื่อที่จะกลับมากรำศึกต่อ เพราะจากที่เคยบอกว่า จะไม่เล่นการเมือง และไม่รับตำแหน่งทางการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กลับใช้คำว่า "จะพยายามอยู่ห่างการเมือง ให้มากที่สุด" แบบว่า พอๆ กับอยู่ห่างนักข่าวให้มากที่สุดด้วย

แต่สายข่าวใกล้ชิด ยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะไม่เล่นการเมือง และไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ต่อให้มี 2 พรรคใหญ่ทาบทาม ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ด้วยเก้าอี้ รมว.กลาโหม ล่อใจ และพรรคภูมิใจไทย พรรคสีน้ำเงินของ นายเนวิน ชิดชอบ ด้วยเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ล่อใจก็ตาม

ยังคงแน่วแน่ที่จะรอคอยตำแหน่งสำคัญในการรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทต่อไป พร้อมๆ กับการทำงาน "ปิดทองหลังพระ" อยู่เบื้องหลัง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป

ความฝันของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่อยากจะเป็นตาแก่อยู่บ้านกับลูกเมีย เล่นกีตาร์ ตีกลอง ไปพลาง และพากันไปพักผ่อนในที่ๆ อยากไปนั้น คงทำได้แค่ช่วงแรกๆ ของการเกษียณเท่านั้น เพราะกลับมาก็คงหนีไม่พ้นการเมือง เพราะบ้านพักก็ยังอยู่ใน ร.1 รอ. ในดงอำนาจ ในรั้วเดียวกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์

พล.อ.อนุพงษ์ คงลืมไปว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่สำคัญตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนผูกปมปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นอยู่นี้ไว้ ตั้งแต่นำปฏิวัติ 19 กันยายน ครั้นจะทิ้งไปเฉยๆ ก็คงไม่ได้ เพราะถ้าขั้วอำนาจเก่าสีแดงกลับมา ต่อให้เกษียณไปแล้ว บิ๊กป๊อก และทหารเสือฯ รวมทั้งบูรพาพยัคฆ์ อาจเดือดร้อนหนัก โดยเฉพาะเรื่องที่ซุกอยู่ใต้พรมแดง ก็จะถูกเขี่ยออกมา

เห็นที ตาป๊อก คงไม่อาจอยู่บ้านเลี้ยงหลาน กลายเป็นตาแก่ เพราะเขายังมีไฟในตัว และไฟในใจที่ต้องสะสาง และอาจจะกลายเป็น ตาแก่ ที่น่ากลัวแห่งการเมืองไทยอีกคน..

dบ๊ายบาย "บิ๊กป๊อก" "บิ๊กตู่" บินเดี่ยว ศึกผู้พันกับแผนล้างบางแตงโม และคำสัญญา "ป.ป้อม"

บ๊ายบาย "บิ๊กป๊อก" "บิ๊กตู่" บินเดี่ยว ศึกผู้พันกับแผนล้างบางแตงโม และคำสัญญา "ป.ป้อม"

พิธี อำลากองทัพบก และส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ. ของคนกันเอง จาก พี่ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ให้น้องตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำหนดขึ้นในเวลา 14.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายนนี้

ตามธรรมเนียม จะมีการสวนสนามของทหารหน่วยกำลังรบ และการกล่าวสดุดี และอำลา นำโดย ผบ.ทบ.คนใหม่ การส่งมอบ "ธงแห่งการบังคับบัญชา" หรือธง ผบ.ทบ. สีแดงฉานจากคนเก่าให้คนใหม่

กระนั้นก็มีเสียงซุบซิบว่า จากความแนบแน่นสนิทสนมดุจพี่น้องร่วมสาบาน พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะให้โอกาสพี่ป๊อก นอนกอดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปจนวินาทีสุดท้าย เมื่อเที่ยงคืน 30 กันยายน เพราะวินาทีต่อจากนั้น อำนาจก็เป็นของน้องตู่ ตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยพิธีส่งมอบตำแหน่ง ควรมีขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ก็ได้ แถมทั้งไม่ติดขัดเรื่องวันหยุด เพราะเป็นวันศุกร์ด้วยซ้ำ

แต่อาจเป็นเพราะ พล.อ.อนุพงษ์ รู้ดีว่า น้องตู่ของเขา รอวันนี้มานานด้วยใจระทึก ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวฝ่าฟันอุปสรรคสีแดงแบบหวุดหวิดและโชคช่วย ไม่เสียอำนาจ การเมืองไม่เปลี่ยนขั้ว จนได้เป็น ผบ.ทบ. สมใจ

อีกทั้งเกรงว่า หากหลังเที่ยงคืน 30 กันยายน เกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเสียงตูมตาม ต้อนรับ ผบ.ทบ.คนใหม่ พล.อ.อนุพงษ์ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบหน้าที่

แต่จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเสมือนหนึ่ง ผบ.ทบ. ตั้งแต่โผทหารคลอดเมื่อ 2 กันยายน นั่นแล้ว หรืออาจก่อนหน้านั้น หรือตลอดเวลา 3 ปีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ด้วยซ้ำ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเสมือน ผบ.ทบ. เงา ที่คอยสะกิดอยู่เบื้องหลัง ยิ่งช่วงที่เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิ่งเป็นเสมือน ผบ.ทบ. ตัวจริง

ยิ่งเมื่อโผทหารคลอดออกมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็สวมทั้งบท เสธ.ทบ. รอง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทบ. ชี้นิ้วสั่งการเองทั้งหมด แถมคุมละเอียดยิบ จนเวลานี้ ฉายา "ตู่ นะจ๊ะ" เพราะชอบพูดคำว่า นะจ๊ะลงท้าย ก็ได้ฉายา "ตู่ จู้จี้" เพิ่มมาอีก

ที่สำคัญ เวลา พล.อ.ประยุทธ์ พูดหรือสั่งอะไร บิ๊กๆ ใน ทบ. ต่างก็ต้องมาคอยห้อมล้อมและเงี่ยหูฟัง ในขณะที่ปล่อยให้ พล.อ.อนุพงษ์ เดินเดี่ยว พูดอะไรก็เหมือนเป่าสาก หรือลอยไปตามลม ตามประสาคนใกล้หมดอำนาจ

แต่อยู่ที่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะยอมอยู่ในสภาพนั้นหรือไม่ หรือกำลังดิ้นเพื่ออำนาจอยู่...

แต่กระนั้น โดยทางการแล้ว 30 กันยายน ก็เป็นวันสุดท้ายแห่งอำนาจของ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะ ผบ.ทบ. คนที่ 36 ที่เวลานี้นับถอยหลังอย่างใจหาย โดยเฉพาะเมื่อต้องนับวันที่เหลืออยู่ โดยไม่นับวันเสาร์อาทิตย์

นี่กระมังที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังใช้เวลาและอำนาจที่อยู่ในมือในการเคลียร์เรื่องคั่งค้างต่างๆ ให้เสร็จสิ้น โดยยกเลิกกำหนดการไปอำลาหน่วย ยกเว้นการอำลาของเหล่าราบเป็นส่วนรวม 24 กันยายน จนทำให้เกิดเสียงซุบซิบว่า เป็นการส่งสัญญาณว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะยังไม่ไปไหน

ด้วยเพราะขนาดการไปอำลาหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) ที่ทุ่งสีกัน เมื่อ 9 กันยายนที่ผ่านมา ทางหน่วยก็ไม่เรียกว่า การอำลา แต่เป็นการตรวจเยี่ยมหน่วยของ ผบ.ทบ. เท่านั้น ทั้งๆ ที่รูปแบบที่มีการนำอาวุธยุทโธปกรณ์และทหารมาสวนสนามเทิดเกียรตินั้น คือนัยของการอำลา

แต่ทว่า พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่ได้กล่าวอำลากำลังพล ได้แต่ขอบคุณที่ช่วยกันทำงานแก้ไขวิกฤติที่ผ่านมา และขอให้เตรียมพร้อมในการทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน

ตามปกติ รูปแบบการกล่าวอำลาชีวิตรับราชการ จะต้องมีการพูดย้อนถึงชีวิตรับราชการที่ผ่านมา และอาจมีการฝากกองทัพไว้กับ ผบ.ทบ.คนใหม่ แต่กลับไม่มีอยู่ในสิ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว แต่ในพิธีส่งมอบตำแหน่ง 30 กันยายน พล.อ.อนุพงษ์ ไม่อาจหลีกหนีการกล่าวอำลา แต่จะทิ้งทวนทิ้งท้ายอย่างไร

แต่กระนั้น ก็เป็นการทำให้เหล่าทหารปืนใหญ่คึกคัก เพราะไม่มี ผบ.ทบ. คนไหน ที่มาพิธีเช่นนี้มานานมาก เพราะแม้ ผบ.ทบ. ที่มาจากเหล่าทหารปืนใหญ่ คนท้ายสุด คือ บิ๊กสุ พล.อ.สุจินดา คราประยูร แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้อำลาหน่วย เพราะลาออกไปเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างกะทันหัน

แล้วจากนั้นมา ก็ยังไม่มี ผบ.ทบ. เหล่าปืนอีกเลย



แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ให้เกียรติ บิ๊กเล็ก พล.ท.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผบ.นปอ. ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น ผช.ผบ.ทบ. และมี บิ๊กยอด พล.ต.ยอดยุทธ บุญญาธิการ สมาชิกแผงอำนาจ ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.นปอ. คุมกำลังแทน ด้วยการมาเยือนหน่วย แต่ไม่เรียกว่าอำลาหน่วย ซึ่งไม่รู้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ ถือเคล็ดใดหรือไม่

เวลาที่เหลืออยู่นี้ พล.อ.อนุพงษ์ หมดไปกับการเซ็นหนังสือ เอกสารคำสั่งต่างๆ และการเคลียร์แผล ทั้งเรื่อง เรือเหาะ ทบ. ที่ได้ส่ง พ.อ.วิวรรธ์ สุชาติ รองเจ้ากรมส่งกำลังบำรุง ทบ. ไปเจรจากับสหรัฐอเมริกา จนยอมเปลี่ยนเรือเหาะลำใหม่ มาให้ภายใน 3-4 เดือน

ส่วนรถเกราะยูเครนเจ้าปัญหา ที่เซ็นสัญญาซื้อตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แต่ต้องวิ่งหาเครื่องยนต์และเกียร์มาตลอด ก็เร่งกันจนทางยูเครน จะส่งให้ 2 คันแรกที่เป็นต้นแบบ 17 กันยายน ที่สนามบินอู่ตะเภา ก่อนรีบนำไปให้กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ให้บูรพาพยัคฆ์เรียนรู้ และซ้อม ก่อนเปิดโชว์แสนยานุภาพก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณ

แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็รอบคอบ เพราะได้ขอให้คณะรัฐมนตรี อนุมัติเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์แล้ว หลังจากที่ถูกโจมตีว่า การเปลี่ยนเครื่องยนต์และเกียร์ถือเป็นสาระสำคัญ ที่จะต้องให้มีการประมูลแข่งขันใหม่ แต่ไม่รู้ว่า อีก 94 คันที่จะส่งมอบให้หมดในภายปี 2554 นั้น จะได้ตามสัญญาหรือไม่ ที่สำคัญ จะเป็นการกรุยทางในการซื้อรถเกราะยูเครน ล็อตสองอีก 121 คัน ราว 5 พันล้านบาท ต่ออีกด้วย อันทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณไปอย่างสบายใจไปเปราะหนึ่ง

ไม่แค่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ยังสมนาคุณนายทหารหน้าห้องและนายทหารติดตาม ด้วยการเซ็นคำสั่งโยกย้าย พันเอกพิเศษ 7 คน และพันเอก 5 คน หรือโผผู้บังคับการกรม และโผผู้บังคับกองพัน นอกฤดู ส่งลูกน้องลงตำแหน่งสำคัญ ทั้งๆ ที่ปกติจะต้องให้ ผบ.ทบ.คนใหม่ เป็นคนแต่งตั้ง ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน

ทั้งการส่ง เสธ.อาร์โนลด์ พ.ท.ชนมากรณ์ ภิบาลชนม์ ทหารเสือราชินีหน้าห้อง ไปเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (ผบ.พัน ร.มทบ.11) ส่งผลให้ความเป็นเพื่อน ตท.27 สะบั้น เพราะ ผู้พันโต พ.อ.สุชาติ พรมใหม่ ถูกเด้งไปเป็นฝ่ายเสนาธิการประจำฯ แต่ได้พันเอกพิเศษปลอบใจ ในฐานะที่เป็นหน่วยแนวหน้า หน่วยแรกที่ถูกส่งเข้ากรำศึกเสื้อแดงหนักมาตลอดเกือบ 3 ปี

รวมทั้งการให้ เสธ.เอ๋ พ.ท.สันติพงษ์ มั่นคงดี (ตท.26) รอง ผบ.พัน สห.ทบ. ขึ้นเป็น ผบ.สห.ทบ. แทน ผู้พันอ๊อบ พ.อ.ฐิติศักดิ์ สมทัศน์ (ตท.25) ที่ก่อศึกขึ้นอีกคู่ เพราะที่ผ่านมามีการเลื่อยขา ปล่อยข่าวโจมตีกันมาตลอด แล้วเป็นจังหวะให้ พ.ท.ณุดนัย บูรณสมภพ (ตท.31) นายทหาร รปภ. พล.อ.ประวิตร มาเสียบเป็น รอง ผบ.พันสห.ทบ. แท็กทีมกัน

การเด้ง พ.อ.สุชาติ และ พ.อ.ฐิติศักดิ์ ไปเป็นฝ่าย เสธ.ประจำฯ และให้ พันเอกพิเศษปลอบใจ นี้ สร้างความแปลกประหลาดใจให้บิ๊กๆ ใน ทบ. ด้วยรู้กันดีว่า ทั้ง 2 ผู้พัน ซึ่งเป็นหน่วยที่ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจ ใช้งานตลอด โดยเฉพาะศึกเสื้อแดง ไม่ว่าปีไหน จะเป็นกองพันแรกที่เข้าดาหน้ากับเสื้อแดง และเป็นกองร้อยรักษาความสงบ (รส.) มาตลอด แถมเป็นกองพันกลางกรุง ที่ "เซิร์ฟ" (เซอร์วิส) นายทุกคน

แต่อาจเป็นเพราะนั่งมาจะครบ 3 ปี ครบเทอมแล้ว แถมทั้ง บิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ลูกพี่สายตรง ก็ถูกเด้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เป็นพลเอก ตบยุงไปแล้ว ทั้ง 2 ผู้พันจึงถูกสังเวยก่อนเวลา เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ต้องตอบแทนลูกน้องที่ช่วยงานมาตลอด

แม้ว่างานนี้ วงในจะรู้กันว่า เป็น ศึกผู้พัน เป็นการชงเรื่องและจัดโผของนายพันทีมหน้าห้อง พล.อ.อนุพงษ์ ที่ต้องส่งแต่ละคนลงตำแหน่ง หลังจากที่พยายามมาหลายครั้ง จนที่สุด เพราะจะเกษียณ พล.อ.อนุพงษ์ จึงยอมใจอ่อนเซ็นคำสั่ง เมื่อเห็นลูกน้องหน้าห้องนั่งทำตาปริบๆ

ท่ามกลางความแปลกใจที่ไม่มีชื่อ เสธ.ปริญญ์ พ.อ.ปริญญ์ รื่นภาควุฒิ เสธ.ร.1 รอ. นายทหารคนสนิท ขึ้นเป็น รอง ผบ.ร.1 รอ. ทั้งๆ ที่เป็นลูกน้องที่ พล.อ.อนุพงษ์ รักมากที่สุด เป็นหัวหน้าของทีมผู้พันยังเติร์กชุดนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะยังเด็ก เป็น ตท.30 หรือว่า ถูกเตะสกัด หรือว่า ไม่ผ่านด่าน พล.อ.ประยุทธ์ จึงทำให้ เสธ.โจ้ พ.ท.รวิศ รัชตวรรณ (ตท.26) ส้มหล่น มาเป็น รอง ผบ.ร.1 รอ. เสียบแทน โดยเตะ เสธ.หนุ่ย พ.อ.ธิติพล สารลักษณ์ (ตท.23) ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ อดีต ผบ.ร.1 พัน 4 รอ.เข้ากรุ ทั้งๆ ที่เสียสละลงไปทำงานภาคใต้ 1 ปีเต็ม

ทั้งยังมีการเปลี่ยนตัว ผู้พันคุมกำลังกลางกรุง โดยตั้ง เสธ.แก่ พ.ท.เปรมจิรัส ธนะไทยภักดี (ตท.33) นายทหารติดตาม พล.อ.อนุพงษ์ มาเป็น ผบ.ร.1 พัน 3 รอ. แทน พ.ท.พงศกร อาจสัญจร และไม่ลืมตอบแทน เสธ.ป๊อป พ.อ.พัฒนชัย จินตกานนท์ นายทหารหน้าห้อง อดีต ผบ.ม.พัน 4 รอ. มาเป็น รอง ผอ.กองสนับสนุน ทบ. มาคุมตอน บก.ทบ.

โผนี้จึงเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.อนุพงษ์ ไม่แน่ใจว่า จะฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งลูกน้องตัวเองในตำแหน่งที่ต้องการนี้ ได้หรือไม่ เพราะรู้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ค่อนข้างมีหลักการพอสมควร ในการเลือก ผบ.หน่วยระดับคุมกำลัง ต่อให้บางคนเป็น เด็กบิ๊กป๊อก แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มั่นใจในความสามารถหรือหัวจิตหัวใจแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เอา

นี่กระมัง จึงมีข่าวให้บรรดาผู้พันทั่วประเทศ ขนหัวลุกกับ ผบ.ทบ.คนใหม่ เจ้าของฉายาสฤษดิ์ 2 ที่ว่า จะมีการจัดทัพผู้การกรม และผู้พันใหม่หมด โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะเช็กข้อมูลทางลึกด้วยตนเอง และแหล่งข่าว เพื่อตรวจสอบ "สี" ถ้าใครแอบแดง แตงโม หรือไม่เต็มที่ หรือที่ผ่านมา สั่งแล้วไม่ทำ หรือทำแล้วไม่ดี ก็โดนเด้ง เปลี่ยนตัวแน่

ด้วยเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ทีมงาน ที่นำโดย บิ๊กหนุ่ย ว่าที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ว่าที่ เสธ.ทบ. และเพื่อนรัก ตท.12 ในเหล่าและหน่วยต่างๆ ป้อนข้อมูล และหาตัวนายทหารที่เหมาะสมและไว้ใจได้ เตรียมลงตำแหน่งด้วย

ยิ่งเมื่อการเมืองวิกฤติ เสียงระเบิดดังไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือที่เชียงใหม่ หน่วยทหารก็ไม่รอด แถมปริมาณทหารแตงโมที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าขั้นวิตกจริต เตรียมจัดทัพใหม่ทันที ส่วนใครที่เต็มที่ใจถึงตอนปราบเสื้อแดงก็ต้องตอบแทน เช่น ผู้การแดง พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ.จะขยับขึ้น รอง ผบ.พล.1 รอ. จ่อคิวไว้

ด้วยเพราะมีความเป็นผู้นำ เด็ดขาดและกล้าตัดสินใจ บนจุดยืนที่เกลียดสีแดงอย่างชัดเจน นี่กระมัง ที่ทำให้มีแต่คำขอบคุณเท่านั้น ออกจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่มีคำวิงวอนที่ว่า "พี่อยู่ช่วยผมต่อไปนะ" ให้ได้ยิน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงและมีแผงอำนาจเพื่อนคอยพยุง เขาพร้อมที่จะบินเดี่ยว เป็น ผบ.ทบ. ที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว แต่ก็คงต้องฟังคำแนะนำของพี่ป๊อกด้วย

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะดูแล พล.อ.อนุพงษ์ หลังเกษียณอย่างไร หลังจากที่นำยืนปรบมือดังยาวนานกึกก้อง บก.ทบ. แสดงความชื่นชมและขอบคุณมาแล้ว ทั้งการวิ่งเต้นหาตำแหน่งเกียรติยศ เพื่อเป็นการตอบแทนที่พี่ป๊อกช่วยให้ชาติบ้านเมืองรอดพ้นวิกฤติมาได้ หรืออาจได้รับสมนาคุณจากพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยตำแหน่งใน ครม. ทั้งเก้าอี้ รมว.กลาโหม หรือ รมว.มหาดไทย

"มีการพูดคุย ทาบทามแล้ว แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่เอา ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ" ขุมข่าวใกล้ชิด บิ๊กป๊อก แง้ม

ยกเว้นจะเป็นนายกรัฐมนตรีเลยเท่านั้น หากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นจำเป็น...



จาก ที่หมอดูหลายสำนัก ทำนายว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นทหารชื่อ ป. นั้น อาจจะไม่ใช่ ป.ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ แต่อาจเป็น ป.ป๊อก เพราะดวงชะตาของเขาก็ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน

แต่ได้แต่ภาวนาว่า บ้านเมืองอย่าวิกฤติ ถึงขั้นหมดหนทางในระบอบประชาธิปไตย จนต้องใช้ทางเบี่ยงสู่อำนาจนอกระบบ ขั้นต้องให้ทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรี แถมร่ำลือกันจนถึงขั้นที่ว่า ไม่ใช่ทั้ง ป.ป้อม และ ป.ป๊อก แต่อาจเป็น ป.ประยุทธ์ ด้วยซ้ำ

นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โทนเสียงของ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สนับสนุนแผนปรองดองของพรรคเพื่อไทย ที่มี นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นแกนหลัก พร้อมข่าวสะพัดบุคคลระดับสูงไฟเขียว แถมส่งตัวแทนบิ๊กทหารมาร่วมวง จนทั้งพี่ป๊อก และน้องตู่ ปฏิเสธพัลวัน

"ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเลย คุณปลอดประสพ ควรจะบอกมาเลยว่า ทหารคนไหน อย่าพูดลอยๆ แบบนี้" บิ๊กป๊อก แจงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

"ผมก็ไม่ได้ยุ่งเลย เรื่องของฝ่ายการเมือง กับรัฐบาลเขา ผมดูแลกองทัพ ไม่เกี่ยว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งคู่ ซึ่งเป็นทหารเสือฯ และวงในพอสมควร ไม่มีใครแสดงท่าทีสนับสนุนการเจรจาหรือการปรองดองครั้งนี้เลย อันอาจเป็นการสะท้อนว่า ข่าวบุคคลระดับสูงไฟเขียว เป็นจริงหรือไม่ เพราะหากแผนนี้สำเร็จ ก็ย่อมหมายถึง แผนของฝ่ายผู้นำทหาร ย่อมล้มเหลว

เมื่อเกษียณ ถอดเครื่องแบบทหารแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ ยังมีหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมายและเต็มใจทำ ก็คือ การเดินเกมอิสระ หรือเป็นล็อบบี้ยิสต์ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาของชาติบ้านเมือง ในสูตรของ 3 ป. ที่ได้ออกแบบเอาไว้

การอยู่อย่างมีความหวัง ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงต้องอยู่บ้านใน ร.1 รอ. ต่อไป ไม่ว่าจะด้วยความปลอดภัย ความเคยชิน เหตุผลส่วนตัว และรอตำแหน่ง ก็ตาม สัญญาณอย่างหนึ่ง คือ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้สั่งให้เก็บข้าวของใดๆ ในบ้าน ร.1 รอ. เพื่อเตรียมย้ายกลับไปบ้านส่วนตัวที่พุทธมณฑล เพราะมีสิทธิ์อยู่ต่อได้อีก 1 ปี หรืออีกกี่ปีก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้อดีต ผบ.ทบ. ยึดบ้านหลวงอยู่หลังเกษียณมีหลายคน ทั้ง ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.ประวิตร เองที่เลี่ยงด้วยการทำบ้านเป็นที่ทำการมูลนิธิป่ารอยต่อฯ บิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

สถานการณ์การเมืองที่ทั้งเข้มและงวดเข้ามา แถมถูกจับตามองว่า จะจับมือกับพรรคสีน้ำเงิน ภูมิใจไทย และ นายเนวิน ชิดชอบ เพื่อสร้างขั้วอำนาจใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.ประวิตร ค่อนข้างอารมณ์เสีย

โดยเฉพาะข่าว พล.อ.ประวิตร นำ พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ์ และ ผบ.เหล่าทัพ ไปดินเนอร์กับนายเนวิน และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ทั้ง นายชวรัตน์ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล

"แม่ง...ใครปล่อยข่าววะ" บิ๊กป้อม บ่นตามสไตล์ "ไม่มี ผมไม่ได้ไป ใครหาเรื่องสร้างประเด็น" บิ๊กป้อม ซ้ำ

ยิ่งเรื่องหมายจะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ พล.อ.ประวิตร อารมณ์ขึ้น "เฮ้ย...มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมไม่เล่นการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง ไม่ตั้งพรรค ไม่ได้เป็น ส.ส."

"เรื่องดงเรื่องดวง ผมไม่เชื่อ" บิ๊กป้อม ตัดบทคำทำนาย แม้จะเป็นอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรของ ตท.6 ที่เคารพนับถือก็ตาม

"พูดกันไปเรื่อย ผมเสียหาย คนหาว่าผมอยากเป็นนายกฯ ผมบอกตรงนี้เลยว่า ไม่มี ไม่เคยคิดอยากเป็น แต่ตอนหลังมีคนมาหาว่า ผมเปลี่ยนท่าที ไม่ปฏิเสธ ไม่มีไม่จริง แล้วบอกไปได้เลยนะว่า ผมไม่เป็น 100 เปอร์เซ็นต์" บิ๊กป้อม ลั่น

แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้ท่านเป็นหรอกกระมัง เพราะมันย่อมหมายถึง บ้านเมืองถึงวิกฤติอย่างรุนแรง ถนนประชาธิปไตยใช้การไม่ได้ หรือถูกปิดไม่ให้ใช้ สีเขียวจะครองเมือง เลือดจะนองถนนอีกครั้ง

ปล่อยวางอำนาจเสียเถิด...

คุณสมบัติและหน้าที่ สปช.

คุณสมบัติ สปช.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 กำหนดให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้น โดยให้มีรายละเอียด คุณสมบัติและหน้าที่ ดังนี้

รายละเอียดสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

มาตรา ๒๘ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิกจํานวนไม่เกินสองร้อยห้าสิบคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคําแนะนําพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติคนหนึ่งและเป็นรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติไม่เกินสองคน ตามมติของสภาปฏิรูปแห่งชาติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และประธานสภาและรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ที่มาของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

มาตรา ๓๐ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติดําเนินการคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(๑) จัดให้มีคณะกรรมการสรรหาบุคคลด้านต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗ ด้านละหนึ่งคณะ และให้มีคณะกรรมการสรรหาประจําจังหวัดแต่ละจังหวัดเพื่อสรรหาจากบุคคลซึ่งมีภูมิลําเนาในจังหวัดนั้นๆ
(๒) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาแต่ละด้านจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ที่ยอมรับของบุคคลในด้านนั้น ๆ
(๓) ให้คณะกรรมการสรรหาดําเนินการสรรหาบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๘ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๙ และมีความรู้ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในแต่ละด้าน แล้วจัดทําบัญชีรายชื่อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในการนี้ คณะกรรมการสรรหาจะเสนอชื่อตนเองมิได้
(๔) การสรรหาบุคคลตาม (๓) ให้คํานึงถึงความหลากหลายของบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ในภาครัฐภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ การกระจายตามจังหวัด โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ รวมทั้งผู้ด้อยโอกาส
(๕) ให้คณะกรรมการสรรหาประจําจังหวัดประกอบด้วยบุคคลตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
(๖) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติคัดเลือกบุคคลที่เห็นสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาตาม (๑) เสนอ ไม่เกินสองร้อยห้าสิบคนโดยในจํานวนนี้ให้คัดเลือกจากบุคคลที่คณะกรรมการสรรหาประจําจังหวัดเสนอ จังหวัดละหนึ่งคน
จํานวนกรรมการในคณะกรรมการสรรหาแต่ละคณะ วิธีการสรรหา กําหนดเวลาในการสรรหาจํานวนบุคคลที่จะต้องสรรหา และการอื่นที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
คุณสมบัติของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

มาตรา ๒๙ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๘ (๒) (๓) (๔)(๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) และให้นําความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติโดยอนุโลม แต่การวินิจฉัยตามมาตรา ๙ วรรคสอง ให้เป็นอํานาจของสภาปฏิรูปแห่งชาติ
อำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

(คุณสมบัติต้องห้าม สปช.)

 สำหรับคุณสมบัติต้องห้ามของ สปช. มาตรา 29 สปช. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 8 (2) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
(3) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 
(4) เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 
(5) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ 
(6) เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ 
(7) อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเคยถูกถอดถอนจากตำแหน่ง 
(8) เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายเกี่ยวกับการพนันในฐานความผิดเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก 
(9) เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ.



มาตรา ๓๑ สภาปฏิรูปแห่งชาติมีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทําแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ตามมาตรา ๒๗ เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี คณะรักษาความสงบแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(๒) เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ในการจัดทําร่างรัฐธรรมนูญ
(๓) พิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทําขึ้นในการดําเนินการตาม (๑) หากเห็นว่ากรณีใดจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นใช้บังคับ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติจัดทําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ในกรณีที่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้จัดทําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อดําเนินการต่อไปให้สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะตาม (๒) ต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติครั้งแรกให้นําความในมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๘ มาใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม
หัวข้อการปฏิรูปที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๗ ให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

(๑) การเมือง
(๒) การบริหารราชการแผ่นดิน
(๓) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
(๔) การปกครองท้องถิ่น
(๕) การศึกษา
(๖) เศรษฐกิจ
(๗) พลังงาน
(๘) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
(๙) สื่อสารมวลชน
(๑๐) สังคม
(๑๑) อื่นๆ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บินร่วมพิธีอำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บินร่วมพิธีอำลาตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ทหารจัดพิธีให้อย่างสมเกียรติ

กองทัพบกจัด "พิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารของนายทหารชั้นนายพล ที่จะครบเกษียณอายุราชการ และลาออกก่อนครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2557" ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ จ.นครนายก เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติในคุณงามความดีที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะจนครบกำหนดเกษียณอายุราชการ

โดยในปีนี้มีนายทหารชั้นนายพลที่ครบเกษียณอายุราชการ จำนวน 204 นาย และลาออกก่อนครบเกษียณอายุราชการ จำนวน 58 นาย รวม 262 นาย ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม 53 นาย, กองบัญชาการกองทัพไทย57 นาย, หน่วยรักษาพระองค์ 3 นาย และกองทัพบก 150 นาย

นำโดย พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม , พลเอกสนธิศักดิ์ วิทยาเอนกนันท์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม , พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด , พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และพลเอก จิระเดช โมกขะสมิต ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก

โดยในพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารในปีนี้ประกอบด้วย การถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, การเทิดเกียรติและมอบกระบี่ และการสวนสนามเทิดเกียรติ โดยกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากหน่วยต่างๆ ร่วมสวนสนามใน 4 ส่วน

ส่วนแรก เป็นการสวนสนามด้วยกำลังพลเดินเท้า จัดกำลังเป็น ๕ กรมสวนสนาม จำนวน ๑๖ กองพัน จากกองพันนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์, กรมทหารม้าที่ ๕ รักษาพระองค์, กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ รักษาพระองค์, กองพลรบพิเศษที่ ๑ และกรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค์ วิ่งสวนสนาม

ส่วนที่ ๒ เป็นการสวนสนามด้วยขบวนยานยนต์ โดยนำยานยนต์และยุทโธปกรณ์ที่ประจำการในหน่วยต่างๆ ของกองทัพบก เช่น ยานเกราะล้อยางBTR - 3 E1, รถสายพานลำเลียง, รถถัง, ปืนใหญ่ สนธิขบวนกับจักรยานยนต์ทางยุทธวิธีจากกรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ เพื่อให้เห็นถึงความพร้อมในปฏิบัติการทางยุทธวิธีของหน่วยทหาร

ส่วนที่ ๓ เป็นการสวนสนามทางอากาศโดยใช้อากาศยานแบบต่างๆ พร้อมกับการปล่อยควันสีลายธงชาติ

ส่วนสุดท้าย เป็นการจัดแสดงยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก โดยรอบพิธี เช่นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง 550, ยานเกราะล้อยาง BTR - 3 E1, รถถัง M 60 A 3
//////////////

บิ๊กตู่ขอเรียบง่ายพิธีส่งมอบตำแหน่ง

วันอังคาร 23 กันยายน 2557 เวลา 13:24 น.

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่บริเวณลานด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบก ภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีการจัดซ้อมย่อยสวนสนามเทิดเกียรติพิธีรับส่ง
หน้าที่ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะ ผบ.ทบ. และพล.อ.อุดมเดชสีตบุตร รมช.กลาโหม และรองผบ.ทบ. ในฐานะว่าที่ผบ.ทบ.คนใหม่ ก่อนที่จะมีการจัดพิธีจริงในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยในวันนี้เป็นการซ้อมการจัดกำลังพลสวนสนามจากเหล่าทหารราบ ทหารม้า และปืนใหญ่ รวม 3 กองร้อย

ประกอบด้วย กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) 1 กองร้อย กองพลทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม.1 รอ.)1 กองร้อย และกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 6  (ปตอ.พัน.6)จำนวน 1 กองร้อย โดยมีพ.อ.เอกรัตน์ ช้างแก้ว ผบ.ร.1 รอ. เป็นผู้บังคับกองผสม ทั้งนี้จะมีการซ้อมใหญ่ตามพิธีจริงอีกครั้ง ในวันที่ 25 ก.ย.นี้

ด้านพล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) กล่าวว่า ในการทำพิธีการสวนสนามเทิดเกียรติและอำลาชีวิตรับราชการของนายทหารชั้นนายพลประจำปี 2557
ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ จะมีขึ้นอีกในวันที่ 24 ก.ย.ที่ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจะเป็นการสวนสนามจากทหารเหล่าทหารอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้เกียรติแก่พล.อ.
ประยุทธ์  

“ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าอยากให้การจัดงานพิธีอำลาชีวิตราชการแบบเรียบง่าย ไม่ต้องยิ่งใหญ่อลังการมาก ขอให้ทำตามธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติ เพื่อให้เกียรติผู้บังคับบัญชาทุกคนที่ทำ
คุณงามความดีให้แก่กองทัพประเทศชาติ และประชาชนมาตลอดชีวิตการรับราชการ” พล.ต.อภิรัชต์ กล่าว.



สถานการณ์ข่าว

-เคลือนไหวนายกฯ
-ถอดถอน
-สปช.
-เกาะเต่า
-อินชอน
---
"พล.อ.ประยุทธ์" เตรียมอำลาราชการทหารที่ ร.ร.นายร้อย จปร. ขณะบรรยากาศล่าสุด สถานที่พร้อมทำพิธีแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก มีกำหนดการเดินทางมาร่วมงาน พิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารของนายทหารชั้นนายพล ที่จะครบเกษียณอายุ

ราชการและลาออกก่อนครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2557 ของกองทัพบก ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก ซึ่งบรรยากาศที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ขณะนี้มีการจัด

เตรียมสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการกระทำพิธีแล้ว อย่างไรก็ตามปีนี้มีนายทหารชั้นนายพลที่ครบเกษียณอายุราชการใน 1 ต.ค. 2557 จำนวน 204 นาย และลาออกก่อนครบเกษียณอายุราชการ

จำนวน58 นาย รวม 262 นาย ซึ่งมีตำแหน่งที่สำคัญ อาทิ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้

บัญชาการทหารบก ซึ่งจะเกษียรอายุราชการในวันที่1 ตุลาคม นี้
------
"พล.อ.ประยุทธ์" ถึง ร.ร.นายร้อย จปร. แล้ว อำลาชีวิตราชการทหาร ขณะกำลังพล 10 กองพัน ร่วมสวนสนามทั้งบกและอากาศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้เดินทางมาถึงโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก แล้ว เพื่อร่วมพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารของนายทหารชั้นนายพล ที่จะครบเกษียณอายุราชการ และลาออกก่อนครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2557

ทั้งนี้ กำหนดการในพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารวันนี้ประกอบด้วย การถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเทิดเกียรติและมอบกระบี่ และการสวนสนามเทิดเกียรติ โดยกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากหน่วยต่าง ๆ และการสวนสนามทางอากาศ โดยใช้อากาศยาน รวมจำนวนทั้งสิ้น 10 กองพัน

โดยสำหรับพิธีอำลาชีวิตราชการทหารของกำลังพลที่เกษียณอายุราชการนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติกับข้าราชการทหารที่ได้ทุ่มเทปฏิบัติงาน และเป็นการเชิดชูเกียรติในความดีที่ปฏิบัติหน้าที่จนครบ
กำหนดเกษียณอายุราชการ
----
"พล.อ.ประยุทธ์" ภูมิใจเป็นทหาร 38 ปี ยัน ไม่เคยทำเพื่อส่วนตัว ขอช่วยกันเดินหน้าประเทศ ย้ำ แก้ไฟใต้ ต้องใช้เวลา 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก มอบของที่ระลึกแก่นายทหารชั้นนายพลที่อำลาชีวิตราชการทหาร เนื่องในพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารชั้นนายพล ของกองทัพบก ประจำปี 2557 ภายในหอประชุมโรงเรียนนายร้อย จปร. พร้อมรับมอบของที่ระลึกจากรองผู้บัญชาการทหารบก ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวแทนนายทหารชั้นนายพล กล่าวคำอำลาในพิธีว่า วันนี้เป็นวันแห่งเกียรติยศและภาคภูมิใจของนายทหารชั้นนายพลที่เกษียณอายุทุกคน ซึ่งส่วนตัวภูมิใจที่รับราชการทหาร 38 ปี เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยทำเพื่อส่วนตัว และยังมีกำลังใจที่เข้มแข็งและไม่ท้อแท้ ทั้งนี้ อยากฝากให้ช่วยกันพัฒนาชาติและกองทัพให้เข้มแข็งและร่วมกันเดินหน้าประเทศไปให้ได้

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องใช้เวลาพอสมควร ในการแก้ไขปัญหาโดยสร้างความเข้าใจ และต้องหยุดสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว เพื่อเข้าสู่
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
-----
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เดินทางเข้า บก.ทบ. ขณะเจ้าหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ส่งมอบตำแหน่งวันพรุ่งนี้ 

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ล่าสุด ยังคงเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจภายในกองบัญชาการกองทัพบก แต่ได้เดินทางกลับมาจากการร่วมพิธีเทิดพระเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารของนายทหารชั้นนายพล ประจำปี 2557 ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก แล้ว

ทั้งนี้ ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ได้มีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อใช้ในการส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่ง
พิธีการจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
-----
การรักษาความปลอดภัยทำเนียบ เข้มงวด ขณะ นายกฯ อำลาตำแหน่งทหารที่ ร.ร.นายร้อย จปร. ก่อนเข้าปฏิบัติภารกิจช่วงบ่าย

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด บุคคลที่เข้า-ออก ต้องติดบัตรแสดงตนชัดเจน โดยในเว็บไซต์วาระงานทำเนียบรัฐบาล ไม่มีการลงกำหนดการหรือภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. รวมถึง รองนายกรัฐมนตรีแต่ละฝ่าย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เตรียมเดินทางไปโรงเรียนนายร้อย จปร. จังหวัดนครนายก เพื่ออำลาชีวิตราชการทหาร ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่าย สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ ต้องเลื่อนไปประชุม วันพุธที่ 1 ตุลาคม 2557 เนื่องจาก นายกรัฐมนตรี ติดพิธีเกษียณอายุราชการ พร้อบส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ให้กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่กองบัญชาการกองทัพบก
--
นายกรัฐมนตรี ยังไม่เข้าปฏิบัติภารกิจทำเนียบรัฐบาล หลังกลับจากนครนายก ขณะยังไม่ชัดทูลเกล้าฯ รายชื่อ สปช.

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่พบรองนายกรัฐมนตรีเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ตึกบัญชาการ 1 เนื่องจากติดภารกิจอื่น โดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. แต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล่าสุด แม้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะเดินทางกลับจากจังหวัดนครนายกแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการทูลเกล้าทูลกระหม่อมรายชื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. จำนวน 250 คน

--
นายกฯสิงคโปร์เชิญประยุทธ์เยือน ยันเข้าใจสถานการณ์ไทย

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง นางชวา ซิว ซาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำเป็นประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและปรึกษาข้อราชการว่า มาแสดงความขอบคุณทางการไทยที่มีไมตรีจิตด้านวิชาการ วิทยาศาสตร์ แลกเปลี่ยนนักศึกษา และแสดงความดีใจที่คนทั้ง 2 ประเทศรักใคร่กัน แสดงความปรารถนาดีมายังประชาชนชาวไทย โดยบอกว่าเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย และขอเป็นกำลังใจในฐานะประเทศในกลุ่มอาเซียน

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังฝากแสดงความยินดี มายังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมถือโอกาสเชิญเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ อีกทั้งเป็นกำลังใจให้พล.อ.ประยุทธ์ฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ ประเทศมีความสงบ
------
รมว.กต. ยัน หัวใจหลักของการพัฒนา คือการสร้างความมั่นคงของมนุษย์ ย้ำ ยึดประชาธิปไตย มุ่งสู่ปรองดอง

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 69 ถึงวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประชุมในปีนี้ ว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องดำเนินควบคู่กับการยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สันติภาพและความมั่นคง ทั้งนี้ ยังยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเกี่ยวข้องกับการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของคนในชาติ โดยย้ำว่า หัวใจหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การสร้างความมั่นคงของมนุษย์

นอกจากนี้ ประชาธิปไตยของไทย มีความหมายมากกว่าการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการเคารพหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม รวมถึง ชี้แจงสถานการณ์การเมืองของไทย ทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินของกองทัพ ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย ในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน ตามแผน road map ตอบสนองความต้องการของประชาชน ยืนยันว่า ไทยยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านมุ่งการสร้างความปรองดองของคนในชาติ การปฏิรูปการเมือง และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่สถาบันประชาธิปไตย
////
"ป.ป.ช."ถกปมถอดถอน"ยิ่งลักษณ์"คดีจำนำข้าว 30 ก.ย.

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการส่งเรื่องถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า เรื่องที่ยังค้างอยู่ที่ สนช. มีอยู่ 2 เรื่อง คือ คดีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ซึ่งสนช.สามารถพิจารณาได้ทันที และยังเหลืออีก 2 เรื่องที่ยังไม่ได้ส่งให้กับ สนช. คือ เรื่องคดีถอดถอนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว และคดี ส.ส.-ส.ว. ร่วมกันลงชื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาของ ส.ว. เนื่องจากภายหลังการชี้มูลความผิดไปแล้ว เกิดเหตุการรัฐประหารเสียก่อน โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เตรียมหารือเรื่องดังกล่าวในวันที่ 30 กันยายน 2557 หากพิจารณาแล้วเสร็จก็จะส่งเรื่องให้กับสนช.
----
"วิชา"เผยถอดถอน"ปู -36ส.ว." 30ก.ย.รู้ผล ส่ง สนช. หรือไม่

เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึง กรณีที่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ ป.ป.ช.เพิกถอนมติที่ต้องเปิดเผยรายการแสดงบัญชีทรัพย์สิน - หนี้สินต่อสาธารณะชน ว่า ถือเป็นสิทธิของสมาชิก สนช.ที่จะยื่นศาลปกครอง

เพราะมีหลายท่านคิดว่าไม่ใช่ แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐานต่อไป ส่วนข้อโต้แย้งที่สนช.ไปฟ้องศาลเพราะมองว่าตนไม่ใช่นักการเมือง ตรงนี้เขาอาจคิดว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่
ทางเราทำตามหน้าที่และพิจารณาจนมีมติออกไปแล้ว ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 35 ส่วนเรื่องอื่นอย่าให้พูดเลยฟังศาลปกครองวันที่ 30 กันยายนดีกว่า อย่าให้ตนล่วงอำนาจศาลเพราะเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของศาล

นายวิชา กล่าวว่า ส่วนกรณีคดีถอดถอน คงต้องรอความชัดเจนในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 30 กันยายน ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะส่ง สนช.เลยหรือไม่ เราเพียงแต่ทราบว่า สนช.มีข้อบังคับในเรื่องถอดถอน ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องกลับมาดูรายละเอียดอีกครั้งว่าเข้า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้คดีถอดถอน 2 เรื่องที่จะพิจารณาในวันที่ 30 กันยายน คือ เรื่องคดีถอดถอนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว และคดี 36 ส.ว. ร่วมกันลงชื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาของ ส.ว.
------
"พรเพชร" ยืนยัน สนช. มีอำนาจถอดถอนได้  ต้องรอ ป.ป.ช. ส่งเรื่องมาใหม่ให้ถูกต้อง 

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยถึงผลการหารือถึงเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองร่วมกับรองประธาน สนช. ทั้ง 2 คน ว่า ขณะนี้มี 2 คำร้องถอดถอนที่ค้างอยู่ในสภาจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งมายังวุฒิสภาคือการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร

ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่า หาก สนช. จะใช้อำนาจในการถอดถอน ป.ป.ช. จะต้องยื่นเรื่องการถอดถอนเข้ามาใหม่หรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการบังคับใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557ทั้งนี้ หากมีการยื่นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย สนช. ก็มีอำนาจในการถอดถอนได้ เพราะ สนช. ทำหน้าที่เช่นเดียวกับสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
/////////
เปิดรายชื่อ สปช. 11 ด้าน คนเด่น-ดัง มาตามคาด

รายงานข่าวเปิดเผยถึงรายชื่อบุคคลที่คาดว่าได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป (สปช.) ในส่วนที่มาจากคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน จำนวน 173 คน นั้น ปรากฏว่าบุคคลเด่นดังได้เข้ามาตามคาด

เริ่มตั้งแต่ 1.ด้านการเมือง ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า, นายชัยอนันต์ สมุทวณิช, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคาร, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์, นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว.กลุ่ม 40 ส.ว., พล.อ.วิชิต ยาทิพย์, นายชัย ชิดชอบ, นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว.กลุ่ม 40 ส.ว, นพ.ชูชัย ศุภวงศ์, นางตรึงใจ บูรณสมภพ, นายดำรงค์ พิเดช, พล.ร.อ.สุรินทร์ เริงอารมณ์


2.ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตรองประธานศาลฎีกาและอดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.), พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงาน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายวันชัย สอนศิริ, นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ว.ปี 43 และอดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ,นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ผู้ตรวจสำนักงานอัยการสูงสุด, นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์

3.ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์, นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์, นายประมนต์ สุธีวงศ์, นางสาวถวิลวดี บุรีกุล, นายพลเดช ปิ่นประทีป, นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาส,
พล.อ.วัฒนา สรรพานิช, พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ, น.ส.อรพินท์ สพโชคชัย, นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ

4.ด้านการศึกษา ได้แก่ นายอมรวิชช์ นาครทรรพ, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์, นายมีชัย วีระไวทยะ, นางทิชา ณ นคร, นายกมล รอดคล้าย, พล.ท.พอพล มณีรินทร์, พล.อ.วุฒินันท์ ลีลายุทธ, นายสมเกียรติ

ชอบผล, นายเขมทัต สุคนธสิงห์

5.ด้านการปกครองท้องถิ่น ได้แก่ นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายจรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ, นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า, นายวัลลภ พริ้งพงษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย, พล.ต.อดุลย์ศักดิ์ บุญวัฒนะกุล

6.ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ นายเกริกไกร จีระแพทย์ อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์, นายธวัชชัย ยงกิตติกุล, นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง, นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายสมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง น้องชายนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเข้าไปเป็นคณะ คสช., นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล

7. ด้านพลังงาน ได้แก่ นายทองฉัตร หงศ์ลดารมย์, นายคุรุจิต นาครทรรพ, นายมนูญ ศิริธรรม, นายดุสิต เครืองาม น้องชาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ, น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กลุ่ม 40
ส.ว., นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล อดีตผู้บริหารบางจาก, พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช, นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล และ นายพรายพล คุ้มทรัพย์

8.ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ นายประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์, นางสาวทัศนา บุญทอง, นายปราโมทย์ ไม้กลัด, นายบัณฑูร เศรษศิโรจน์, นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์, นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ,
นาวาอากาศเอกไพศาล จันทรพิทักษ์, นางพรพันธุ์ บุณยรัตนพันธุ์, พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ

9.ด้านสังคม ได้แก่ นายกิตติภณ ทุ่งกลาง, นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์, นายสังศิต พิริยะรังสรรค์, นางสาวสารี อ๋องสมหวัง, นายวินัย ดะลันห์, พล.ต.เดชา ปุญญบาล, นางกูไซหม๊ะวันซาฟีหน๊ะ มนูญทวี อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคชาติพัฒนา จ.ยะลา, นายอำพล จินดาวัฒนะ

10.ด้านสื่อสารมวลชน ได้แก่ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร, นายมานิจ สุขสมจิตร, นายวสันต์ ภัยหลีกลี้, นายบุญเลิศ คชายุทธเดช, นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์, นายจุมพล รอดคำดี, นายพนา ทองมีอาคม,
นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด, นางเตือนใจ สินธุวณิก

11. ด้านอื่นๆ ได้แก่ นายเทียนฉาย กีระนันท์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ, พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ, พล.ร.อ.ศุภกร บูรณดิลก, พล.อ.
ภูดิศ ทัตติยโชติ, นายเกษมสันต์ จิณณวาโส, นางพรรณี จารุสมบัติ น้องสาว นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต ส.ส.และรัฐมนตรีหลายกระทรวง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคนเด่นดังที่ไม่มีรายชื่อ อยู่ใน 173 คน ที่ คสช.คัดเลือก เช่น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีสอบสวนคดีพิเศษ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สโมสรพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เสนอชื่อเข้ารับการสรรหา ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม, คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รักษาการปลัดกระทรวงยุติธรรมรวมทั้งที่ถูกเสนอชื่อมาในส่วนขององค์กรอิสระ ก็ไม่ได้รับคัดเลือกเข้ามาด้วย เช่น นายวิชา มหาคุณ จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
----
พท.ผิดหวังหน้าตา"สปช." จวกคู่ขัดแย้งมีชื่อติดพรึ่บ

วันที่ 29 ก.ย.2557 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตร และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงรายชื่อผู้ที่คาดว่าจะได้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ปรากฎเป็นข่าวว่า รู้สึกผิดหวัง เพราะคาดหวังไว้มากตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.บอก แต่สุดท้ายก็เป็นคนหน้าเดิม และเป็นทีมงานเดียวกับคสช. ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ดังนั้น แนวทางการปฏิรูปที่จะออกมาคงไม่ดี เพราะยังคงยึดติดกับความคิดแบบเดิม ปฏิรูปในมุมที่อีกฝ่ายต้องการ ประเทศชาติและประชาชนคงไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย การปฏิรูปอาจล้าสมัย ปัญหาไม่ได้รับการคลี่คลาย เหมือนอยู่ในวังวนเดิมๆ ท้ายที่สุดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องไปแก้ พอแก้กลับมาเดี๋ยวก็มีการปฏิวัติอีก อย่างไรก็ตาม จะขอดูการทำงานว่าจะออกมารูปแบบใด เป็นไปตามที่ตนเข้าใจหรือไม่ ขอให้สปช.เดินตามโรดแมปที่วางไว้ อย่าประวิงเวลาให้ยาวออกไป เพราะประเทศชาติต้องเดินหน้า ขณะเดียวกันต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของคนที่เห็นต่างด้วย ไม่ใช่เอาความเห็นของตัวเองเป็นที่ตั้ง

ด้านนายอำนวย คลังผา อดีตประธานวิปรัฐบาล และอดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คสช.แต่งตั้งสปช.จากคนหน้าเดิม ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่ากลุ่ม 40 ส.ว.เข้ามาเป็นเยอะมาก ไม่เข้าใจว่าคสช.ต้องการให้บ้านเมืองสงบหรือเกิดวิกฤติอีกครั้งกันแน่ ตนเกรงว่าการปฏิรูปจะล้มเหลว สูญเปล่า ในอดีตที่ผ่านมาเราก็รู้อยู่แล้วอะไรคืออะไร ไม่อยากให้เกิดปัญหาซ้ำอีกในอนาคต ฝากสปช.ให้เขียนกติกาสำคัญไว้สักข้อด้วย ระบุให้ชัดเลยว่าต่อไปถ้าพรรคการเมืองไหนไม่ส่งคนลงสมัครเลือกตั้งให้ตัดสิทธิทางการเมืองไปเลย 10 ปี

///////////
สภาพร้อมรับสปช. โยนปปช.พิจารณาปมแสดงทรัพย์สิน

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2557 เวลา 10.00 น. นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ขณะนี้สภาได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการทำงานของ สปช.แล้ว และเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง สปช.ทั้ง 250 คน จะกำหนดให้เข้ารายงานตัวในวันรุ่งขึ้นทันที ขณะเดียวกันได้เตรียมบุคลากรไว้พร้อมสำหรับการสนับสนุนงานของสปช. ทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และเรื่องการเตรียมการตั้งกรรมาธิการ 11 คณะ พร้อมทั้งเตรียมงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2557 มาใช้ในการดำเนินการ

นายจเร กล่าวต่อว่า สำหรับการประชุมนัดแรกของ สปช. จะเป็นการหารือเพื่อเลือก ประธาน และรองประธาน สปช. โดยจะใช้ข้อบังคับการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปก่อน จากนั้นค่อยยกร่างข้อบังคับการประชุม สปช.อีกครั้ง ซึ่งเนื้อหาน่าจะใกล้เคียงกับข้อบังคับการประชุม สนช. ส่วนการกำหนดวันประชุมสปช.จะเป็นวันใดนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุมเมื่อถามว่า สปช.ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ นายจเร กล่าวว่า สถานะของ สปช.ไม่ได้เป็นทั้งส.ส. และส.ว. จึงขึ้นอยู่กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
//////////////
"แถมสิน"อดีตสนช.49เข้ารายงานตัวสนช.ใหม่คนแรก

เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2557 เวลา 08.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เปิดให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเพิ่มเติมอีกจำนวน 28 คน เข้ารายงาน ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 2 ปรากฏว่ามีสนช.ทยอยเดินทางเข้ามารายงานตัว โดย นายแถมสิน รัตนพันธ์ อดีตสนช.ปี 2549 ได้เข้ารายงานตัวเป็นคนแรก จากนั้นมี พล.อ.สุนทร ขำคมกุล , นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ , พล.อ.ศุภวุฒิ อุตมะ และ พล.อ.โปฎก บุนนาค
-----
"พรเพชร" มั่นใจ ตั้ง สนช. เพิ่ม ช่วยให้การทำงานด้านกฎหมาย มีทิศทางดีขึ้น ไม่ซ้ำซ้อนในการทำงาน 

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยถึงกรณีการแต่งตั้ง สนช. เพิ่มเติมจำนวน 28 คน จะทำให้การทำงานของ สนช. เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อการพิจารณากฎหมาย และไม่ทำให้เกิดปัญหาที่ซับซ้อนต่อการทำงานของ สนช. ในคณะกรรมาธิการต่าง ๆ เพราะมีจำนวนสมาชิกครบจำนวน 220 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ 2557 ฉบับชั่วคราว

นอกจากนี้ หากสมาชิกทั้งหมดมารายงานตัวที่รัฐสภาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 1 ตุลาคม จะต้องทำพิธีปฏิญาณตน ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุม สนช. ครั้งถัดไป จะมีผลต่อการพ้นสภาพของ สนช. หากสมาชิกขาดการประชุมเกิน 1 ใน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 90 วัน

//////////////
ป.ป.ช.ยันกำหนดเปิดบัญชีทรัพย์สินสนช. 3 ต.ค.แน่นอน

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีสมาชิกสนช.28 คนยื่นศาลปกครองให้เพิกถอนมติป.ป.ช.ที่ให้สนช.ยื่นและเปิดเผยรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ว่า เท่าที่ทราบคือเป็นการยื่นฟ้องขอให้ศาลได้วางบรรทัดฐานในคำสั่งทางปกครอง โดยไม่ได้ขอทุเลาในเรื่องการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่สนช.อาจเห็นว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่กระทบกระทั่งอยู่ จึงสามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครองได้ เพราะการที่วิจารณ์ว่ากฎหมายมีความชัดเจนหรือไม่นั้นก็อยู่ที่การตีความของใคร ถ้าป.ป.ช.ตีความก็บอกว่าชัดเจน แต่คนที่ได้รับผลกระทบจากการตีความตัวมติก็อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ก็ไปยื่นได้เป็นเรื่องปกติ

"การยื่นดังกล่าวไม่กระทบต่อการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ป.ป.ช.กำหนดในวันที่ 3 ต.ค.นี้แต่อย่างใด เพราะในวันที่ 30 ก.ย.นี้เป็นวันที่ศาลปกครองพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่ หากรับคำร้องก็คงส่งมาให้ป.ป.ช.ทำคำให้การแก้คำฟ้อง ซึ่งเวลานี้ป.ป.ช.ยังไม่เห็นทั้งหนังสือดังกล่าวและยังไม่เห็นคำร้องที่ว่ามีขอทุเลาการให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ดังนั้นป.ป.ช.ยังดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามปกติ เพราะยังไม่มีคำสั่งศาลปกครอง" นายสรรเสริญ กล่าว

นายสรรเสริญ กล่าวว่า เป็นหลักทั่วไปและสากลอยู่แล้วว่าการเข้ามารับตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะต้องแสดงความโปร่งใสในเรื่องของการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินที่ป.ป.ช.ประกาศกำหนด ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นข้อต่อสู้ของป.ป.ช. แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของป.ป.ช. แต่หากศาลปกครองมีคำสั่งมาอย่างไรป.ป.ช.ก็ต้องปฏิบัติตาม
------
ป.ป.ช. พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งศาล ปค. หากให้เพิกถอนแสดงบัญชีทรัพย์สิน สนช. ขณะ สปช. ต้องยื่นหรือไม่ ยังไม่ได้พิจารณา

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ พลเอกนพดล อินทปัญญา ประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 28 คน ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช. ในการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สนช. ว่า หากในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ทางศาลปกครองพิจารณาและรับเรื่องดังกล่าวไว้ ก็ถือว่าไม่กระทบกับ ป.ป.ช. เพราะเป็นการดำเนินการตามมติให้มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่หากภายในวันที่ 3 ต.ค. นี้ ศาลปกครองพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการแสดงบัญชีทรัพย์สินของ สนช. ทาง ป.ป.ช. ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล

ส่วนกรณีของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. จำนวน 250 คน นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ เพราะต้องรอให้พระบรมราชโองการแต่งตั้งและมอบ
หมายอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจนก่อน จึงจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการได้
////////////////