PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว4ก.พ.58

ระเบิดพารากอน

รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กำชับ จนท.ดูแลความปลอดภัย ปชช.เต็มที่ เร่งแจงต่างประเทศ สอบสวนเหตุระเบิดคืบหน้ามาก 

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า หลังเกิดเหตุระเบิดที่สยามพารากอน รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงได้กำชับเจ้า
หน้าที่ในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยประชาชนอย่างเข้มงวดมากขึ้น มีการปรับมาตรการ รวมถึงทบทวนการทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ ตลอดจนได้ตั้งด่าน และการตรวจค้นมากขึ้น เพื่อป้องกันเหตุ ส่วนการสอบสวนติดตามคนร้ายก็มีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่ได้สรุปประเด็นมูลเหตุจงใจที่ชัดเจน ต้องรอหลักฐานทุกด้านให้รอบคอบก่อน เพราะถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

พร้อมกันนี้ ยังขอความร่วมมือประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการทำงาน รวมถึงขออย่าตื่นตระหนก ตลอดจนจะต้องทำความเข้าใจกับต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่มีการประกาศเตือนพลเมืองของตนเอง ว่า ฝ่ายความมั่นคง จะสามารถดูแลความเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน
-----------------
พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานวันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ครบรอบ 67 ปี มอบแหนบทองคำให้แก่ผู้บังคับกองผสม

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธี วันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ครบรอบปีที่ 67 โดยได้วางพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จากนั้นได้เดินทางไปยังอาคารสวนเจ้าเชตุ เพื่อลงนามในสมุดเยี่ยมและร่วมพิธีสงฆ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของหน่วย โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาจากกองทัพบก อดีตผู้บังคับบัญชาของ นรด. และผู้แทนหน่วยต่าง ๆ ทั้งหน่วยทหารและพลเรือน ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

นอกจากนี้ พล.อ.อุดมเดช ได้มอบแหนบทองคำให้แก่ผู้บังคับกองผสม และโล่เชิดชูเกียรติให้กับผู้บังคับกรมสวนสนามทั้ง 4 กรม ซึ่งเป็นผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารที่ได้ร่วมพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนาม นักศึกษาวิชาทหาร ประจำปี 2557 และมอบเงินสงเคราะห์แก่บุตรที่มีความต้องการพิเศษของกำลังพลในสังกัด นรด. เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจ
--------------------
โฆษก ตร. ชี้ขอศาลอาญา รัชดา ออกหมายจับ 2 มือบึ้มหน้า BTS สยามแล้วเช้าวันนี้ ลั่นยังไม่มีเบาะแสเพิ่มเติม-คดีคืบ 70%

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า สืบเนื่องจากกรณีที่มี 2 คนร้ายลอบวางระบิดไปป์บอมบ์ ที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้า BTS สยาม นั้นล่าสุด ในเช้าวันนี้ ได้ให้ทางพนักงานสอบสวนไปทำการขอศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อนุมัติออกหมายจับ 2 ผู้กระทำผิดในคดีดังกล่าวแล้ว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเบาะแสใด ๆ เพิ่มเติม เกี่ยวกับ 2 คนร้าย โดยความคืบหน้าในคดีเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 70%
-------------------
รอง ผบ.ตร. ลั่น ออกหมายจับ 2 ชายบึ้มพารากอนแล้ว คาดทำเกิน 2 พุ่งปมการเมือง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศาลได้อนุมัติออกหมายจับชายต้องสงสัย 2 คนลักลอบวางระเบิดบริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมาแล้ว โดยออกหมายจับตามภาพวงจรปิดที่จับภาพได้ เป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปี หน้าตาดี ซึ่งตำรวจรู้ตัวแล้วและอยู่ระหว่างติดตามตัว พร้อมระบุ จากการสืบสวนค่อยข้างมั่นใจว่าทั้งสองคนเป็นผู้ก่อเหตุ เนื่องจากกล้องวงจรปิด จับภาพได้ค่อยข้างชัดโดยเฉพาะตั้งแต่ที่ชาย 2 คนเดินทางมาที่เกิดเหตุโดยรถแท็กซี่ และจากการดูลักษณะการก่อเหตุแล้ว เชื่อว่าคนที่ทำระเบิดค่อยข้างมีความเชี่ยวชาญ ส่วนผู้ที่นำมาวางค่อยข้างใจเย็น ทั้งนี้ จากแนวทางการสืบสวนยังเชื่อว่าผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งมีมากกว่า 2 คนอย่างแน่นอน และหากพยานหลักฐานสาวถึงใครก็จะเร่งดำเนินการออกหมายจับเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเป้าหมายในการก่อเหตุครั้งนี้ยังพุ่งเป้าไปที่การเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาการลอบวางระเบิดส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการ
เมือง ส่วนกรณีที่คนร้ายเลือกวางระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ซึ่งเป็นห้างใหญ่ในกลางเมืองนั้น เชื่อว่าหวังผลหลายอย่างรวมทั้งต้องการท้าทายเจ้าหน้าที่ด้วย
------------------------
ดีเอสไอ เผยรู้ตัว บรรพต เครือข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแล้ว ชี้ตัวอยู่ในไทย เร่งสืบสวนหาผู้ร่วมขบวนการ - ขอเวลา 

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้บัญชาสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเครือข่าย บรรพต ว่ากรณีบุคคลที่ใช้ชื่อว่า บรรพต นั้น เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นเพียงผู้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเท่านั้น ซึ่งทาง นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ก็ได้ให้ดำเนินการเร่งสืบสวนเน้นไปยังบุคคลที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นตัวบงการ อาทิ ทีมงานด้านเทคนิค กลุ่มคนที่เขียนบทความ และกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนทางด้านการเงิน

ขณะเดียวกัน ล่าสุด เจ้าหน้าที่ทราบแล้วว่าบุคคลที่ใช้ชื่อว่า บรรพต เป็นใคร ซึ่งขณะนี้ยังอาศัยอยู่ภายในประเทศไทย แต่มีความพยายามที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้นทาง
เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากอาจจะกระทบสำนวนคดี

อย่างไรก็ตาม จะต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน และขอให้มั่นใจ ว่า ดีเอสไอ และทางสำนักคดีความมั่นคง มีความพยายามที่จะเร่งรัดคดีและนำผู้กระทำผิด
มาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
-------------
โฆษก ตร. เผย ศาลอนุมัติหมายจับ 2 มือบึ้มที่หน้าพารากอนแล้ว เชื่อคนร้ายวางแผนอย่างดี - ทำเป็นขบวนการ เร่งไล่ล่า

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าคดีคนร้ายลักลอบวางระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ว่า ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับชายต้องสงสัย 2 คน ตามภาพกล้องวงจรปิด ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำการให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น, พาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและไม่มีเหตุอันควร

โดยภาพของผู้ต้องสงสัยรายแรกเป็นชายไทยสวมหมวกแก๊ปและเสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีดำ คาดว่าเป็นคนนำระเบิดไปวางไว้จุดแรกบริเวณหน้าห้างพารากอน ส่วนอีกคนเป็นชายรูปร่างสูงสวมหมวกแก๊ปสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำ คาดว่านำระเบิดไปวางไว้บริเวณศูนย์บริการประชาชนของกรุงเทพมหานคร โดยจากภาพกล้องวงจรปิดพบว่า ชายทั้งสองมานั่งอยู่บริเวณใกล้กับจุดเกิดเหตุก่อนระเบิดขึ้นไม่นานมากหนัก โดยระยะเวลาห่างของการระเบิดทั้งสองครั้งห่างกันประมาณ 30 นาที หลังเกิดระเบิดยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคนร้ายหนีไปในทางไหน และยังไม่ทราบชื่อหรือที่อยู่ชัดเจน

ส่วนการจุดชนวนระเบิดในครั้งนี้ พบเศษชิ้นส่วนของนาฬิกาดิจิตอลตกอยู่ แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าใช้เป็นตัวจุดชนวนหรือแค่ต้องการตบตาเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เฝ้าจับตากลุ่มที่เคยก่อเหตุโดยใช้ระเบิดชนิดไปป์บอมจำนวน 2-3 กลุ่ม แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุล่าสุดมีส่วนเชื่อมโยงหรือไม่ และทำงานให้บุคคลใด แต่เชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้มีการวางแผนและทำงานอย่างเป็นขบวนการ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามจับกุมตัวโดยเร็วที่สุด
-----------------------
โฆษก ตร. ชี้ ต้นตอเผยแพร่แถลงการณ์อยู่ต่างจังหวัด ยังไม่ชัดกลุ่มไหน - เร่งเจรจาทางการทูตกับนิวซีแลนด์ จับตัว "ตั้ง อาชีวะ" 

พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบติดตามจับกุมผู้เผยแพร่แถลงการณ์ปลอมจากสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ว่า เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้มีความคืบหน้ามากแล้ว โดยสามารถรู้ต้นตอการส่งต่อหรือเผยแพร่ครั้งแรกแล้ว โดยเป็นการเผยแพร่ผ่านทางโชเชียลมีเดีย ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก เมื่อกลางดึกของคืน วันที่ 2 ก.พ. ในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่ยังไม่ทราบว่าผู้เผยแพร่เป็นกลุ่มใด หรือบุคคล และจุดประสงค์เพื่ออะไร ส่วนการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น ก็ยังไม่พบว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับเครือข่ายบรรพตแต่อย่างใด

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังกล่าวถึงการติดตามจับกุมตัว นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ที่ยังหลบหนีอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ว่า ได้มีการประสานและหารือในเบื้องต้นกับทางสถานทูตของนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยแล้ว เพื่อขอเจรจาใช้ช่องทางทางการทูต เนื่องจากไทยกับนิวซีแลนด์ไม่มีสนธิสัญญาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
---------------------
โฆษก ตร. เผย ศาลอนุมัติหมายจับมือบึ้มพารากอนแล้ว - เร่งตรวจสอบมือแพร่แถลงการณ์ปลอม 

พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีวางระเบิดบนทางเชื่อม BTS สยาม ว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับคนร้ายชาย 2 คนแล้ว ซึ่งแน่ใจว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยทั้ง 2 คนนี้ถือถุงสีส้มเข้าไปทางด้านหลังของจุดที่เกิดระเบิด คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดไปป์บอม คนที่ใส่เสื้อสีขาวคนแรกเป็นคนวางหน้าห้างพารากอนและคนที่ใส่หมวกสีดำเป็นคนวางที่บริเวณจุดบริการประชาชน

ทั้งสองคนนี้ได้ออกจากที่เกิดเหตุประมาณ 30 นาที ก็เกิดระเบิด ไม่ทราบว่าการจุดชนวนระเบิดนั้นเป็นแบบใด พบเพียงเศษนาฬิกาดิจิตอลเท่านั้นที่ตกอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุแต่ไม่ได้ชี้แน่ชัด ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มใดแต่คาดว่าน่าจะมีการทำงานกันเป็นทีม และมีกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ทำระเบิดนี้อยู่ 2-3 กลุ่มด้วยกันที่ต้องตรวจสอบดูอีกที

ส่วนข้อหาคือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิด พกอาวุธไปในที่สาธารณะ และการออกหมายจับเป็นเพียงการประกาศโดยใช้ภาพเท่านั้น

ส่วนเรื่องของแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมที่ปล่อยออกมาในวันที่ 2 ก.พ. 58 ช่วงเวลา 21.00 น. นั้น ขณะนี้ทราบผู้ที่ปล่อยแถลงการณ์ปลอมเบื้องต้นแล้ว และกำลังขยายผลเพิ่มเติม ส่วนเป็นใครนั้นยังไม่ขอเปิดเผย จะทราบว่าใครเป็นผู้ปล่อยออกมาในเร็ว ๆ นี้
-------------------
ดีเอสไอ เผย คดีระเบิดพารากอนทำงานร่วมกับ สตช. ไม่ยันเอี่ยวคดีมีนบุรี สมานเมตตาแมนชั่น ระบุยังไม่มีการรื้อคดีเก่า 

นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยถึงกรณีเหตุระเบิดบริเวณห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า กรณีดังกล่าว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักที่เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการสืบสวนในส่วนที่เกี่ยวข้องเช่นกัน ว่ากรณีดังกล่าวจะมีความเชื่อมโยงกับคดีพิเศษคดีเก่า ๆ ของดีเอสไอหรือไม่ ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเหตุดังกล่าวจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในย่านมีนบุรีและคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ รวมถึงยังไม่ได้มีการรื้อคดีแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้เป็นเพียงการทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อสืบสวนรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานในคดีเท่านั้น แต่หากการสืบสวนพบว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับคดีพิเศษคดีใด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติและดีเอสไอก็ต้องประสานงานกันอีกครั้ง

แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ในการทำงานและติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอีกสักระยะหนึ่งด้วย
------------------
รวบนักดนตรีทำแถลงการณ์ปลอมเผยแพร่ ฟัน 2 ข้อหา หมิ่นสถาบันและ พ.ร.บ.คอมฯ - โฆษก ตร. เตรียมแถลงรายละเอียด

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ที่ทำแถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 และมีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมาได้แล้ว โดยเป็นหนุ่มจังหวัดเพชรบูรณ์ มีอาชีพเป็นนักดนตรี และตอนนี้เจ้าหน้าที่คุมตัวสอบสวนอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เบื้องต้น เตรียมดำเนินคดี 2 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดความ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง
--------------------
ผบช.น. เผย คืบหน้าคดีระเบิดทางเดินสยามพารากอน หลังศาลอนุมัติหมายจับ เร่งติดตามจับกุมตัวแล้ว

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยหลังการประชุมความคืบหน้า คดีลอบวางระเบิดบริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องสงสัยตามกล้องวงจรปิดแล้ว 2 ราย ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบรถแท็กซี่ ที่คาดว่าผู้ต้องสงสัยใช้เป็นพาหนะในการหลบหนี ซึ่งก็พอทราบข้อมูลแล้วบางส่วนแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ด้านการตรวจสอบผู้ต้องหาที่เคยก่อเหตุมาก่อนหน้านี้ ก็เร่งตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ยังไม่พบว่ามีผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ด้านรูปร่าง ลักษณะท่าทางผู้ต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิด มีส่วนคล้ายกับผู้ต้องหาที่เคยก่อเหตุมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่จะใช้หรือไม่อย่างไรนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะลักษณะของการก่อเหตุในลักษณะนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ตั้งแต่มีการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งต้องทำการตรวจสอบต่อไป

ในส่วนการเพิ่มมาตรการในการดูแลพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดเหตุระเบิดนั้น ทางกองทัพได้มีการเรียกประชุมหารือด่วน เพื่อหาวิธีการดูแลป้องกัน โดยให้มีการเพิ่มมาตรการดูแลให้มากยิ่งขึ้น มีสายตรวจคอยตระเวณตรวจตามจุดเสี่ยงต่างๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังกล่าวอีกว่า มั่นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างแน่นอน เพื่อคืนความสุขและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทุกคน
-------------------------
ผบ.ตร. เผย หนุ่มเพชรบูรณ์ ปลอมแถลงการณ์ เป็นแนวร่วม นปช. แค่เผยแพร่ต้นตอทำในประเทศ 

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ภายหลังสอบปากคำ นายกฤษณ์ บุดดีจีน อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129 ถ.สามัคคีชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่แถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ผ่านทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่า ผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งทำงานและช่วยหัวหน้าแกนนำ นปช.จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ อยู่ในพื้นที่ เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อเอกสารดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นคนทำแถลงการณ์ขึ้นมาโดยรับมาจากแนวร่วม นปช.อีกคน และเจตนาโพสต์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นข้อมูลใหม่ จึงต้องการเผยแพร่ไปยังสมาชิกในเฟซบุ๊กที่มีอยู่กว่า 4 พันคน ให้รับทราบ ส่วนข้อเท็จจริงผู้ต้องหาจะเกี่ยวข้องอย่างไรนั้น กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน

ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยลิงค์กับทวิตเตอร์ในชื่อ NessOishii เมื่อเวลาประมาณ 21.33 น. ซึ่ง
จากหลักฐานที่ตรวจสอบพบว่า นายกฤษณ์ เป็นผู้เผยแพร่ต่อเอกสารดังกล่าวในระดับต้นๆ ส่วนผู้ผลิตหรือปลอมแปลงเอกสารขึ้นมานั้น ยังไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด แต่จากการตรวจสอบ URL พบ

ว่ายังอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ตามกฎอัยการศึก เป็นเวลา 7 วัน ส่วนข้อหาเบื้องต้น เตรียมดำเนินคดีข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ นำเข้าข้อมูลหรือเอกสารเท็จ
///////////
แม่น้ำห้าสาย

"คำนูณ" เผย "บวรศักดิ์" นำ รอง ปธ. กมธ.ยกร่าง, โฆษกฯ และ เลขาฯ เข้าร่วมประชุมแม่น้ำ 5 สาย รายงานความคืบหน้า

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า การประชุมร่วมแม่น้ำ 5 สาย ในวันนี้ ในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมีตัวแทนเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เลขานุการ และโฆษกฯ ซึ่งจะรายงานความคืบหน้าของการยกร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วเสร็จกว่าร้อยละ 50 ให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี สปช. สนช. รับทราบ

ทั้งนี้ นายคำนูณ ระบุว่า ยังไม่มีข้อติดขัดในการทำงานและการยกร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่ ข้อเสนอให้ตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษนั้น ทางคณะกรรมาธิการฯ ยังไม่ได้หารือกันในเรื่องดังกล่าว แต่คิดว่ารูปแบบของศาลนี้ สอดคล้องกับแนวทางของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ในการจัดตั้งศาลวินัยการคลังและงบประมาณในศาลปกครอง ซึ่งประธานกรรมาธิการยกร่างได้อธิบายในเรื่องดังกล่าวไปแล้วว่า การจัดตั้งศาลวินัยการคลังและงบประมาณ ในศาลปกครอง เพื่อเพิ่มช่องทางในการดำเนินการกับนักการเมือง ข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงที่ทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งจะช่วยอุดช่องว่างการดำเนินคดีทุจริตที่ปัจจุบันมีอยู่ 2 ช่องทาง คือการถอดถอนและการดำเนินคดีอาญา โดยศาลวินัยการคลังและงบประมาณที่ตั้งขึ้นใหม่นั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สามารถยื่นฟ้องตรงได้โดยตรง
------------------
"วิษณุ" แจงรายละเอียด กม.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พร้อมวิธีดำเนินการ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เป็นประธานการแถลงข่าว เรื่อง พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นเหมือนกฎหมายกลางที่จะกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาต การจัดให้มีช่องทางในการรับคำขอ ณ จุดเดียว และให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขออนุญาตกับประชาชน ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกและลดภาระให้แก่ประชาชนในการขอรับบริการจากภาครัฐ โดยมี นายพงษ์อาจ ตรีกิจวัฒนากุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) รักษาราชการแทน เลขาธิการ ก.พ.ร.และผู้บริหาร ก.พ.ร. เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
-------------------------
"วิษณุ" ชี้ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ มุ่งเน้นบริการ ปชช. แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น 

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงหลักการของพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ว่า หลักการของกฎหมายฉบับนี้

คือ

1. ได้มีการบังคับให้ทุกส่วนราชการ ทำคู่มือประชาชนในการติดต่อราชการและเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ
2. กรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องการขอเอกสารเพิ่มเติมจากประชานชนสามารถขอได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น
3. การขอพิจารณาอนุญาตต้องอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
4. ส่งเสริมทุกกระทรวงจัดตั้งศูนย์ one stop service center หรือ ศูนย์บริการร่วมและศูนย์รับคำขออนุญาตเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

ทั้งนี้ หน่วยงานราชการจะต้องทำคู่มือหรือชี้แจงไว้ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในการขอเอกสาร โดยจะนำร่องในกรมที่มีประชาชนใช้บริการมากที่สุด 10 กรม จาก 150 กรมก่อน ซึ่งในการดำเนินการ

หากมีเอกสารนอกเหนือจากคู่มือหน่วยงานราชการมีสิทธิเรียกร้องขอได้เพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นจะถือว่ามีความผิด และเอกสารดังกล่าวจะต้องผ่านการพิจารณาของ ก.พ.ร. และให้ ครม.ตรวจสอบด้วย โดยจะต้องตัดเอกสารที่ไม่จำเป็นออก

อย่างไรก็ตาม นายวิษณุ ยังกล่าวอีกว่า เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถปฏิรูประบบราชการได้ในระดับหนึ่ง และสามารถแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ ขณะเดียวกันประชาชนจะได้รับความสะดวกในการติดต่อและเจ้าหน้าที่ราชการจะมีความจริงใจในการบริการมากขึ้น
----------------------
"วิษณุ" ระบุ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาต เป็น 1 ในกระบวนการปฏิรูประบบราชการ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย แถลงข่าวเรื่อง พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ว่า กฎหมาย พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ถือเป็นกฎหมายหนึ่งในการปฏิรูประบบราชการ และมีความพยายามที่จะเสนอเพื่อจัดทำกฎหมายนี้ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ติดขัดด้านความร่วมมือกับภาครัฐ

ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้เสนอกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายแรก ๆ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน

อย่างไรก็ตาม ประชาชนจะต้องมีการติดต่อกับราชการจำนวนมาก โดยสามารถแบ่งเรื่องในการติดต่อได้ 2 ประเภท คือ การขออนุญาตในการประกอบอาชีพ และการติดต่อเพื่อขอดำเนินการบางอย่าง อาทิ การขอสร้างบ้าน เป็นต้น
---------------------
"อลงกรณ์" มั่นใจพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศไทย ชัดเจนในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.นี้ ย้ำ ปฏิรูปเร็ว คือภารกิจที่สำคัญ

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. กล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมวิป สปช. ว่า ที่ประชุมจะพิจารณาระเบียบวาระการประชุม โดยเฉพาะรายงานชุดที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมทั้งจะมีการหารือก่อนที่จะเข้าร่วมประชุมแม่น้ำทั้ง 5 สาย ในช่วงบ่ายวันนี้ โดย สปช. จะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดทำพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งจะมีความชัดเจนในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ รวมทั้งรายงานเรื่องวิสัยทัศน์ประเทศไทย ระบบการประสานงานและการสื่อสารระหว่าง สปช. กับแม่น้ำทั้ง 4 สาย ซึ่งก่อนหน้านี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานฝ่ายรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ได้หารือกันเบื้องต้นในเรื่องของการทำงานร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรีกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

อย่างไรก็ตาม ส่วนในเรื่องของโครงสร้างการปฏิรูปเร็วนั้น เป็นภารกิจสำคัญที่ สปช. ต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
------------------------
ตำรวจ-ทหาร ดูแลความปลอดภัยเข้มงวด ประชุมแม่น้ำ 5 สาย ติดตามความคืบหน้าตามแผนโรดแมป 

บรรยากาศก่อนการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ที่ประกอบด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้จัดการ

ประชุมขึ้นที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี เวลา 13.30 น. โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าแผนโร

ดแมปรายละเอียดการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้เกิดปัญหาในการนำส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยจะเสนอร่างแรกในเดือนเมษายนนี้ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2558 แต่ยัง

ไม่ได้ข้อสรุปการทำประชามติ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ว่าจะต้องทำประชามติ ขณะที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด มีทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ คอยดูแลบริเวณโดยรอบ
------------------------------
สปช. ตั้ง คกก.ประสานงานร่วมรัฐบาล-สนช.-กมธ.ยกร่างฯ นัดประชุมครั้งแรก 11 ก.พ. นี้ 

นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เปิดเผยผลการประชุมว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ได้ชี้แจงเรื่องการประสานงานกับ

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยตั้งคณะกรรมการประสานงาน
เพื่อทำงานร่วมกัน และจะเริ่มประชุมร่วมกันในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนการประชุมร่วมกันกับแม่น้ำทั้ง 5 สายวันนี้ นายเทียนฉาย ในฐานะประธาน สปช. จะชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สปช.ในภาพรวมว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง และขณะนี้มีเรื่องใดบ้างที่ยังอยู่ระหว่งดำเนินการ
----------------------------
ประชุมแม่น้ำ 5 สาย เริ่มแล้ว นายกฯ เป็นประธาน ตัวแทนแต่ละฝ่ายเข้าร่วมพร้อมเพรียง รปภ.เข้ม งดสื่อ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางมาเป็นประธานการประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ครั้งที่ 2 ซึ่งขณะนี้ มีตัวแทนของแต่ละฝ่ายทยอยเดินทางเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพียง อาทิ พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างฯขณะที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจดูแลรอบพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าติดตามการประชุม ให้เพียงเก็บภาพก่อนเริ่มต้นประชุมเท่านั้น
------------------------------
"อลงกรณ์" เผย สปช. เตรียมนำรายงานศึกษา วิสาหกิจเพื่อสังคม ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เข้าพิจารณาสัปดาห์หน้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. ระบุถึงแผนแม่บทที่จะเสนอต่อแม่น้ำทั้ง 5 สาย ที่จะครอบคลุมกระบวนการปฏิรูปประเทศ และการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง สปช. ได้จัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปประเทศ 3 ระยะ ประกอบด้วย การดำเนินการตามกรอบโครงสร้างการปฏิรูป ซึ่งต้องแล้วเสร็จใน 1 เดือนแบบแม่บทการปฏิรูปโครงสร้างและระบบ ซึ่งต้องแล้วเสร็จใน 3 เดือน  และแผนแม่บทการปฏิรูปด้านกฎหมาย ซึ่งต้องแล้วเสร็จใน 6 เดือน โดยแผนแม่บททั้ง 3 ระยะ จะต้องเสร็จก่อนวันลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

โดยในวันที่ 9 ก.พ. นี้ จะมีการบรรจุวาระสำคัญเรื่องการรายงานของคณะกรรมการศึกษาและจัดทำรายงานเรื่อง วิสาหกิจเพื่อสังคม พร้อมทั้งร่างกฎหมายเรื่องการรายงานการศึกษาวิจัย เรื่องวิสาหกิจ
เพื่อสังคมและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการนำกลไกการบริหารจัดการของภาคเอกชนที่มีประสิทธิภาพมาใช้จัดการองค์กร โดยมีวัตถุประสงเพื่อมุ่งนำผลกำไรไปช่วยเหลือสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการปฏิรูปที่เป็นประโยชน์ในการออกนโยบาย และการริเริ่มเชิงยุทธศาตร์
-----------------------------
นายกฯ เปิดการประชุม แม่น้ำ 5 สาย ระบุ เป็นโอกาสดี ในการได้พบปะหารือกัน เพื่อติดตามความคืบหน้าตามโรดแม็ป

บรรยากาศการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ครั้งที่ 2 ที่สโมสรทหารบกวิภาวดี ซึ่งประกอบด้วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะ

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ล่าสุดอยู่ในระหว่างการประชุม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมว่า ถือเป็นโอกาสดีในการพูดคุยร่วมกันระหว่างแม่น้ำทั้ง 5 สาย

โดยในวันนี้จะติดตามความคืบหน้าในการทำงานตามโรดแมปของ คสช.และรัฐบาล เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย นำไปสู่การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องยึดหลักสากล อีกทั้งได้รับการยอมรับ

จากทุกฝ่าย โดยการประชุมในครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์และหาข้อตกลงร่วมกัน และให้ทุกฝ่ายรายงานความคืบหน้าของแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเสนอปัญหาที่พบให้

ที่ประชุมรับทราบ
------------------------
"พล.อ.ประวิตร" เชื่องานเสร็จตามโรดแมป มท.1 ห่วงร่าง รธน.ใหม่ บางเรื่องทำยาก

ภายหลังจากการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า การประชุมวันนี้ ถือเป็นการทำความเข้าใจการทำงานร่วมกันของแม่น้ำทั้ง 5 สาย และเชื่อว่างาน
จะเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ ขณะเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในส่วนของคณะรัฐมนตรี ได้นำเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาหารือในที่

ประชุม ซึ่งมีความกังวลกับบางข้อเสนอที่เป็นไปได้ยาก สำหรับข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่เสนอมายังคณะรัฐมนตรี และรัฐบาลนั้น ไม่ใช่มติ แต่ สปช. มีหน้าที่เสนอมาอยู่แล้ว
---------------------
"คำนูณ" เผย นายกฯ เน้นยกร่าง ม.ค. - มี.ค. ให้ฟังความเห็นประชาชน ยังไม่มีการพูดถึงประชามติ

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ว่า เป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่ง

ชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 โดยในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม เนื่องจากเป็น 3 เดือนแรก ที่มีการว่างเว้นการพิจารณา เพราะ

ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย

นอกจากนี้ ประธาน สนช. ได้เสนอให้กรรมาธิการยกร่างฯ ส่งร่างรัฐธรรมนูญ ให้ สนช.พิจารณา ภายหลังจากที่พิจาณาแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งประธานกรรมาธิการยกร่างฯ ก็รับข้อเสนอ

ดังกล่าวไปหารือในที่ประชุมต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมครั้งนี้ ไม่มีการพูดคุยถึงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใด

///////////
ถอดถอน269ส.ส.

"ปานเทพ" คาดสรุปคดีถอดถอนอดีต ส.ส. 269 รายเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. ได้ ภายในกลางเดือนนี้ พร้อมเสียบบัตรแทนกัน  

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า คณะทำงานในคดีถอดถอนอดีต ส.ส. 269 ราย จากกรณีแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่มาของ ส.ว. โดยมิชอบ ได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว โดยจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มความผิด ซึ่งคาดว่าคณะทำงานจะสามารถสรุปคดีเข้าที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช.
พิจารณาได้ภายในกลางเดือนนี้ หลังจากนั้นจึงจะส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการต่อไปทั้ง 3 กลุ่มความผิด

ส่วนกรณีการดำเนินคดีอาญากับ ส.ส. ที่เสียบบัตรแทนกันนั้น ก็คาดว่าจะสรุปเข้าที่ประชุม ป.ป.ช. ในช่วงเดียวกัน เพื่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป โดยในกรณีดังกล่าวจะมี ส.ส. ที่

ถูกดำเนินการทั้งในส่วนของการถอดถอนและดำเนินคดีอาญาด้วย
-------------------
หัวหน้าคณะทำงานอัยการเผยอยู่ในช่วงร่างคำฟ้องคดีโกงรับจำนำข้าวใกล้แล้วเสร็จก่อนส่งฟ้องต่อศาลฎีกานักการเมือง

นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานการร่างคำฟ้องดำเนินคดีอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ฐาน

ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)

มาตรา 123/1 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า คณะนี้คณะทำงานยังอยู่ในขั้นตอนการร่างคำฟ้องอยู่ แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่นอนได้ว่าแล้วเสร็จเมื่อไหร่ขึ้น

อยู่กับคณะทำงาน แต่คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จะแล้วเสร็จ หากเมื่อทางคณะทำงานร่างคำฟ้องเสร็จแล้ว ก็จะส่งให้ อสส. ตรวจคำฟ้องก่อน ประสานให้ ป.ป.ช. นำตัวมาฟ้องต่อศาลฎีกาฯ นักการ

เมืองต่อไป
//////////////
ต่างประเทศ/มั่นคง

ผู้ช่วย ผบ.ทบ. สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หวังเพิ่มยุทโธปกรณ์ทันสมัย

พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางการวิจัยและพัฒนาระหว่างกองทัพบก กับสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา

ซึ่งการลงนามเพื่อประสานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศและการดำเนินการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

ขณะเดียวกันเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศโดยการทดแทนและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากต่างประเทศ เนื่องจากได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีทางการ

ทหารที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างการจัดหน่วยและยุทโธปกรณ์ให้มีความทันสมัย และสามารถเผชิญกับภัยคุกคามและยุทธศาสตร์การป้องกัน

ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
//////////////////

รมต.สำนักนายก ประสานทุกหน่วยงาน ส่งเอกสารผลงานให้กรมประชาสัมพันธ์ เผยเเพร่สู่สาธารณะ

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ขอความร่วมมือไปยังทุกกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำเอกสาร

สรุปผลการดำเนินงานตามภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และการให้บริการประชาชน ตลอดจนผลงานตามแนวนโยบายรัฐบาลที่สมควรเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบโดยขอให้

ทุกกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดส่งให้กรมประชาสัมพันธ์ทุกต้นสัปดาห์ สำหรับในส่วนภูมิภาคให้จังหวัดจัดส่งให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจารณาดำเนินการ

เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารแก่สาธารณชนได้ทราบ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และเพื่อการรายงานข้อมูลข่าวสารของทางราชการอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ

ไม่มีความคิดเห็น: