PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ย้อนอ่านบันทึก แพทย์ทหาร เหตุการณ์สังหารโหด 10 เมษายน 53 กลางสี่แยกคอกวัว

ย้อนอ่านบันทึก แพทย์ทหาร เหตุการณ์สังหารโหด 10 เมษายน 53 กลางสี่แยกคอกวัว เจ้าของเพจ คุณหมอ Weerawong Sangphosuk ซึ่งในวันนั้นได้อยู่ในเหตุการณ์ Killing Field เขียนได้ดี เห็นภาพ และ ความรู้สึกของ จนท.ทหาร ทั้งหมอ ทั้งคนเจ็บ และในฐานะคนไทย ที่เจอเหตุการณ์คนไทยฆ่ากันเอง
" ผมในฐานะแพทย์ทหารคนหนึ่ง ที่ปฎิบัติงานในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 อยากจะเขียนบันทึกความทรงจำ เหตุการณ์ในวันนั้น เพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ หรือเป็นสิ่งเตือนใจให้แก่ตนเอง และประชาชนชาวไทย ไม่ให้ลืมเลือน บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ไปกับกาลเวลา
ผมได้รับภารกิจในฐานะ ผบ.มว.สร.พัน.ร. (ผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ) หรือก็คือแพทย์ทหารประจำกองพัน หน้าที่ของผม คือติดตามดูแลกำลังพล เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค การส่งกำลังบำรุงทางสายแพทย์ รวมถึงงานอื่นๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ผมมาภารกิจในครั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 53 ย้ายสถานที่พักไปตามภารกิจต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตั้งด่านตรวจ และเฝ้าระวังเหตุร้าย ตามสถานที่สำคัญ เช่น ที่ ร.1 พัน.1 รอ., ร.11 รอ., สนามบินสุวรรณภูมิ, ลาดหลุมแก้ว และที่สุดท้าย คือ สี่แยกคอกวัวบริเวณถนนตะนาวศรี (ข้างวัดบวรนิเวศฯ ย่านบางลำภู) ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. 53
หน่วยของเราได้รับภารกิจ ในการขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ออกจากที่ตั้งปกติ โดยรู้ก่อนล่วงหน้าไม่ถึง 1 ชม. หลังจากเข้าที่รวมพล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกคอกวัวไม่นาน ก็ต้องเคลื่อนย้ายราวสักบ่ายโมง ผมขึ้นบนหลังคารถฮัมวี่คันแรกสุด (หากใครเห็นในรูปถ่าย ก็คงจะเห็นทหารคนหนึ่ง บนหลังคารถฮัมวี่ที่ติดปลอกแขนกาชาด ถือโล่บังตัวเอง นั่นก็ผมล่ะครับ) จนกระทั่งถึงบริเวณถนนตะนาวศรี กำลังพลรวมทั้งผู้พันก็ลงจากรถ ไปตั้งแนวโล่หน้ากลุ่มผู้ชุมนุม ผู้พันผมบอกให้ผมรออยู่ในรถก่อน เนื่องจากกลัวว่าผมอาจโดนสิ่งของขว้างปา มาจะเกิดอันตราย ซึ่งอีกไม่นานก็เกิดขึ้นจริงๆ ทหารของเราตั้งแนวโล่ มีเพียงชุดเกราะป้องกัน (ผมเรียกว่า ชุดโรโบคอป) หมวกกันน๊อค โล่ และกระบองป้องกันตัว เราถูกกลุ่มผู้ชุมนุมปาของทุกอย่างที่คิดว่าจะปาได้ ทั้งขวดเบียร์ ขวดกระทิงแดง ไม้ อิฐบล๊อค กระถางต้นไม้ บันได ขวดน้ำ ฯลฯ อีกสารพัด รถบางคนกระจกถูกปาแตก แต่อาจเป็นเพราะรถฮัมวี่ของผม คงจะแข็งมากมั้งครับ กระจกเลยไม่เป็นไร
หลังจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มเห็นมีคนเจ็บ จากของที่ถูกขว้างปา เลยตัดสินใจบอกพลขับว่า ผมจะลงจากรถไปดูคนเจ็บ ฝากตอบ ว. (วิทยุ) ให้ด้วยนะครับ หลังจากนั้นก็ลงไปดูคนเจ็บและสถานการณ์อยู่หลังแนวโล่ ซึ่งในระหว่างนั้น ก็ต้องคอยหลบซ้าย หลบขวา ก้มหัว หลบบรรดาสิ่งของที่ขว้างมา แต่ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ผมโชคดีมาก เพราะหลังจากผมตัดสินใจ ลงจะรถไม่นาน กลุ่มผู้ชุมนุมก็รุกไล่แนวโล่ มาจนถึงรถฮัมวี่ ที่ผมเคยนั่งอยู่ก่อนไม่ถึง 5 นาที ทุบรถ ทุบกระจก แล้วขึ้นไปบนช่อง ของพลสังเกตการณ์ (บนเพดานรถจะมีช่องไว้สำหรับให้ทหารนั่งคอยสังเกตการณ์ หรือติดปืนกล แต่นี่เป็นรถธุรการ ของผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ฮัมวี่รบ เลยไม่ได้ติดอาวุธ) พลขับของผมถูกผู้ชุมนุม ใช้เท้ายันศีรษะ กับพวงมาลัยรถ ลากลงมารุมกระทืบ แล้วจ้วงแทงด้วยมีด แต่เขาก็ยังโชคดีมาก ที่ใส่เกราะ มีดเลยไม่เข้า ไม่อย่างนั้นก็คงไส้ทะลักแน่ๆ
ผมทำหน้าที่ช่วยกัน กับทหารและนายสิบพยาบาล ลำเลียงผู้ป่วยจากด้านหน้าแนว มาไว้ที่รวบรวมผู้ป่วยเจ็บด้านหลัง ซึ่งผมกำหนดไว้ที่ริมกำแพง ข้างวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นการปะทะกัน ของแนวโล่ กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ป่วยเจ็บส่วนใหญ่ จึงมักเกิดจากการขว้างของแข็งเข้าใส่ มีบาดแผลแตก หรือบาดแผลที่ศีรษะ รวมทั้งผู้ป่วย ที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนกทำให้ เกิดอาการหายใจเร็วเกินไป (ผมขอเรียกตามศัพท์ทางแพทย์ว่าHyperventilation syndrome) ในส่วนของผมมีผู้ป่วย อยู่ในเวลานั้นประมาณ 20-30 คน การทำงานชุลมุนมาก เพราะเรามีคนน้อย แค่ผมกับนายสิบพยาบาล รวมกันไม่ถึง 6-7 คน แต่ต้องขอขอบคุณพี่ๆน้องๆกู้ภัย เจ้าหน้าที่ EMS ของวชิรพยาบาล รวมทั้งพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนละแวกนั้น ที่ให้ความช่วยเหลือ คอยติดต่อ เอารถกู้ภัยมารับคนป่วยไป รพ.ศิริราช และ รพ.วชิรพยาบาล คุณยายบางคนไม่รู้จะช่วยยังไง ก็ควักยาดมให้ พี่ๆหลายคน ก็วิ่งไปหาน้ำเย็น น้ำแข็ง ผ้าเย็น แอมโมเนีย ให้คนไข้ หรือแม้แต่น้องผู้หญิง ตัวเล็กๆคนนึงที่ผมจำได้ดี น้องเค้าวิ่งหาท๊อฟฟี่ คอยแจกพี่ๆทหารและคนที่มาช่วย พนักงานเดอะพิซซ่า ก็คอยเอากระดาษลังมาพัดให้ผู้ป่วย
แต่มีนายสิบกับพลทหาร อีกคนหนึ่งของหน่วยผม ที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่บริเวณต้นขา ถามเขาบอกว่าเขาอยู่ บริเวณแถวหน้าสุดของแนวโล่ มีการ์ด นปช. คนนึงถูกยิงด้วยกระสุนยาง ที่ไหล่ เขาโมโห เขาพูดว่า “moong ยิง goo เหรอ” หลังจากนั้นก็ชักปืนพก 11 มม. ยิงใส่ทหาร ถูกนายสิบคนหนึ่ง มีบาดแผลรูกระสุน ที่ต้นขาซ้าย และถูกพลทหารอีกคน ที่บริเวณขา ผมได้ทำการห้ามเลือด ด้วยผ้าแต่งแผล และสายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) แล้วส่งรถกู้ภัยต่อ
หลังจากเหตุปะทะช่วงแรกสักราวๆ 1 ชม. ทั้ง 2 ฝ่ายก็เจรจากัน ผู้ชุมนุมขอให้ทหารถอยออกไป ส่วนทหารขอให้ผู้ชุมนุมถอย เพื่อลากเอารถที่เสียหายออกมา ก็ตกลงกันได้ ต่างฝ่ายจึงถอยออกห่างจากกันประมาณ 20 เมตร ซึ่งช่วงนั้นผมและเจ้าหน้าที่ ได้ทำการลำเลียงผู้ป่วยเจ็บ ออกไปได้หมดแล้ว ทั้งผู้ชุมนุมและทหาร ก็ต่างนั่งพักตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ของตน
ในระหว่างนั้น มีประชาชนเอาน้ำ เอาของกิน เอาผ้าเย็นมาให้ ทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุม เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ถึงราวๆหกโมงเย็น (หลังเคารพธงชาติ) ทางทหารจึงได้รับคำสั่ง ให้ทำการขอคืนพื้นที่ชุมนุมอีกครั้ง โดยตั้งขบวนแถวแรกจำนวน 1 กองร้อย ด้วยแนวโล่และกระบอง และมีกำลังด้านหลังมีปืน M16 เพื่อทำการยิงขู่ขึ้นฟ้า ในกรณีที่จำเป็น กำลังของทหารสามารถผลักดัน ผู้ชุมนุมให้ถอยร่นจาก บริเวณปากทางเข้าถนนข้าวสาร จนเกือบจะถึงถนนราชดำเนินนอก ซึ่งตอนนั้นผมอยู่หลัง กองร้อยที่อยู่ด้านหน้า (ชุดโรโบคอป โล่ กระบอง) โดยมีผู้บังคับกองพันและผู้บังคับการกรม คอยสั่งการอยู่ด้านหน้าของผม (หลังแถวกองร้อย)
ลักษณะการจัดแนว จะเป็นแถวหน้ากระดานประมาณ 4-6 แถว ขณะนั้นผมอยู่ที่ริมฟุตบาทถนนข้าวสาร ในระหว่างนั้นผู้ชุมนุม เริ่มมีการใช้อาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ ขว้างระเบิดเพลิง (โมโรตอฟ) จนกระทั่งมีการเปิด ถังแก๊สใส่ทหาร (โชคดีที่ไม่มีใครจุดไฟ มิเช่นนั้นทหาร รวมทั้งผมคงถูกไฟคลอกตายแน่) จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สุดก็เกิดขึ้น …
ผมจำได้ติดตาเลยว่า ตอนนั้นมีระเบิดควัน ลูกหนึ่งโยนมาตก ที่บริเวณแถวทหารหน้าสุด ซึ่งตอนแรกทุกคนคิดว่า เป็นแก๊สน้ำตา จึงรีบนำผ้าพันคอปิดจมูก และเตรียมถอยกลับออก แต่ตอนนั้น ทั้งทหารและผมก็โดนแก๊สน้ำตา 3-4 ครั้งแล้ว จึงรู้โดยทันทีว่า นั่นไม่ใช่แก๊สน้ำตา เป็นระเบิดควันเฉยๆ ผมได้ยินเสียงผู้พันสั่งว่า .”ไม่ใช่แก๊ส ไม่ต้องถอย ตั้งแนวต่อไป” แถวทหารก็เริ่มตั้งแนว และผลักดันต่อ ผมเองก็ค่อยๆเดินตามหลัง แถวทหารไป หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น บริเวณหน้าแถวทหาร (ห่างจากเท้าของทหารแถวแรกไม่กี่เมตร)
ผมยอมรับตามตรงว่า ทั้งชีวิตไม่เคยเห็นระเบิด M79 มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นคล้าย กับประทัดยักษ์ระเบิดที่พื้นถนน แต่ปกติประทัดยักษ์ ควรจะมีแต่เสียงดังกับควัน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีประกายไฟกระจายออกมาด้วย ผมก็คิดอยู่ว่า “ทำไมประทัดมันมีประกายไฟด้วย” จุดที่ระเบิดตกห่างจากผมไปราวๆ 10 เมตร หลังจากนั้น ก็มีอีกลูกหนึ่งตกหลังผม ไปทางหน้าแนวทหารที่ 2 ผมได้ยินเสียงผู้การสั่งว่า “มันเล่นของจริง ทุกคนถอย” หลังจากนั้นแถวของเรา ก็แตกถอยมาด้านหลัง นายสิบพยาบาลของผม คนหนึ่งดึงผมให้หลบออกมา ทางฟุตบาทให้หลบ ผมหันหลังกลับมาทางถนน เห็นคนเจ็บนอนเลือดอาบ อยู่ราวๆ 10-20 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นทหาร เป็นลูกน้องในกองพันของผม บางคนเมื่อวานเพิ่งมาขอยา บางคนยังเคยกินข้าวด้วยกันไม่นานนี้เอง
ตอนนั้นผมยอมรับจริงๆว่า เบลอไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป ทำด้วยสัญชาตญาณ ภาพที่เห็นคือทหารนอนเลือดอาบ ตาลอย ตามร่างกายมีสะเก็ดระเบิด และบางคนมีรูกระสุนปืนด้วย เพื่อนทหาร ต่างพากันช่วยลากออกมา จากจุดที่ระเบิด ร้องเรียก “หมอ ช่วยด้วย” “หมอ ดูเพื่อนผมด้วย” “หมอ หมอ ช่วยเพื่อนผมด้วย” บรรยากาศตอนนั้น หลายท่านคงเห็นจากในคลิปวีดีโอหรือในสื่อต่างๆ แต่ ณ สถานที่เกิดเหตุจริง มันยิ่งกว่านั้น มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งตกใจ ทั้งหดหู่ ทั้งเศร้าใจ แม้ว่าผมจะเป็นแพทย์
แต่สิ่งที่ทำได้ผมก็ทำได้ เพียงเข้าไปช่วยลากคนเจ็บ เข้าไปช่วยกันห้ามเลือด ด้วยผ้าพันคอ เพราะตอนนั้นทั้งตัว ไม่มีอุปกรณ์อะไรติดตัวเลย มีแต่ stethtoscope (หูฟัง) ไม่มีสายรัดห้ามเลือด ไม่มีผ้าพันแผล สมัยเป็น นพท.ปี6 ผมเคยเรียนวิชาเวชปฎิบัติการยุทธ (ปฎิบัติการเพชราวุธ) ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้คือ Care under fire แต่ผมเพิ่งจะเข้าใจจริงๆ ว่า หัวใจของcare under fire คือ เอาชีวิตตัวเองให้รอด แล้วเอาคนเจ็บ ออกจากบริเวณสังหาร (Killing zone) ให้เร็วที่สุด ลืมเรื่องการปฐมพยาบาล ลืมเรื่อง primary survey หรือ ABCD ที่เคยเรียนไปได้เลย เพราะขณะช่วยเอาคนไข้ออก ก็มีทั้งระเบิด M79 ระเบิดขว้างลูกเกลี้ยง M26 เสียงปืน (ตอนหลังเพื่อนผู้หมวดบอกว่าเขามีทั้ง M16, AK47 และปืนพก)
ขณะนั้นรถกู้ภัย รถพยาบาล จอดอยู่บริเวณหัวถนนตะนาว ใกล้กับวงเวียนบางลำพู รถไม่กล้าขับเข้ามา เพราะยังมีระเบิดตกอยู่เรื่อยๆ และมีเสียงปืนดังอยู่ตลอด จากฝั่งผู้ชุมนุม ผมวิ่งไปเรียกตรงกลางทาง ให้รถพยาบาลเข้ามา (แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่กล้า ขับรถเข้ามาหรอก) ขอบคุณพี่ๆกู้ภัยหลายคน ช่วงนั้นที่เสี่ยงตาย วิ่งเข้ามาช่วยพวกเรา ลากผู้ป่วย ตอนนั้นผู้ป่วยทั้งหมด ถูกลำเลียงออกมารวมกัน บริเวณเกาะกลางถนนตรงแยกบางลำพู ผมช่วยกันลำเลียงผู้ป่วยออกมาได้ 2-3 คน ใส่รถกู้ภัย หลังจากนั้นพอจะกลับเข้าไปช่วย
สิ่งที่เห็นก็คือฝ่ายตรงข้าม ก็ยิงระเบิดไล่หลังมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงหัวถนนตะนาว ตรงหัวมุมวัดบวรนิเวศฯ ทหารฝ่ายเราต้องเริ่มคว้าปืน มายิงคุ้มกันให้พวกที่ลำเลียงผู้ป่วย ออกมาตรงฟุตบาท 2 ข้างของถนนตะนาว ผมไม่สามารถเข้าไป ในบริเวณถนนตะนาว ได้อีกแล้วเพราะบริเวณนั้นกลายเป็น killing zone ผมจึงต้องหลบอยู่หลัง รถกู้ภัยตรงวงเวียนบางลำพู (พร้อมๆกับบอกให้พี่ๆ กู้ภัยก้มหัวหมอบ ต้องเอาชีวิตตัวเองรอดก่อน ไปช่วยคนอื่น) จุดนั้นมีการปะทะอยู่นานประมาณ 15-20 นาที
ฝ่ายอำนวยการของผม แจ้งให้ทราบในภายหลังว่า นับระเบิด M79 ได้เกือบ 15 ลูก ระเบิดขว้าง M26 อีก 2 ลูก รวมทั้งมีพลทหารคนหนึ่ง ซึ่งผมไปรับหลังจากกลับจาก รพ. บอกผมว่า เขาเห็นแสง laser pointer สีเขียวคอยส่องอยู่ แถวศีรษะของทหารแถวหน้า คาดว่าน่าจะมีคนซุ่มยิงมาจากบริเวณอาคารสูง บริเวณแยกคอกวัว แต่คงไม่พบเป้าหมาย ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา เพราะแต่ละคน ต่างกระจาย ไม่รวมกัน และมี รปภ. คุ้มกันไม่มากนัก หลังจากนั้นเราได้ลำเลียงผู้ป่วย ทั้งหมดขึ้นรถพยาบาลได้หมด ฝ่ายนั้นเริ่มยิงตอบโต้มากขึ้น ผมเห็นไม่ปลอดภัยจึงขอให้รถกู้ภัย รวมทั้งรถจี๊ปพยาบาลไปหลบอยู่ในซอยบางลำภู ฝ่ายนั้นก็ยังคงพยายาม ยิงระเบิดใส่ท้ายขบวนรถของเรา ที่จอดอยู่ถนนริมวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งคาดว่าหากไม่มีทหารของเรา ที่คอยยิงคุ้มกัน ตอนลำเลียงผู้ป่วยและถอยกลับ รถหลายคันคงถูกยิงระเบิด ทหารและประชาชนแถวนั้น คงตายอีกเป็นจำนวนมาก
ต่อมาผู้บังคับหน่วยของเรา จึงขอหน่วยเหนือ ในการถอนกำลัง ซึ่งกว่าจะเคลื่อนย้ายออกไปได้หมด ก็ต้องใช้เวลานาน เพราะรถมีจำนวนมาก และการจราจรแถวนั้น ก็ถูกปิดกั้นบางส่วน แถมตอนเราถอนตัว ฝ่ายตรงข้ามก็ยังพยายาม ยิงระเบิดใส่พวกเราอีกด้วย ในช่วงก่อนถอนตัวผมจำได้ว่า มีเด็กวัยรุ่นใส่เสื้อแดง 2 คน ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดข้างๆ รถจี๊ปพยาบาล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วโมโหว่า “หน่วยพยาบาล คงไม่โดนอะไรหรอกมั้ง มีคนตายด้วย พวกพี่ยิงคนเหรอ”
ผมยอมรับว่า แม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่ คนอารมณ์ร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ที่ประสบ ผมเลือดขึ้นหน้า อารมณ์ตอนนั้นคุกรุ่นเต็มที่ ผมพูดจริงๆ ผมอยากลงไปต่อยเด็กคนนั้น แต่ผมก็อดทน แล้วตอบกลับไปว่า“แล้วทีพวกน้องยิงระเบิดใส่พวกพี่ล่ะ น้องยิงทั้งระเบิด น้องขว้างทั้งระเบิด แถมเอาอาวุธสงคราม ยิงใส่ทหาร ทหารแถวหน้าเค้ามีแต่โล่กับกระบอง ป้องกันตัวเองอะไร ไม่ได้เลย เค้าก็มีครอบครัว มีลูกมีเมีย แล้วนี่ที่ทหารยิง ก็เพื่อคุ้มกันคนเจ็บ กับตอนถอนตัว แล้วน้องจะให้ทหารเอาโล่ กับกระบองไปไล่ตีไอ้พวก ที่ยิงระเบิดใส่หรือไง น้องไส..หัวไปเลย ไส..หัวไปหลบระวังลูกหล งจากระเบิดที่พวกน้องยิงมาด้วยแล้วกัน”
เด็กคนนั้นอึ้งไปแล้ว ก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกไป เราถอนตัวออกจากจุด ตรงแยกคอกวัวเป็นหน่วยสุดท้าย กลับที่ร่วมพลเดิม ซึ่งก็หลงทางไป ทางวังสวนจิตรลดา เนื่องจากเราไม่ใช่ทหารกรุงเทพ จึงไม่รู้เส้นทาง คืนนั้นพอผมกลับมาได้ พบกับผู้พัน พบกับผู้กองและเพื่อนผู้หมวด จึงได้รู้ว่า ในขณะที่หน่วยของผมถอนตัว ออกมาทางถนนตะนาว มีอีกกองร้อยที่ต้องถอยร่น ออกมาทางถนนข้าวสาร โดยมีผู้บังคับกองพันอีก 2 คน และรองผู้บังคับกองพันอีกคน ผู้พันคนหนึ่งถูกยิง จากฝั่งตรงข้ามเข้าที่สีข้าง เนื่องจากฝ่ายตรงข้าม กราดยิงปืนซึ่งคาดว่าเป็น M16 เพื่อนผมบังผู้พันของเขา อยู่แต่กระสุนเฉี่ยวข้างตัว ไปถูกผู้พัน แต่ที่น่าเศร้าคือ มีนายสิบของต่างหน่วย อีกคนถูกยิงทะลุหมวกเหล็ก เสียชีวิตคาที่ นายสิบที่เป็น รปภ. หลายคนก็ถูกยิงเข้าที่ขา
โชคดีมากๆ และต้องขอขอบคุณ เจ้าของผับแห่งหนึ่ง ที่ถนนข้าวสาร ที่เปิดร้านนำคนเจ็บ เข้ามา ให้เด็กในร้าน ช่วยปฐมพยาบาล ทำแผล ห้ามเลือด ปิดประตูหน้าร้าน และติดต่อตำรวจและรถกู้ภัย ให้มารับที่หลังร้าน ซึ่งทะลุออกทางถนน อีกเส้นหนึ่ง มีทหารประมาณ 1 กองร้อยที่ไม่สามารถออกมาขึ้นรถได้ เพราะหลงเข้าไป ในถนนข้าวสารและถูกปิด ทางด้านถนนตะนาวไว้ ก็ต้องวิ่งออกมา ทางถนนสามเสนไปยัง ที่รวมพลซึ่งอยู่ห่างเกือบ5 กม. แต่อย่างไรก็ตามทุกคนปลอดภัยดี (ขณะนี้ผมได้ไปเยี่ยมทหารทุกคนที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ทุกคนปลอดภัยดี และออกจาก ICU ได้หมดแล้ว)
ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ โทรศัพท์มือถือ ของผมแบตหมด พอกลับมาชาร์ทแบต ก็พบว่ามีหลายคนโทรเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมที่ วพม. ผมโทรกลับไปจึงทราบว่า มีนายทหารหลายคนถูกระเบิด หนึ่งในนั้น arrest (เสียชีวิต) ก่อนมา รพ. ต่อมา CPR (ปั๊มหัวใจ) ขึ้น และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองด่วน ซึ่งนายทหารคนนั้น เป็นเพื่อนกับอาจารย์ ที่พระมงกุฎของผม แต่อาจารย์จำผิด คนคิดว่าเป็นผู้บังคับกองพันของผม จึงรีบโทรหาผม แต่มือถือผมแบตหมด จึงให้เพื่อนติดต่อ ในภายหลังจึงทราบว่าคือ พี่เปา (พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) ซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับผู้พัน ของผม คืนนั้นผมกินข้าวไม่ลง กว่าจะนอนตาหลับได้ ก็เกือบตี 3 ซึ่งภายหลังอาจารย์ก็โทรมาบอกว่า พี่เปาเสียแล้ว ให้บอกผู้พันผมด้วย ผมหลับไปกลางพื้นโรงเก็บรถ ที่ที่รวมพล ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมง ผมไม่ฝันร้าย แต่ผมอยากให้เรื่องที่ ผมจำได้มันเป็นแค่ความฝัน
วันรุ่งขึ้นผมได้ไป รพ.พระมงกุฎ เพื่อติดตามผู้ป่วย และประสานงานกับอาจารย์ที่ รพ.พระมงกุฎ วันนั้นเองผมได้ทราบว่า มีทหารของผมเกือบ10 คนที่บาดเจ็บ ตอนปะทะช่วงแรกและที่ถูกสะเก็ดระเบิด บาดเจ็บเล็กน้อย ที่ส่งไป รพ.วชิรพยาบาล จ่าคนหนึ่งติดต่อมาว่า เขาติดอยู่ที่วชิรพยาบาล แต่มีเสื้อแดงมาปิดล้อม ทหารบางคน ที่บาดเจ็บไม่มาก ทาง ER ให้คัดแยกอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พอผู้ชุมนุมเสื้อแดง มาส่งคนป่วยของเขาที่เจ็บ ก็มาไล่กระ..ทืบทหารของผมที่นอนอยู่ ทหารต้องหนีตาย บางคนต้องปีนดาดฟ้าหนี แต่ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.วชิรพยาบาล ที่ช่วยกันพาทหาร ไปหลบที่บริเวณที่ปลอดภัย หลัง รพ. หาชุดไปรเวทให้ใส่ และให้พักอยู่ในบริเวณ ที่ปลอดภัยไปก่อน ทหารบางคนเล็ดลอด ออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือ จากหน่วยกู้ภัย ที่เอาเสื้อเครื่องแบบใส่ทับให้ขึ้นรถกู้ภัย เอาวิทยุกับอุปกรณ์ออกมาใส่กระเป๋า EMS แล้วมาส่งให้ที่รวมพล
ผมเห็นทหารหลายๆ คนเจ็บ เห็นทหารที่เป็นลูกน้อง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็บ ผมอาจจะโชคดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร (แต่ตอนหลังมาคิดก็ยังคิดอยู่เลยว่า รอดมาได้ยังไงเนี่ย ) แต่บาดแผลในจิตใจ ก็มีอยู่ในหัวใจทหารทุกๆคน ผมน้ำตาซึมทุกวัน ที่ไปเยี่ยมลูกน้องที่เจ็บ ผมเห็นผู้การ รองผู้การ ผู้พันของผมพยายาม กลั้นน้ำตาทุกครั้งที่ เห็นลูกน้องตัวเองเจ็บ) เฉพาะหน่วยของผม มีคนเจ็บที่ต้องนอน รพ. เกือบ 80 คน บาดเจ็บเล็กน้อยที่ไม่ได้นอน รพ. อีก 60 กว่าคน
ผมขอเถอะครับ … มีประชาชนบางคน ถามผมว่าผมโกรธเสื้อแดงมั้ย ผมแค้นเค้ามั้ย ผมตอบไปว่า แม้ผมจะรู้สึกโกรธ แต่ผมแยกแยะได้ ผมเคยเจอผู้ชุมนุม ทั้งที่ราบ 11 ที่ลาดหลุมแก้ว คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ คนที่จะมาชักปืนยิงใส่ หรือโยนระเบิดใส่ เกือบทั้งหมดเป็นคนธรรมดา ที่เค้ามาเรียกร้อง ในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่เราอย่าตกเป็นเครื่องมือ ของคนบางคน (จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบ แต่น่าจะคิดกันได้นะครับ) อย่าให้ใครบางคนใช้ ทั้งคนเสื้อแดง ใช้ทหารเป็นเพียงหมากบนกระดาน ให้เราต่างฝ่ายต่างเจ็บ ต่างล้มตายเพื่อผมประโยชน์ ของคนบางคน ประเทศเราจะล่มสลาย อยู่แล้วนะครับ เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้ใครแค่ไม่กี่คนมาทำลายประเทศไทยของเราเลย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์ ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ก็ยังมีเรื่องดีๆ ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆร่วมชาติ ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ คนเจ็บโดยไม่แบ่งสี ไม่แบ่งความคิด ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ผมคงไม่สามารถพาคนเจ็บ ออกมาได้ขนาดนี้ ดีไม่ดีผมอาจจะโดนไปด้วยก็ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ตลอดระยะเวลาที่เรียน ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์ พระมงกุฎเกล้า ผมรับรู้รับทราบ มาโดยตลอดถึงภารกิจของแพทย์ทหาร ถึงตอนนี้อารมณ์ของผม จะตกอยู่ในความเศร้า ตกอยู่ในความหดหู่ แต่ผมก็ภาคภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่ของแพทย์ทหาร ที่ได้ทำหน้าที่เป็นวีรบุรุษในแนวหน้า (Heroes in the front line) อย่างที่ทหารขนานนาม เหล่าแพทย์ของเรา ถึงแม้ว่า “การเป็นแพทย์ทหารนั้น มันเหนื่อย” แต่มันก็ภาคภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่เป็น แพทย์ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ได้เป็นทหารของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ภาพที่ได้ประสบมา ผมคงจดจำไปจนวันตาย (เพราะตอนนี้มันติดตาแล้วครับ ลืมไม่ลง) ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่าน คุ้มครองเพื่อนทหารและประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และคุ้มครองให้ประเทศชาติ ของเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้

ไม่มีความคิดเห็น: