PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผู้บริหารช่อง3ถกเครียดกรณี‘สรยุทธ’


ผู้บริหาร ช่อง 3 ประชุมด่วนหลังศาลพิพากษาคดี ‘สรยุทธ’ เล็งออกแถลงการณ์ งดรายการ‘เจาะข่าวเด่น’ ขยายเวลาช่วงข่าวเด่นเย็นนี้และรายงานข่าวกรณี‘สรยุทธ’ด้วย
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 อยู่ระหว่างการประชุม ตั้งแต่เวลา ประมาณ 15 นาฬิกา เพิ่อพิจารณากรณี ที่ศาลอาญา มีคำพิพากษา จำคุกนายสรยุทธ สุทัศนจินดา

พิธีกรของช่อง 3 และ เป็น กรรมการผู้จัดการ บ. ไร่ส้ม จำกัด ในคดี ที่บ.ไร่ส้ม ยักยอก เงินโฆษณาที่ต้องส่งให้ บริษัม อสมท. ระหว่างวันที่ 4 ก.พ.2548 - 28 เม.ย.2549 ส่งผลให้บริษัท อสมท เสียหาย

กว่า 138 ล้านบาท
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงข่าวภาคค่ำสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้งดรายการ"เจาะข่าวเด่น" และขยายเวลาช่วงข่าวเด่นเย็นนี้และมีการรายงานข่าวกรณีของนายสรยุทธด้วย

------
ช่อง 3 โยน บ.ไร่ส้ม ตัดสินใจ เปลี่ยน"สรยุทธ"'-องค์กรต้านโกงถามหาจริยธรรม

ฝ่ายรายการ ช่อง 3 เผยศาลตัดสินจำคุก 'สรยุทธ' ไม่กระทบผังรายการสถานี ระบุเป็นเรื่องส่วนบุคคล ให้ 'เรื่องเล่าเช้านี้' ออกอากาศตามปกติ เปลี่ยนผู้ดำเนินรายการหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ

บ.ไร่ส้ม ด้าน 'มานะ นิมิตรมงคล' เผยหากเป็น ขรก.ถูกชี้มูลความผิด จะมีคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ ให้ต้นสังกัดใช้ดุลยพินิจ

(29ก.พ.59)จากกรณีศาลอาญาพิพากษาตัดสินให้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าว ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด จำคุก 20 ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี 4 เดือน สั่งปรับ บริษัท

ไร่ส้ม 120,000 บาท ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ในฐานสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดจัดคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เกินเวลา สร้างความเสียหาย 138 ล้านบาท ขณะที่

นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำคุก 30 ปี ลดโทษเหลือ 20 ปี (อ่านประกอบ:ไม่รอลงอาญา! ศาลสั่งจำคุก‘สรยุทธ-พวก’ 13 ปี 4 เดือนคดีไร่ส้ม)

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สอบถามเพิ่มเติมไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้รับการเปิดเผยว่า คำพิพากษาตัดสินจำคุกนายสรยุทธ จะไม่มีผล

กระทบต่อผังรายการของช่อง เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล รายการที่ผลิตโดยบริษัท ไร่ส้ม ทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น รายการเรื่องเล่าเช้านี้ หรือรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ยังคงออกอากาศตามปกติ

ส่วนจะเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินรายการหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ผลิตอีกครั้งหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับช่อง

หากเป็น ขรก.ถูกชี้มูลความผิด จะมีคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่

ขณะที่ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า  กรณีคดีไร่ส้ม ของสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากคนในสังคม เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยว

ข้องเป็นบุคคลสาธารณะ และถือเป็นคดีตัวอย่าง ซึ่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำตัดสินออกมาแล้ว ก็เป็นที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้นว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเหตุการณ์จริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

“จากนี้ไปจึงเป็นหน้าที่ของต้นสังกัดซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนจะตัดสินใจโดยใช้ดุลยพินิจ ว่าควรจะแสดงความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมต่อกรณีดังกล่าวอย่างไร  เนื่องจากหาก

เป็นข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิด ก็จะมีการพักการปฏิบัติหน้าที่ หรือหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการคำตัดสินออกมา”

เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวด้วยว่า องค์กรสื่อถือเป็นแบบอย่างในสังคม  เมื่อมีบุคคลที่มีชื่อเสียงถูกตัดสินจากศาลว่าทุจริต ในฐานะที่องค์กรต้นสังกัดที่ทำงานจะต้องทำธุรกิจอย่างมี

ความรับผิดชอบควรจะทำอย่างไร  เขาจะต้องตัดสินใจ  เพราะกฎหมายบังคับไม่ได้ เพราะนี่คือเรื่องของการมีจริยธรรมในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามคำตัดสินที่ออกมานั้นเป็นคำตัดสินของศาลชั้นต้น

ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในคดียังมีสิทธิอุทธรณ์และหาหลักฐานมาสู้คดีได้ ซึ่งจะต้องช่วยกันติดตามต่อไป

“คดีที่ตัดสินในวันนี้เป็นเพียงศาลชั้นต้นที่ตัดสินออกมา ซึ่งคดีเกี่ยวกับการทุจริตในแวดวงราชการ ไม่ว่าจะเป็นใคร ศาลจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยไม่ได้สนใจว่าบุคคลนั้นเป็นใคร ฉะนั้นจึงเป็น

เครื่องเตือนใจอย่างหนึ่งว่าใครที่จะหาผลประโยชน์ด้วยการโกงชาติโกงแผ่นดิน หากทุจริตต้องถูกลงโทษ” ดร.มานะ กล่าว

ภาพประกอบ:เว็บไซต์ fanthai.com
////////////
จำคุก"อดีตพนง.อสมท."30ปี ส่วน"สรยุทธ"กับพวก20ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา ในคดีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน), บริษัทไร่ส้ม จำกัด, นาย

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการบริษัทไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัทไร่ส้มจำกัด เป็นจำเลย 1-4 ในความผิดฐาน เป็นพนักงานเรียก รับ หรือ

ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมี

หน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6, 8 และ 11

จากกรณีช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548-28 เมษายน 2549 นางพิชชาภาได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการคุยคุ้ยข่าว ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา เพื่อเรียกเก็บเงิน

จากบริษัทไร่ส้ม 17 ครั้ง ทำให้ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาทเศษ และยังเรียกรับเงินกว่า 600,000 บาท จากนายสรยุทธและพวก เป็นการตอบแทน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ นายสรยุทธได้เดินทางมา

ฟังคำพิพากษา

ล่าสุดศาลมีคำพิพากษาจำคุก นางพิชชาภา อดีตพนักงาน อสมท. 30 ปี ลดโทษ เหลือจำคุก 20 ปี ส่วนนายสรยุทธกับพนักงานไร่ส้ม ศาลมีคำพิพากษาคุก 20 ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัท

ไร่ส้ม จาก 120,000 บาท เหลือ 80,000 บาท โดยไม่มีการรอลงอาญา
///////

เปิดเช็ค 7 ใบ เงื่อนตาย“สรยุทธ”?

 
เปิดเช็คเงินฝากเจ้าปัญหา 7 ใบ“ค่าตอบแทน-ค่าประสานงานโฆษณา-ค่าคอมมิชชัน”เงื่อนตาย“สรยุทธ-ไร่ส้ม”คดีอม 138 ล้าน? 

       หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชี้มูลนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กระทำผิดฐานสนับสนุนนางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ อสมท.ทุจริต กรณีเงินค่าโฆษณาเกินเวลาจำนวน  138 ล้านบาทคือเช็คเงินฝากธนาคารจำนวน 7 ฉบับ 
เนื่องจาก ป.ป.ช.ตรวจพบว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 7 ครั้ง
1.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0078412 วันที่ 4 ตุลาคม 2548 จำนวนเงิน 4,888.80 บาท
2.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0078420  ในวันที่ 4 ตุลาคม 2548 จำนวนเงิน 13,546.05 บาท
3.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0078508 ในวันที่ 19 ตุลาคม 2548 จำนวนเงิน 42,573.30 บาท
4.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0079323 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 จำนวนเงิน 81,072.60 บาท
5.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0079376 ในวันที่ 15 ธันวาคม 2548 จำนวนเงิน169,444.45 บาท
6.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0078756 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวนเงิน 147,105.35 บาท
7.สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 0078953 ในวันที่ 28 เมษายน 2549 จำนวนเงิน 299,574.80 บาท

โดยในรายการที่ 2 เลขที่ 0078420  ในวันที่ 4 ตุลาคม 2548 จำนวนเงิน 13,546.05 บาท นั้นเงินที่จ่ายให้นางพิชชาภา เป็นค่าหาโฆษณาน้ำมันเครื่องเพ็นซอย มาฝากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณา
ส่วนเช็คที่เหลืออีก 6 ฉบับ นายสรยุทธ และ นางสาวมณฑา ธีระเดช จ่ายให้นางพิชชาภา  เพื่อ “ตอบแทน”ที่นางพิชชาภา มิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548- มิถุนายน 2549 โดยนางพิชชาภาได้นำเช็คทั้ง 7 ฉบับเข้าเข้าฝากบัญชีนางพิชชาภา ธนาคารทหารไทย สาขาพระรามเก้า 

ขณะที่ นางสาวพิชชาภา เอี่ยมสอาด ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อดำเนินการช่วยเหลือตามที่นายสรยุทธและเลขาฯของนายสรยุทธ คือ “คุณแก้ว”ขอร้องแล้ว ในช่วงแรกนายสรยุทธก็จ่ายเงิน “ค่าตอบแทน”ตามที่รับปากไว้ โดยนายสรยุทธลงนามจ่ายเป็นเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระรามสี่ และให้คุณแก้ว ฝากไว้กับพนักงานของ อสมท ชื่อนางศิริทิพย์ (จำนามสกุลไม่ได้) เป็นผู้นำมามอบให้กับตนอีกทอดหนึ่ง โดยนายสรยุทธได้จ่ายเงินให้ประมาณ 8 ครั้ง ซึ่งทั้ง 8 ครั้งดังกล่าวก็ไม่ได้จ่ายให้ตนอย่างสม่ำเสมอ หรือตามจำนวนที่รับปากไว้ และเหตุที่ไม่ได้เรียกร้องให้จ่ายตามจำนวนที่ตกลงกันไว้เนื่องจาก
 เห็นว่าเป็นการตกกะไดพลอยโจน ช่วยเหลือนายสรยุทธไปแล้ว จึงยอมๆกันไป 
อย่างไรก็ตาม นายสรยุทธปฏิเสธว่า เช็ค 7 ฉบับเป็นเงินที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด จ่ายเป็น “ค่าประสานงานโฆษณา”ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าคอมมิชชันในการหาโฆษณาที่อยู่ในความรับผิดชอบของนางสาวมณฑา ธีระเดช  เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของบริษัท ไร่ส้ม  ซึ่งนายสรยุทธอ้างว่านางสาวมณฑามีหน้าที่ตั้งแต่การติดต่อลูกค้าเพื่อหาโฆษณา การประสานงานเกี่ยวกับการโฆษณากับบริษัท อสมท.
ตลอดจนการประสานงานกับฝ่ายบัญชีของบริษัท ไร่ส้ม เพื่อให้มีการเรียกเก็บเงินค่าโฆษณาจากลูกค้า และการตัดจ่ายค่าประสานงานโฆษณาให้แก่ผู้ที่หาโฆษณาได้
โดยหลังจากที่บริษัท ฯได้รับค่าโฆษณามาจากลูกค้าแล้วนางสาวมณฑาจะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีวาลูกค้าในส่วนที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนนั้นจะตัดแบ่งจ่ายค่าประสานงานโฆษณาให้กับตนเองและบุคคลใดบ้าง ซึ่งในการตัดจ่ายค่าประสานงานโฆษณาแต่ละครั้งนางสาวมณฑาจะนำรายชื่อของบุคคลและคณะบุคคลต่างๆอีกหลายคนเพื่อให้มีการจ่ายค่าประสานงานโฆษณาให้แก่บุคคลต่างๆ
และเป็นไปได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในการหาโฆษณากับนางสาวมณฑาหรืออาจเป็นกรณีที่นางสาวมณฑาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองต้องรับภาระภาษีจำนวนมากก็เป็นได้
       จึงต้องกระจายให้บุคคลต่างๆ
       เพราะตามวิธีปฏิบัติของบริษัทฯฝ่ายบัญชีจะทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้ง ที่มีการจ่ายค่าประสานงานโฆษณาอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
การชั่ง“น้ำหนัก”กรณีเช็ค 7 ใบชี้เป็นชี้ตายคดีนายสรยุทธทีเดียว

ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ชำแหละ 4 ประเด็นใหญ่ร่าง รธน.ฉบับมีชัย



"ทำไมการปฎิวัติอาหรับสปริง ในตะวันออกกลางถึงล้มเหลว พบว่า ไม่ว่าการต้านรัฐประหาร การต้านเผด็จการ จะเป็นไปด้วย เจตนารมณ์บริสุทธิ์เพียงใด มีประสิทธิภาพ กลไกดีเพียงใด แต่หากไม่สามารถ รื้อถอน ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ถูกบรรจุไว้ในสถาบันทางการเมืองต่างๆ ได้เเล้ว การปฏิวัตินั้นจะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าคุณจะปฏิวัติต่อต้านใคร ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจรัฐธรรมนูญคือ ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางอำนาจ ที่ถูกระบุไว้ในสถาบันทางการเมือง" รศ.ดร.สิริพรรณ ยกตัวอย่างก่อนเริ่มเสวนา 
siripan
ในเวทีเสวนา "อวสานโลกสวย: วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559” ซึ่งจัดโดย โครงการรัฐศาสตร์เสวนา ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559  ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งนักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนรวมไปถึงสื่อมวลชนจำนวนมากที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนา
โดยหนึ่งในไฮไลต์ของการเสวนาครั้งนี้ เป็นประเด็นที่ทาง รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธ์ุ โดยแบ่ง 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้ 
1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้เกิดการลดการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐบาลอ่อนแอ แต่รัฐเข้มแข็งขึ้น (Limited Paticipation, Limited Govermant but State Unlimited)
หากลองพิจารณาจากร่างรธน. ฉบับนี่ที่ยืนยันจากฝ่าย กรธ.แล้วว่า ยึดเอาหลักการเป็นหลักให้ชัด จะพบว่า การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่างออกไปจาก ฉบับปี 2540 หรือ ปี 2550 ที่จะมีการรองรับสิทธิ แต่รธน.ฉบับนี้ ปรากฏว่า มีการถอดสิทธิหลายอย่าง อย่างเช่น สิทธิในการถอดถอนหายไป ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หายไป สิทธิในการทำประชามติถูกเขียนไว้ว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. เป็นต้น 
2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้สถาบันพรรคการเมือง รัฐสถา อ่อนแอลงจนแทบไม่มีความเป็นสถาบันทางการเมืองเลย
หลายท่านอาจแย้งว่า ที่ผ่านมาก็ไม่มีความเป็นสถาบันทางการเมืองอยู่เเล้ว  แต่อย่าลืมว่า พรรคการเมืองจะดีหรือเลวอย่างไร เราขาดไม่ได้ พรรคการเมือง ขาดไม่ได้เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ ทำให้สถาบันการเมืองที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้มากที่สุด จะทำอย่างไร ก็ต้องทำให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งเพื่อให้เรามีส่วนร่วมในกระบวนการขององค์กรพรรคการเมืองมากที่สุด แต่ในทางกลับกัน ตัวระบบเลือกตั้งกลับทำให้สิ่งเหล่านี้หายไป 
เบื้องต้นพบว่า เจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญนี้ คือต้องการลดอิทธิพลของพรรคใหญ่ ซึ่งถามว่าประเด็นนี้มีเหตุมีผลหรือไม่  เรื่องนี้ รศ.ดร.สิริพรรณ แสดงความเห็นด้วยเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ระบบการเลือกตั้งได้เอื้อพรรคใหญ่อย่างมาก คือการคิดคะแนน การคิดที่นั่ง ทำให้พรรคใหญ่อันดับหนึ่ง ได้เปรียบ ได้ที่นั่งเกินกว่าที่สมควรจะได้ แต่การลดอิทธิพลพรรคใหญ่จะต้องไม่ได้ทำด้วยวิธีที่ทำให้การจัดสรรคะแนนไม่เป็นธรรมอย่างที่ร่างใน รธน.ฉบับนี้ 
ร่าง รธน.ฉบับนี้ กำหนดว่า การเลือกตั้งจะมี บัตรเลือกตั้งใบเดียว เป็นคะแนน ส.ส.เขต ที่คะแนนเหล่านั้นจะถูกนำไปรวมทั้งประเทศดูว่าพรรคการเมืองควรจะมีที่นั่งในสภาเท่าไร คะแนนของ ส.ส.เขตถูกทำให้เป็นคะแนนที่นั่งของพรรคการเมือง ซึ่งในทางปฏิบัติ คนเลือก ส.ส.เขตคือ เลือกตัวบุคคล และ คนเลือกพรรคคือพรรค และพบว่า ความเป็นจริงการเลือกตั้งที่ผ่านมามีการแยกเลือกในจำนวนไม่น้อย ประมาณ 37 เขต จาก 365 เขต หรือคิดเป็น 17-18%
ที่นี้ปัญหาอยู่ที่ว่า หากต้องการลดอิทธิพลแบบพรรคใหญ่ ระบบในร่างฯ ของ นายบวรศักดิ์จะเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า เพราะคนเลือก ส.ส.เขตหนึ่งใบ เลือกบัญชีรายชื่อหนึ่งใบ คะแนนที่นั่งของพรรคถูกกำหนดโดยบัญชีรายชื่อของพรรค แต่เมื่อคุณเอาคะแนนของ ส.ส.เขตมาเป็นตัวกำหนดว่าพรรคใดจะมีที่นั่งเท่าไรในสภา ในทางปฏิบัติจะทำให้ ส.ส.เขตกับพรรคแย่งคะแนนกันเอง เพราะในที่สุดเเล้ว คะแนนของพรรคจะถูกจัดสรรโดยคะแนนของ ส.ส.เขตทั้งหมด ลบด้วย ส.ส.เขตที่ชนะ 
ดังนั้น การจัดสรรแบบนี้จะทำให้พรรคใหญ่เสียเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม ขณะดียวกันพรรคขนาดกลางได้ประโยชน์อย่างมาก แต่พรรคขนาดเล็กจะยิ่งไม่สามารถแข่งได้เลย เพราะบังคับให้พรรคเล็กต้องส่ง ส.ส.เขต ถ้าคุณไม่ส่ง ส.ส.เขต คุณไม่สามารถสมัครในบัญชีรายชื่อได้  
"ใครที่อยู่ในแวดวงการเมืองจะทราบดีว่า การหา ส.ส.เขตนั้นยากเพียงใด หากพรรคคุณไม่มีทรัพยากร หรือนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากก่อน หรือคุณไม่มีเงิน โอกาสที่ ส.ส.เขตจะชนะจึงเป็นไปได้น้อยมาก หรือแม้แต่พรรคใหญ่เองก็หาได้ยาก จะมีลักษณะของผู้สมัครผี ที่พรรคจ้างมาลงไว้เท่านั้นเอง"
ดังนั้นผลที่ตามมาแน่ๆ คือ จะทำให้การซื้อเสียงสูงขึ้น เพราะทุกคนแข่งในสนาม ส.ส.เขต พรรคจะกว้านซื้อตัวบุคคลที่มีอิทธพลในพื้นที่นั้นๆ  พรรคจะมีแรงจูงใจในการนำเสนอนโยบายลดลงเพราะการแข่งขันเปลี่ยนจากบัญชีรายชื่อมาเป็น ส.ส.เขต ดังนั้นนโยบายดีๆ ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ต่อมาที่ระบบเลือกตั้งนี้น่ากลัวอีกประการคือ ให้พรรคการเมืองเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี พรรคละ 3 ชื่อ เป็นใครก็ได้แน่นอนว่า พรรคใหญ่ๆ ก็คงเสนอชื่อคนเป็น ส.ส.แต่ในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าเป็นใครก็ได้ ในทางปฏิบัติ รัฐธรรมนูญระบุว่า พรรคที่จะมีสิทธิโหวต ส.ส. โหวตชื่อผู้จะเป็นนายกฯได้ ต้องได้คะแนน ต้องมีที่นั่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของการเลือกตั้ง  
แต่พบว่า ที่ผ่านมา เรามีแค่สามพรรคเท่านั้นที่มีคะแนนเกิน 5% ในสภา คือพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ในที่สุดเเล้ว การเลือกนายกฯ จะถูกกุมโดยพรรคใหญ่อยู่ดี
ที่นี้พรรคขนาดกลางจะมีบทบาทอย่างไร ก็เพราะระบบนี้ที่คะแนน ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อตัดทอนกันเอง  พรรคที่สามซึ่งอาจไม่ได้ชนะ ส.ส.เขตมากนัก แต่มีคะแนน ส.ส.เขตเป็นกอบเป็นกำ ก็จะที่นั่งในบัญชีรายชื่อสูง เมื่อไม่มีพรรคใดกุมเสียงข้างมากในสภา โดยกลไกมันยากมาก ยกเว้นคุณจะชนะ ส.ส.เขตทั้ง 250 เขต
เมื่อเป็นอย่างนั้นพรรคอันดับสามจะเป็นพรรคตัวแปรหลักว่าจะไปร่วมกับใด พรรคนั้นก็เป็นรัฐบาล แล้วในเมื่อเสนอชื่อนายกฯได้ 3 คน พรรคเล็กๆ เมื่อได้คะแนนเสียงไม่ถึง 5% ก็จะเสนอไม่ได้ คือเสนอได้เฉพาะตอนเลือกตั้ง แต่เสนอในสภาไม่ได้ ดังนั้นพรรคขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองมากเหลือเกิน 
เสียงประชาชนอาจถูกบิดเบือน คือ กรธ.โฆษณาเป็นหลักว่า ระบบนี้กันอีแอบ คือจะเห็นว่าพรรคเสนอชื่อใคร แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อเราเลือก ส.ส.พรรคหนึ่ง เราอาจไม่ได้ชอบชื่อนายกฯ ที่พรรคนั้นเสนอเลย ความบิดเบือนที่ว่าเกิดขึ้นเมื่อสภาโหวต พรรค ก.อาจไปเลือกคนอื่นที่ตัวเองไม่ได้เสนอชื่อแต่แรกก็ได้ ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อเราเลือกพรรค ก. ในตอนแรกเราเองก็หวังว่าจะได้นายกฯตามที่ พรรคเสนอมา แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ใช่
ฉะนั้น เสียงของประชาชนจะมีน้ำหนักตรงไหน จะเห็นได้เลยว่า ในระบบนี้นอกจากจะทำให้มีแนวโน้นการซื้อเสียงเพิ่มมขึ้น นโยบายลดลง เสียงประชาชนยังถูกบิดเบือนไปอีกเช่นกัน 
อีกประเด็นเล็กๆ คือ ระบบเลือกตั้งนี้ ทำให้จำนวน ส.ส.ในสภาแกว่งเป็นปี เพราะคะแนนบัญชีรายชื่อของพรรคจะถูกกำหนดโดยคะแนน ส.ส.เขต และที่เราทราบกันคือ ในระบบการเลือกตั้งมีมีระบบใบเหลืองใบแดง และเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ใบเหลืองใบแดงคงต้องทำงานหนัก ตรงนี้จะกระทบกับจำนวนที่กล่าวมาข้างต้น เพราะหากดันมี ส.ส.โดนใบแดง สิ่งที่ตามมาคือคะแนนที่หายไป  กระทบกับพรรคและเก้าอี้ของบัญชีรายชื่อ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่าคะแนนจะนิ่งคือไม่เอาคะแนนที่เปลี่ยนแปลงมาคิด ก็ต่อเมื่อ หนึ่งปีผ่านไป
ดังนั้นระหว่างนั้นจะมีการเรื่องเรียนวุ่นวายกันไปหมด ในทางสากลแล้วระบบแบบนี้มีจุดอ่อนมากเกินไปที่จะนำมาใช้ อยากให้ทบทวน
ประเด็น ส.ว. ความกังวลอยู่ที่ 200 คนเลือกกันเองจาก 20 กลุ่ม ไม่ได้กำหนดว่าเป็นใคร จำนวนเท่าไร ที่กังวลว่าจะเป็นการกลับไปสู่ระบบราชการ เพราะว่าอย่างน้อยจำนวน 6 กลุ่มใน 20 กลุ่มน่าจะเป็นอดีตราชการเก่า อย่างเช่น กลุ่มความมั่นคง กลุ่มผู้มีความรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กองทัพ ราชการ ฯลฯ กลุ่มนี้จะกลับเข้ามา แต่ประเด็นคือ สัดส่วนใน 20 กลุ่มนี้ สัดส่วนของแต่ละกลุ่มเป็นเท่าไรควรจะกำหนดแต่ต้น 
สัดส่วนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่า สังคมไทยเป็นผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร  พวกเขาควรเป็นสัดส่วนที่สูง แต่ถ้าบอกว่าใน 20 กลุ่มสัดส่วนเท่ากันกับกลุ่มอื่นแบบนี้ก็ไม่เป็นธรรม
"การที่ไม่ระบุตั้งแต่แรกใน รธน.ว่า สัดส่วนในแต่ละกลุ่มเท่าไร  คิดว่าเหมือนยังคิดไม่เสร็จทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะประชาชนตื่นตัวแน่นอนว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มไหนหรือว่ากลุ่มที่ตกงานจะสามารถไปอยู่ในสัดส่วนไหนได้หรือไม่" 
 "ปัญหาคือใน20 กลุ่มนั้น เราไม่สามารถเลือกกันเองในกลุ่ม แต่กลุ่มอื่นจะเป็นคนเลือก คำถามคือ กลุ่มอื่นที่จะมาเลือกจะรู้จักคนในกลุ่มได้อย่างไร" รศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งข้อสังเกต และกล่าวต่อว่า เข้าใจว่าประเด็นนี้ เป็นการป้องกันการฮั้ว แต่ขณะเดียวกันจะส่งผลให้การเลือก ทำให้คนมีชื่อเสียงอยู่แล้วได้รับเลือกแทนที่จะเป็นคนที่เป็นประโยชน์หรือมีจุดยื่นเพื่อสังคมจริงๆ และที่สำคัญเดิม เรื่อง ส.ว. ไม่อนุญาตให้หาเสียง ถามว่า ไม่หาเสียงแล้วประชาชนจะรู้จักได้อย่างไร 
3.รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้ดุลยภาพของสังคมการเมืองเบี้ยวเอียง จนอาจจะคว่ำได้
มีความพยายามใช้มาตรการคัดง้างเสียงข้างมากเข้ามาคุมเสียงประชาชน อย่างเช่น บอกว่า มีการเลือกตั้งได้มีตัวแทนเข้ามาแต่ในที่สุดการตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่องค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ ถ้าใช้ระบนี้มันก็เหมือน “คุณหลอกดาว” 
"ใน มาตรา 207 ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การระบุอย่างนี้หมายความอย่างไร
หมายความว่า เมื่อรัฐธรรมนูญที่เขียนมาแล้วไม่สามารถใช้ได้ อำนาจสุดท้ายในการตัดสินใจจะเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ คำถามคือ
1. ประเพณีการปกครองฯ คืออะไร สมมติ ศาลรัฐธรรมนูญหยิบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2502 สมัยสฤษดิ์มาแล้วบอกว่า นี่คือประเพณีการปกครองฯ ทำเป็นอย่างไร
2. ฐานของความชอบธรรมที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินใจสุดท้ายในฐานะเป็นกรรมการในความขัดแย้งทางการเมืองนี้ ฐานของความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมาจากไหน เชื่อได้อย่างไรว่าสังคมจะทำตาม ถ้าไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น วิกฤตรอบใหม่อาจจะมีที่มาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ และจะเป็นวิกฤติที่ยากจะแก้ไข เหล่านี้คือลักษณะของการให้องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญมาคัดง้างเสียงข้างมากของประชาชน
รศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า เสียงของ ส.ว. 1 ใน 3 จะมีผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  อย่างกรณีที่ กรธ.บอกว่า รัฐธรรมนูญตั้งใจให้แก้ได้ง่าย เปลี่ยนตามยุคสมัย แต่ถ้าอ่านวิธีแก้ไขแล้ว มันแก้ยากมาก เพราะต้องใช้ ส.ส. ส.ว. ทั้งพรรคเสียงข้างมากและ พรรคเล็กๆ ด้วย  
"รัฐธรรมนูญฉบับปราบคอร์รัปชัน ดิฉัน เห็นเจตนาดีของผู้ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งป้องกันไม่ให้นักการเมืองคอรัปชั่นกลับเข้าสู่ระบบการเมือง ซึ่งนั่นก็เป็นด้านดี แต่เราทุกคนทราบดีว่า การคอรัปชันไม่ได้มาจากนักการเมืองอย่างเดียว สามเหลี่ยมเหล็กของการคอร์รัปชันคือ นักการเมือง ระบบราชการ กลุ่มทุน หากเราไม่เข้าใจระบบนี้เราไม่มีทางแก้ปัญหาคอรัปชั่นได้เลย
ทางที่ดีที่สุดต้องทำให้การตรวจสอบเข้มแข็ง ข้อมูลเปิดเผยและโปร่งใส ที่ผ่านมาการคอร์รัปชันที่เราพบบ่อยๆ กลายเป็นเรื่องการเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ซึ่งใช้ช่องโหว่กฎหมาย ที่ผ่านในช่วงเวลาบางช่วง สิ่งที่ทำให้คอร์รัปชันเกิดขึ้นได้มากคือการไม่ยอมให้เปิดเผยข้อมูลและกลัวที่จะพูดและให้ข้อมูล"
4.ถ้าประชามติผ่าน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะถูกยื้อต่อไป 15  เดือน(กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาล)  สภาพที่เราจะเผชิญหลังรับร่างรัฐธรรมนูญ (ถ้ามีการทำประชามติเกิดขึ้น)คือ มีกฎหมายสูงสุดคู่กันไป สมมติว่ามีการเลือกตั้ง แล้วอำนาจ คสช.ยังอยู่เเล้ว คสช.บอกว่า ตอนนี้บ้านเมืองยังไม่สงบ ขอเลื่อนเลือกตั้งก็สามารถทำได้ เพราะอำนาจอยู่คู่กัน 
ประเด็นสุดท้ายที่ รศ.ดร.สิริพรรณ ชวนวิเคราะห์คือ คสช.และ สนช.จะอยู่ตรงไหนหลังจากมีการรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เหมือนร่างฯของ นายบวรศักดิ์  
รศ.ดร.สิริพรรณ ชวนดูมาตรา 255 เขียนไว้ว่า มิให้นำมาตรา 107 มาบังคับใช้ ซึ่งในมาตรานั้นบอกว่าถ้า ส.ว.จะกลับมาเป็นรัฐมนตรี จะต้องเว้นวรรคสองปี เมื่อกำหนดว่าไม่ต้องนำมาตรา 107 มาใช้ ก็แสดงว่า สามารถกลับมาได้โดยไม่ต้องเว้นวรรคแล้ว กลับมาได้เร็วอย่างที่ต้องการ
สิ่งที่ต้องจับตาดูคือ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ที่เข้าใจว่าใกล้คลอดแล้วและมีอายุ 20 ปี ใช้ควบคู่ไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาให้สมัภาษณ์แล้วว่า แผนนี้มีมาเพื่อกำกับรัฐบาลใหม่ให้เข้ามาทำหน้าที่ตามที่ คสช.วางแผนไว้ และนั่นคือ limited government รัฐบาลใหม่จะมีอำนาจน้อยมาก เพราะต้องทำนโยบาย 20 ปีตามที่คสช. วางไว้นั่นเอง. 

จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?


จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?

โดย MGR Online   
29 กุมภาพันธ์ 2559 06:03 น. (แก้ไขล่าสุด 29 กุมภาพันธ์ 2559 08:57 น.)
จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?
        สะเก็ดไฟ
       
       ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครองอำนาจ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ถือเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่แป๊ะจะขาดเสียไม่ได้ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน กลายมาเป็นกิ้งกือตกท่อกันง่ายๆ แบบนี้
       
       
       หลังมีจดหมายน้อยที่เขียนถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองว่อนโลกโซเชียลมีเดีย เพื่อขอให้ช่วยพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังในข้อหาแจ้งความเท็จรายหนึ่ง งานนี้จัดเป็นเรื่องใหญ่สะท้านสะเทือนเรือแป๊ะแน่ เพราะเป็นคนในรัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรีกันเลยเชียว
       
       แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนว่าตามตัวบทกฎหมายแล้ว เจ้าของฉายาเนติบริกรถือว่ามีความผิดหรือไม่ แต่จากปรากฏการณ์ครั้งนี้ทำให้มีคนนำไปเทียบเคียงกับกรณี ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ที่ทำบันทึกส่วนตัวจำนวน 2 ฉบับส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่านายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจยศ พ.ต.ท. นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ สุดท้ายหัสวุฒิต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ เพราะเรื่องดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักจริยธรรมในระบบราชการ
       
       กรณีของเนติบริกรวิษณุก็เช่นเดียวกัน ต่อให้วันนี้จะประดิดประดอยคำตามประสาเซียนกฎหมายที่พลิ้วไหวเก่ง แต่ในแง่จริยธรรม ถือว่าผิดเต็มเปา
       
       แม้ผลของการเขียนจดหมายจะแตกต่างกับของหัสวุฒิ ที่มีเจตนาฝากเด็กให้เติบโตในหน้าที่ก็ตาม เพราะไม่ว่าเจตนาจะต้องการจะฝากเด็ก หรือช่วยเหลือคน เมื่อทำแบบลับๆ ล่อๆ เจาะจงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมถูกมองว่าคือ การพยายามใช้เส้นสาย หรือคอนเนกชั่นที่มี ทำอะไรที่เป็นพิเศษขึ้นมา
       
       ขณะเดียวกัน เรื่องการขอพักโทษที่เนติบริกร จะเข้าไปช่วยผู้ต้องขังคนหนึ่ง มันยังมีข้อสังเกตทางกฎหมายอยู่ดีว่า มันถึงเวลาจะทำแล้วหรือยัง เนื่องจากตามระเบียบของการพักโทษ นักโทษจะต้องรับโทษไปแล้ว 2 ใน 3 อย่างกรณีผู้ต้องขังรายนี้ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี หากจะพักโทษได้ ก็ต้องติดคุกไปก่อน 1 ปี 4 เดือน แต่นี่มันยังไม่ถึงเลย
       
       หรือให้ถกกันในแง่กฎหมายที่เนติบริกรวิษณุระบุว่า เรื่องการขอพักโทษสามารถทำได้ ยิ่งผู้ต้องขังเป็นนักโทษชั้นดีอย่างที่ปากบอกแล้ว ตามระเบียบก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย จะเข้าไปก้าวก่ายอะไร
       
       ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายน้อยกำกับสลักหลังตามไปอีก ไม่ต้องเขียนยืดยาว ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องถึงคนระดับเนตบริกรวิษณุต้องลงมากำกับเอง เมื่อถึงเวลาเขาก็จะได้รับการพักโทษเองมิใช่หรือ ?
       
       ดังนั้น เรื่องนี้มันดูมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่
       
       ในแง่ความเป็นจริงอีกอย่างที่เนติบริกรวิษณุระบุว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะพิจารณาหรือไม่ก็ได้นั้น ถามว่า ถ้ามีจดหมายน้อยซึ่งเขียนกำกับหลังโดยคนเป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญยังกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมด้วย ถามว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะกล้าปฏิเสธไม่ปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งมันไม่มีทางเลยที่จะกล้าเกี่ยงงอนนายใหญเหนือหัวตัวเอง
       
       นอกจากนี้ ในจดหมายน้อยยังมีการอ้างชื่อ คุณหญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพ มันยิ่งทำให้เป็นการไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง ทำให้คนมองว่า เป็นการอ้างชื่อผู้ใหญ่ พวกข้าราชการตัวน้อยๆ ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธเข้าไปอีก ทั้งที่ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้
       
       ฉะนั้น กรณีนี้มันก็เป็นความผิดคล้ายคลึงกับหัสวุฒิเอามากๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
       
       แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดันว่าไม่ผิด ไม่แคร์ ใช้ความเป็นนักกฎหมายชั้นแนวหน้าของประเทศเลี่ยงบาลีเพื่อสลัดเสียงติฉินนินทาไปเรื่อย ไม่พ้นคำครหา ทีกับคนอื่นความผิดเท่าขุนเขา ครั้นพอถึงตัวเราเท่าขี้มด
       
       แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ของเนติบริกรนั้นถือว่าย่ำแย่แล้วในสายตาของสังคม ถูกคนนินทาหมาดูถูกระงมทั่วว่าคนระดับครูอาจารย์ที่มีนักกฎหมายทั่วประเทศเป็นลูกศิษย์ กำลังทำเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างไม่น่าให้อภัย
       
       
       เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นเลยว่า จริงๆ แล้ว เนติบริกรวิษณุก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าใคร และยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยว่า นี่แหละพื้นฐานธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ว่าวงการไหน มีเรื่องอุปถัมภ์ค้ำชูเพื่อนพ้องน้องพี่คนใกล้ชิดเสมอ วิษณุเองว่าไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองที่มีคอนเนกชันเท่าไหร่หรอก มีนักธุรกิจใหญ่อยู่ใต้ปีกจำนวนไม่น้อยเข้ามาพบในทำเนียบรัฐบาลก็เห็นอยู่บ่อยๆ อย่าลืมว่าช่วงพักงานการเมือง วิษณุคือที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศหลายแห่ง ซี้ย่ำปึ้กกับ ศักดิ์ชัย ธนบุญชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นักธุรกิจที่ถือหุ้นในบริษัทชื่อดังของประเทศหลายแห่ง
       
       บอกได้เลย ช็อตนี้เรือแป๊ะโคลงเคลงแน่ เพราะทำคนเสื่อมศรัทธา ผิดหวังกับรัฐบาลคนดีอีกระลอก หลังก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ การขุดลอกคูคลองขององค์สงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่สะกิดความเชื่อมั่นประชาชน ยังมาเจอเรื่องนี้แบบติดๆ กันแถมมีหลักฐานเป็นใบเสร็จมัดแจ่มแจ้งแดงแจ๋อีก ไม่รู้จะดิ้นหรือแถกันอีท่าไหน
       
       แต่ดูท่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. คงอุ้มกันจนถึงที่สุด เพราะเนติบริกรวิษณุ เป็นยาสามัญประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นหัวหอกคีย์แมนคนสำคัญในด้านกฎหมาย ที่ใช้ต่อกร ฟาดฟันกับศัตรูทางการเมือง และการวางค่ายกลกฎหมายต่างๆ ให้กับ คสช. ถึงขนาดเคยมีข่าวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญของ ซือแป๋-มีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่าน จะเอาวิษณุมานั่งร่างเองกันเลย เพราะเข้าใจเจตนาแป๊ะมากที่สุด
       
       หรือดูแค่พอเกิดเรื่อง “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ได้รับคำชื่นชมว่าตัวเล็กใจใหญ่ เรื่องปราบโกง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอกับเรื่องนี้รีบออกมากันท่า อุ้มเนติบริกรกันสุดฤทธิ์ว่าทำได้ ไม่ผิด ประทับตราให้ทุกอย่าง ดังนั้นงานนี้เชื่อขนมกินได้ แป๊ะหวงยิ่งกว่าไข่จงอาง อารักขายิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่มีวันเฉดหัวทิ้งกลางทางแน่
       
       ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกเตะกระเด็น โทษฐานสร้างความเสื่อมเสีย แต่กับคนนี้ ถ้าแป๊ะไม่มี เป็นอันว่าพัง หมดเครื่องมือทางกฎหมายในการไปสู้รบปรบมือทันที
       
       แต่ก็คิดให้ดี ทำแบบนี้จะเป็นตัวกัดเซาะความเชื่อถือของรัฐบาลเอง! 

"น้องป้อม" เตือน"พี่จิ๋ว" ไม่จำเป็นอย่าออกมาพูดเลยครับ ให้พักผ่อน เหนื่อยมาเยอะแล้ว

"น้องป้อม" เตือน"พี่จิ๋ว" ไม่จำเป็นอย่าออกมาพูดเลยครับ ให้พักผ่อน เหนื่อยมาเยอะแล้ว อายุเยอะแล้ว เยอะกว่าผมมาก ผมยังไม่อยากอยู่เลย อยากพักแล้ว ร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว แต่จำเป็นต้องช่วยนายกฯ ฝากบอก ถ้าไม่จำเป็นต้องพูดก็ไม่ควรพูด พักผ่อนเถอะ/ เหน็บ บิ๊กจิ๋ว พาไปดูหน่อย ที่บอกมีองค์กรBlack Swan ก่อการร้ายโยงIS ที่ชายแดนใต้ ยันผมไม่เคยได้ยิน ปัดไปพูดคุยทำความเข้าใจแบบพี่น้อง จปร.
(28ก.พ.59)พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม และ รองหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการที่ การที่ พลเอกประยุทธ์ นายกฯ เสนอ ให้กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน5 ปีในรธน. อาจทำให้เกรงกันว่า คสช. จะอยู่ต่อ ฝ่ายการเมืองจึงออกมา รวมทั้ง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยนั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า 5ปี ไม่ได้หมายความว่า นายกฯจะนั่งเป็นนายกฯต่อ5ปี เพื่อการปฏิรูปและเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีบทเฉพาะกาล ท่าน มึชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ท่านดูอยู่
ส่วน คสช. จะอยู่ต่อ ในการดูแลสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า คสช.ไม่อยู่ต่อหรอกครับ ไม่ได้มีกลไกอะไรมาบังคับด้วย
"ผมก็เห็นใจท่าน พลเอกชวลิต นะ ท่านเหนื่อยมาเยอะแล้ว อายุเยอะแล้ว อยากให้พักผ่อน ผมเองอายุเยอะแล้ว เหมือนกัน ผมยังอยากพักเลย ผมเองผมยังเบื่อเลย ไม่อยากทำแล้ว แต่นี่เพราะเห็นแก่ท่านนายกฯ ท่านทุ่มเททุกอย่าง ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำเพื่อใคร ผมก็ต้องทำเพื่อช่วยท่าน ถามว่า ผมอยากเป็นมั้ย ผมไม่ได้อยากเป็นหรอก ผมชัดเจน แน่นอน ไม่เล่นหรอกการเมือง มันไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ ร่างกายก็แย่ งานก็เยอะ
ดังนั้น คนที่ไม่ควรออกมาพูด ไม่รู่จะพูดทำไม อย่าพูดเลยครับ ฝากไปบอกท่านว่า อยากให้พักผ่อน"
ส่วนการที่ พลเอกชวลิต เตือนว่า มีองค์กรBlack Swanก่อการร้าย โยงIS ที่ชายแดนใต้ นั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ท่านพาไปผมดูหน่อย ยืนยันว่า ผมไม่เคยได้ยิน
เมื่อถามว่า จะพูดคุยกับพลเอกชวลิต ทำความเข้าใจ ในฐานะ รุ่นพี่รุ่นน้อง จปร. หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องหรอก
ทั้งนี้ พลเอกชวลิต อายุ 84 ปี เป็นนายทหาร จปร.1 ส่วน พลเอกประวิตร วัย76 ปี เป็น ตท.6 หรือ จปร.17

ประวิตร นัด ส่งโผทหารกลางมี.ค.



โผทหาร มีค.....
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร รมว.กลาโหม เผย นัดผบ.เหล่าทัพส่งโผโยกย้ายทหาร ไม่เกินกลางมีค.เผยย้ายน้อย ไม่กี่ตำแหน่ง ที่ว่าง 6-7ตำแหน่งเท่านั้น เผย ไม่ต้องเตรียมวางตัวผบ.เหล่าทัพใหม่ สื่ออย่ามโนไปเขียน ยัน ไม่เกี่ยวบูรพาพยัคฆ์-วงศ์เทวัญ หรือเป็นน้อง บิ๊กปัอม บิ๊กตู่ ไม่มี ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีหรอก ทหารในกองทัพเข้าใจดี ซึ่งผู้บังคับบัญชา เขาก็อยากได้คนที่ทำงานแล้วเข้าใจกัน ไม่ต้องดูว่า เป็นใครมาจากไหน ไม่ต้อง บูรพาพยัคฆ์-วงศ์เทวัญ ไม่มี พิจารณายึดหลักอาวุโส และความรู้ความสามารถ และการทำงานมาในอดีต เผยตอนที่ผมขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ก็ขึ้นมาตามปกติ ดวงถึงก็มาเอง หรือ มีวาสนา ด้วย

บิ๊กป้อม ยัน ไม่ได้สั่ง ทหารไปบ้าน"อ.ปวิน"/ บอก ยิ่งลักษณ์ สวย ทหารเลยถ่ายรูป ยันต้องไปดูแลความปลอดภัย




บิ๊กป้อม ยัน ไม่ได้สั่ง ทหารไปบ้าน"อ.ปวิน"/ บอก ยิ่งลักษณ์ สวย ทหารเลยถ่ายรูป ยันต้องไปดูแลความปลอดภัย เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คสช.ในพื้นที่จะซวย เปรยถ้า ไม่ชอบ จะส่งเป็นทหารนอกเครื่องแบบไป แทน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี ที่ทหารติดตาม อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปในงานศพ ว่า ทหารแค่ไปดูแลความปลอดภัย เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คสช.ในพื้นที่จะซวย พอไปก็หาว่า ละเมิดสิทธิ์ ตายสิ อย่างเนี้ย ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
สาวนการที่ทหารถ่ายรูป "ยิ่งลักษณ์"เพราะเห็นท่านสวยมั้ง ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่าไปคิดมาก หรือวิตกกังวล ทหารไปดูแลความปลอดภัยให้ เผื่อเกิดอะไรขึ้น อย่าคิดมาก อย่าคิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์
"แต่ถ้า ท่านยิ่งลักษณ์ ไม่ชอบ จะส่งเป็นทหารนอกเครื่องแบบไป แทนแล้วกัน"
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำไม นาย"วรชัย เหมะ" ไม่รู่ว่า ทหารไปทำไม สื่อก็ยังรู้ว่า ทหารไปทำอะไร ช่วยเขียนบอก คุณเหมะ ด้วยอย่าคิดมาก ใจเย็นๆ ทหารไม่ได้ไปทำอะไร แค่ดูแลความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่ อ.ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธุ์ โพสต์เฟสบุ้ค ระบุว่า ทหารไปคุกคามครอบครัว เพื่อให้ตนเองยุติความเคลื่อนไหว นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ตนเอง ไม่เคยสั่งทหารไปนะ ไม่รู้ว่ามี แต่เชื่อทหารคงไม่ไปคุกคาม หรือละเมิดสิทธิ์ ทำอะไรเสียหาย ไม่มี ผมยืนยัน ทำไมต้องไป ยืนยันไม่มีไปคุกคาม หรือละเมิดสิทธิ์

'บิ๊กป้อม' ป้อง "บิ๊กตู่"ไม่คิดอยู่ต่อ หรือนั่ง ประธาน กก.ยุทธศาสตร์ชาติ เดี๋ยวนายกฯเสีย




'บิ๊กป้อม' ป้อง "บิ๊กตู่"ไม่คิดอยู่ต่อ หรือนั่ง ประธาน กก.ยุทธศาสตร์ชาติ เดี๋ยวนายกฯเสีย ให้ระบุในบทเฉพาะกาล มอบ สว. ดำเนินการ/เชื่อ ไม่ต้อง ออกกม.คุมประชามติ แค่รณรงค์ ให้มาลงประชามติ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการออกกฏหมาย ควบคุมการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า คิดว่าคงไม่ต้องออก พ.ร.ก. เราจะใช้วิธีการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิผ่านสื่อ และหน่วยงานต่างๆ ที่จะต้องช่วยกัน น่าจะยึดแนวทางนี้ดีกว่า
ขณะนี้เราก็ได้ดำเนินการเชิญชวนประชาชนให้ออกมาลงประชามติ โดยมีนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ดำเนินการอยู่
อีกทั้งหน่วยทหารทหารทั่วประเทศ และกระทรวงมหาดไทยที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ผมอยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิมาก ๆ เพราะร่างรัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน ไม่อยากให้นอนหลับทับสิทธิ และในช่วงการทำประชามติ จะไม่มีการออกกฎหมายพิเศษมาดูแลความเรียบร้อยแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าเป้าหมายข้อที่ 16 ที่ครม.เสนอแก้ร่างรธน. คืออะไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างให้เป็นแบบสากลที่จะมีบทเฉพาะกาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ตามเจตนารมณ์ คสช.ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศ
ส่วนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็เป็นการวางกรอบ กว้างๆ ไม่ได้เป็นการกำหนดเจาะจง เพียงแต่การดำเนินการดังกล่าวก็อยากให้มีหนทางการทำงาน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ได้พยายามทำเรื่องนี้ ต่างประเทศก็มีเรื่องแบบนี้ที่ทำให้ประเทศของเขามีความเรียบร้อย ไม่มีเรื่อง ตัดขา กันแบบนี้
ผมอยากให้ประเทศชาติมีความสงบเป็นระเบียบเรียบร้อย และอยากให้เดินหน้าต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่าน กลไกต่างๆ จะอยู่ที่ ส.ว. ในอนาคต จะมีการเลือกตั้งได้อย่างไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่มี อย่ามาถามแบบนี้ นายกฯจะเสียหมด แล้วจะมีคนออกมาต่อต้าน ซึ่งขอให้เป็นหน้าที่ของส.ว.ดีกว่า นายกฯจะไม่ยุ่ง เพราะเราตั้งใจที่จะทำให้ดี ผมขอให้ร่วมมือกันในเวลาปีกว่าที่เหลือ เพื่อให้ออกมาชัดเจนระหว่างฝ่ายที่เลือกตั้งกับฝ่ายที่แต่งตั้ง
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่กังวลว่าจะเกิดวิกฤติช่วงเปลี่ยนผ่าน ในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ดี ที่ผ่านมาเราทำมา 2 ปีแล้วก็ต้องช่วยกัน ผมหวังให้สื่อช่วยสร้างความรับรู้ให้ประชาชน เราไม่อยากไปตอบโต้ใคร อยากให้เห็นว่ารัฐบาล และคสช. รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกัน ตลอดจนอดีตนักการเมืองก็ต้องช่วยกัน เราต้องค่อยๆ เปลี่ยน และค่อยๆเดิน จะไปหักมุมทีเดียวคงไม่ได้

"พลเอกประวิตร"ยัน คาร์บอมบ์ปัตตานี เป็นพวกคิดต่าง แบ่งแยกดินแดน ไม่เกี่ยวBlack Swan หรือIS

"พลเอกประวิตร"ยัน คาร์บอมบ์ปัตตานี เป็นพวกคิดต่าง แบ่งแยกดินแดน ไม่เกี่ยวBlack Swan หรือIS ย้ำอยากให้ บิ๊กจิ๋ว พาไปดู /สภากลาโหม รับทราบ การข่าว ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ Is ในไทย แต่อย่าประมาท เตือนสื่อเสนอข่าวระวัง กระทบมั่นคง ละเอียดอ่อน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงเหตุ คาร์บอมบ์ ที่ ร้านอาหาร จ.ปัตตานี ว่า เป็นพวกคิดต่าง แนวคืดแบ่งแยกดินแดน ที่มีการจารกรรมรถ แล้วนำไปก่อเหตุ
พลเอกประวิตร เชื่อว่า ไม่เกี่ยว องค์กรBlack Swan หรือIS ใดๆ บอกแล้วว่า ไม่เคยได้ยิน อยากให้ พลเอกชวลิต ท่านพาไปดู อีกทั้ง ไอเอส. ในไทย หรือใต้ก็ไม่มี แม้จะมีการใช้ความรุนแรง ในการฟันพระสงฆ์ก็ตาม
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เผยว่า ที่ประชุมสภากลาโหม ที่มี พลเอกประวิตร เป็นประธาน ร่วมด้วย และปลัดกห. ผบสส.ผบ.เหล่าทัพ ได้ รับทราบ การรายงานด้านการข่าว ว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้เรื่องความเคลื่อนไหวของ กลุ่ม ไอเอส. ในไทย หรือชายแดนภาคใต้ แต่ก็ให้ระมัดระวัง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและ สร้างความเข้าใจกับ ปชช.
โฆษกกลาโหม พรัอมเตือนสื่อ ว่า ข่าวเรื่องการก่อการร้าย เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอให้ระมัดระวัง เพราะมีผลกระทบต่อความมั่นคง และขอให้รับข้อมูลข่าวสารจากราชการ โดยตรง
ถูกใจ

สภากลาโหม อนุมัติ ร่างแผนยุทธศาสตร์ Cyber เพื่อป้องกันประเทศ คุกคามด้านไซเบอร์

สภากลาโหม อนุมัติ ร่างแผนยุทธศาสตร์ Cyber เพื่อป้องกันประเทศ คุกคามด้านไซเบอร์-การทหาร-การสร้างความไม่สงบ
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เผยว่า ที่ประชุมสภากลาโหม ที่มี พลเอกประวิตร เป็นประธาน ร่วมด้วย และปลัดกห. ผบสส.ผบ.เหล่าทัพ ได้ อนุมัติแผนร่างยุทธศาสคร์ Cyber เพื่อป้องกันประเทศ เสริมประสิทธิภาพ และป้องกันภัยคุกคาม ที่ปัจจุบันมีการนำทาใช้เป็นเครื่องทางการทหาร และในการสร้างความไม่สงบ เพื้อให้การทำงานมรความเป็นเอกภาพ และประสิทธิภาพ
รวมทั้งเพื่อเสรีภาพในการใช้ไซเบอร์ และจำกัดเสรีฝ่ายแทรกแซง โดยใช้ 3 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์การป้องกัน โดยการตั้ง หน่วยงานกลาง ดูแลความปลอดภัยระดับชาติ และ ร่วมมือมิตรประเทศ
ยุทธศาสตร์ป้องปราม -ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง ภัยคุกคาม ด้านไซเบอร์
ยุทธศาสตร์การผนึกกำลัง โดยเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงาน ด้าน ไซเบอร์ระดับชาติ พร้อมรับวิกฤติ โดยให้เริ่มจัดทำแผนแม่บท และแผนปฏิบัติการ ระดับหน่วย

นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์


หนักหนา !!!
ไม่ใช่ให้ถามแค่4 คำถาม 
และไม่ใช่ให้ถามแค่1คำถาม เช่นที่ผ่านมา
แต่ 29กพ.59วันนี้ นายกฯบิ๊กตู่ ให้ จนท.ทำเนียบฯ เชิญนักข่าวที่นั่งรอกันมา 2 ชม.ครึ่ง กลับรังนกกระจอก อย่ามายืนออ รอมุง เพราะนายกฯบอกว่า จะไม่ให้สัมภาษณ์
ถือว่าเป็นเริ่องธรรมดา ที่นายกฯแจ้งว่า ไม่ให้สัมภาษณ์ 
...แต่ที่ หนักหนา คือ ไม่ให้ นักข่าวยืนระยะใกล้ๆ หรือ รอดู รอส่ง นายกฯตอนเดินจาก ตึกสันติไมตรี ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้่า อีกด้วย
เรียกว่า ให้เคลียร์ ไม่ให้มีนักข่าว ให้เห็นเลยก็ว่า ได้...
แหม่ะ !! ทำไมไม่บอก ตั้งแต่ เริ่มประชุม BOI จะได้ไม่ต้อง นั่งรอกันหลายชั่วโมง....
บางคน มองในแง่ดีว่า นายกฯอาจ แถลง วันอังคาร ประชุมร่วม ครม.-คสช.เพื่อถกแก้ไข รธน.ชั่วคราว เพื่อเปิดช่องทำประชามติ เลยทีเดียว....
...หรือ ไม่ก็ อาจจะไม่แถลง ไม่ให้สัมภาษณ์ เลยก็ได้.....
หรือว่า วันนี้ Leap Day นายกฯ เลยอยากเงียบ !!

ประวิตรขอยิ่งลักษณ์อย่าได้วิตก ทหารแค่ดูแลความปลอดภัย ที่ถ่ายรูปอาจเห็นท่านสวย


(29ก.พ.2559)พล.อ.ประวิตร ขอ 'ยิ่งลักษณ์' อย่าได้วิตก ทหารแค่ดูแลความปลอดภัย ที่ถ่ายรูปอาจเห็นท่านสวย พร้อมระบุไม่มีทหารไปคุกคาม 'ปวิน' ชี้เจ้าหน้าที่จะไม่ทำอะไรที่ไปคุกคาม หรือละเมิดสิทธิมนุษยชน

29 ก.พ. 2559 จากกรณีวานนี้ (28 ก.พ.58) มติชนออนไลน์ นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. หลังจากที่ตนและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เดินทางไปงานสวดพระอภิธรรมศพพี่ชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ ที่บางบอน ปรากฏว่าระหว่างที่พระสวดอยู่นั้น ได้มีทหารบุกเข้าไปในศาลา ถ่ายรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่นั่งเป็นประธานอยู่ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้หันมาหาตนและพูดว่า “โอ้โห อย่างนี้กันเชียวหรือ ขนาดมาสวดศพยังตามราวีไม่รู้จักจบสิ้นซักที” ซึ่งคนที่มาร่วมงานต่างก็ตกใจคิดว่าบุกเข้ามาจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งนี้ สภาพแบบนี้คนในประเทศจะรู้สึกอย่างไร อดีตนายกฯยังโดนลิดรอนสิทธิอย่างน่าเกลียด มันมากไปหรือเปล่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มาราวีเพื่ออะไร อีกทั้งยังมากดดันกันในงานบุญงานศพ จึงอยากบอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เลิกตามราวีผู้หญิงเสียที

ล่าสุดวันนี้ ( 29 ก.พ.59) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ ถูกทหารคุกคาม ตามถ่ายภาพขณะปฎิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ว่า เจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ก็คือ การดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยเพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  คสช. ในพื้นที่ก็จะโดนตำหนิและต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นไม่อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดอะไรมาก ขอให้ใจเย็น ๆ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่ดี ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพอาจเป็นเพราะอดีตนายกฯ เป็นคนสวยก็เป็นได้ แต่ถ้าหากไม่ชอบ ตนก็จะเปลี่ยนให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ
"เขาก็อาจเห็นท่านสวยมั้ง ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่เป็นไร โธ่ ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปคิดอะไรมาก คิดมากไปเท่านั้น คิดไปโน้น คิดไปนี่ แหม่ อย่าไปวิตกนะ ไม่ต้องวิตก ไม่ได้ไปทำอะไรท่านอยู่แล้ว มีแต่รักษาความปลอดภัย" พล.อ.ประวิตร กล่าว


"พุทธอิสระ"แจ้งถอนประกัน"ตู่"


Cr:หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
ถึงเวลาที่ผู้ต้องหา คดีก่อการร้ายต้องโดนบ้างแล้ว
๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ฝากบอกประธาน นปช. ว่า หากอยากนอนคุกนานๆ ก็ด่าฉัน ใส่ร้ายฉัน และโกหกมดเท็จให้มากๆ
เดี๋ยวพุทธะอิสระ จะได้จัดให้อีกสักดอก ๒ ดอก
วัดอ้อน้อย ตำบลห้วยขวาง
อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
เรื่อง ขอให้ถอนประกันผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย
เรียนอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ คุณภาณุพงษ์ โชติสิน โปรดพิจารณา
“เงื่อนไขในการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ศาลสั่งคือ ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตราย กระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น
หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล”
จากพฤติกรรมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยในคดีก่อการร้ายได้กระทำผิดเงื่อนไขในลักษณะที่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น และกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงและความเป็นอยู่ของผู้อื่น
ด้วยการกล่าวเท็จ ใส่ร้าย ดูถูก เหยียดหยาม ให้อาตมาเสื่อมเสียชื่อเสียง ได้รับความเกลียดชัง ทั้งยังบังอาจจาบจ้วงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชให้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ
กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ได้กล่าวเท็จ
ใส่ร้ายให้อาตมาเป็นภิกษุ ผู้ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
ทำให้หมู่สงฆ์ระแวงสงสัย และรังเกียจ ในสถานะภิกษุของอาตมา อีกทั้งการใส่ร้ายกล่าวเท็จเช่นนี้
ในทางพระธรรมวินัย ถือว่าเป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต
ไม่มีสิทธิจะเข้ามาบวชได้อีกตลอดไป เป็นการกล่าวหาใส่ร้ายรุนแรง กระทบกระเทือนถึงสถานภาพของความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
เป็นโทษที่ไม่สามารถทำคืนให้กลับมาดีได้
อาตมาจึงถือว่า ผู้ต้องหาจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ทำผิดเงื่อนไขของศาลอาญาที่เมตตาให้ประกันตัว
นอกจากนี้นายจตุพร ยังพยายามกล่าวเท็จ กล่าวหาใส่ร้าย ทำลายอาตมาด้วยวาจาออกสื่อสารมวลชนอยู่ต่อเนื่องๆ เช่น ใส่ร้าย กล่าวหาว่า อาตมาเป็น ๑ ในแก๊ง ๓ พ. ซึ่งคำว่าแก๊งในพระธรรมวินัย ถือว่าเป็นความประพฤติชั่วหยาบ ไม่มีสมณสารูป ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคำกล่าวหาว่า อาตมาไม่ใช้ภิกษุในพุทธศาสนา
กรณีที่กล่าวหา ดูหมิ่นเหยียดหยามอาตมาออกทางสื่อสารมวลชนว่าเป็นผู้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
และยังมีอีกหลายกรณี ตามที่ปรากฏในเอกสารและซีดีคลิปภาพเสียงของผู้ต้องหานายจตุพร พรหมพันธุ์ที่ส่งมาด้วย
ที่สำคัญ ผู้ต้องหานายจตุพร พรหมพันธุ์ ยังบังอาจกล่าวล่วงจาบจ้วง ดูหมิ่นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ในกรณีทรงออกพระลิขิตปลอม รายละเอียดอยู่ในหลักฐานที่แนบมาด้วย
พร้อมทั้งมีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา คำวินิจฉัยของดีเอสไอ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานนั้นยืนยันว่าพระลิขิตเป็นของจริง และมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย
อีกทั้งยังมีมติมหาเถรสมาคม คณะรัฐมนตรี และกรมการศาสนา รับรองพระลิขิตนั้นด้วย
ด้วยพฤติกรรมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ได้รับความเมตตาต่อศาลอาญา ด้วยมุ่งหวังว่า จะเปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรม ในขณะที่อยู่นอกคุก
แต่การกลับตรงกันข้าม จากที่ปรากฏต่อสาธารณชน นักโทษจตุพร พรหมพันธุ์ หาได้ตระหนักสำนึก ถึงเหตุแห่งความเมตตา ที่ศาลมีให้ไม่
แต่กลับใช้โอกาสและความเมตตาของศาลมาทำร้าย ทำลายอาตมาอยู่บ่อยครั้ง จนกำเริบถึงกับจาบจ้วงสมเด็จพระสังฆราช
หากขืนปล่อยให้ผู้ต้องหาคดีร้ายแรง ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนต่อไป
จักเป็นข้อกังขาของสังคมว่า ทำไมคนก่อการร้ายถึงได้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคมได้เช่นเดิม ทั้งที่ต้องคดีร้ายแรง
อาตมาจึงใคร่ของความกรุณา ท่านอธิบดีกรมอัยการคดีพิเศษ ได้พิจารณาพยาน หลักฐานทั้งหมดที่ส่งมานี้ เพื่อพิจารณาสอบสวนให้ความเป็นธรรมแก่อาตมา โดยการทำคำร้องขอถอนประกันต่อศาลอาญาแก่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เพื่อระงับความเสียหายแก่อาตมาและสังคมสืบไป
เจริญพร
.....................................................
หลวงปู่พุทธะอิสระ