PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?


จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?

โดย MGR Online   
29 กุมภาพันธ์ 2559 06:03 น. (แก้ไขล่าสุด 29 กุมภาพันธ์ 2559 08:57 น.)
จดหมายน้อย “วิษณุ” ฉาว “ไม่ผิดไม่แคร์” จะเสียคน?
        สะเก็ดไฟ
       
       ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครองอำนาจ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ถือเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่แป๊ะจะขาดเสียไม่ได้ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน กลายมาเป็นกิ้งกือตกท่อกันง่ายๆ แบบนี้
       
       
       หลังมีจดหมายน้อยที่เขียนถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองว่อนโลกโซเชียลมีเดีย เพื่อขอให้ช่วยพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังในข้อหาแจ้งความเท็จรายหนึ่ง งานนี้จัดเป็นเรื่องใหญ่สะท้านสะเทือนเรือแป๊ะแน่ เพราะเป็นคนในรัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรีกันเลยเชียว
       
       แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนว่าตามตัวบทกฎหมายแล้ว เจ้าของฉายาเนติบริกรถือว่ามีความผิดหรือไม่ แต่จากปรากฏการณ์ครั้งนี้ทำให้มีคนนำไปเทียบเคียงกับกรณี ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ที่ทำบันทึกส่วนตัวจำนวน 2 ฉบับส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่านายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจยศ พ.ต.ท. นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ สุดท้ายหัสวุฒิต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ เพราะเรื่องดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักจริยธรรมในระบบราชการ
       
       กรณีของเนติบริกรวิษณุก็เช่นเดียวกัน ต่อให้วันนี้จะประดิดประดอยคำตามประสาเซียนกฎหมายที่พลิ้วไหวเก่ง แต่ในแง่จริยธรรม ถือว่าผิดเต็มเปา
       
       แม้ผลของการเขียนจดหมายจะแตกต่างกับของหัสวุฒิ ที่มีเจตนาฝากเด็กให้เติบโตในหน้าที่ก็ตาม เพราะไม่ว่าเจตนาจะต้องการจะฝากเด็ก หรือช่วยเหลือคน เมื่อทำแบบลับๆ ล่อๆ เจาะจงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมถูกมองว่าคือ การพยายามใช้เส้นสาย หรือคอนเนกชั่นที่มี ทำอะไรที่เป็นพิเศษขึ้นมา
       
       ขณะเดียวกัน เรื่องการขอพักโทษที่เนติบริกร จะเข้าไปช่วยผู้ต้องขังคนหนึ่ง มันยังมีข้อสังเกตทางกฎหมายอยู่ดีว่า มันถึงเวลาจะทำแล้วหรือยัง เนื่องจากตามระเบียบของการพักโทษ นักโทษจะต้องรับโทษไปแล้ว 2 ใน 3 อย่างกรณีผู้ต้องขังรายนี้ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี หากจะพักโทษได้ ก็ต้องติดคุกไปก่อน 1 ปี 4 เดือน แต่นี่มันยังไม่ถึงเลย
       
       หรือให้ถกกันในแง่กฎหมายที่เนติบริกรวิษณุระบุว่า เรื่องการขอพักโทษสามารถทำได้ ยิ่งผู้ต้องขังเป็นนักโทษชั้นดีอย่างที่ปากบอกแล้ว ตามระเบียบก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย จะเข้าไปก้าวก่ายอะไร
       
       ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายน้อยกำกับสลักหลังตามไปอีก ไม่ต้องเขียนยืดยาว ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องถึงคนระดับเนตบริกรวิษณุต้องลงมากำกับเอง เมื่อถึงเวลาเขาก็จะได้รับการพักโทษเองมิใช่หรือ ?
       
       ดังนั้น เรื่องนี้มันดูมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่
       
       ในแง่ความเป็นจริงอีกอย่างที่เนติบริกรวิษณุระบุว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะพิจารณาหรือไม่ก็ได้นั้น ถามว่า ถ้ามีจดหมายน้อยซึ่งเขียนกำกับหลังโดยคนเป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญยังกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมด้วย ถามว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะกล้าปฏิเสธไม่ปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งมันไม่มีทางเลยที่จะกล้าเกี่ยงงอนนายใหญเหนือหัวตัวเอง
       
       นอกจากนี้ ในจดหมายน้อยยังมีการอ้างชื่อ คุณหญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพ มันยิ่งทำให้เป็นการไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง ทำให้คนมองว่า เป็นการอ้างชื่อผู้ใหญ่ พวกข้าราชการตัวน้อยๆ ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธเข้าไปอีก ทั้งที่ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้
       
       ฉะนั้น กรณีนี้มันก็เป็นความผิดคล้ายคลึงกับหัสวุฒิเอามากๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
       
       แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดันว่าไม่ผิด ไม่แคร์ ใช้ความเป็นนักกฎหมายชั้นแนวหน้าของประเทศเลี่ยงบาลีเพื่อสลัดเสียงติฉินนินทาไปเรื่อย ไม่พ้นคำครหา ทีกับคนอื่นความผิดเท่าขุนเขา ครั้นพอถึงตัวเราเท่าขี้มด
       
       แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ของเนติบริกรนั้นถือว่าย่ำแย่แล้วในสายตาของสังคม ถูกคนนินทาหมาดูถูกระงมทั่วว่าคนระดับครูอาจารย์ที่มีนักกฎหมายทั่วประเทศเป็นลูกศิษย์ กำลังทำเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างไม่น่าให้อภัย
       
       
       เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นเลยว่า จริงๆ แล้ว เนติบริกรวิษณุก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าใคร และยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยว่า นี่แหละพื้นฐานธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ว่าวงการไหน มีเรื่องอุปถัมภ์ค้ำชูเพื่อนพ้องน้องพี่คนใกล้ชิดเสมอ วิษณุเองว่าไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองที่มีคอนเนกชันเท่าไหร่หรอก มีนักธุรกิจใหญ่อยู่ใต้ปีกจำนวนไม่น้อยเข้ามาพบในทำเนียบรัฐบาลก็เห็นอยู่บ่อยๆ อย่าลืมว่าช่วงพักงานการเมือง วิษณุคือที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศหลายแห่ง ซี้ย่ำปึ้กกับ ศักดิ์ชัย ธนบุญชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นักธุรกิจที่ถือหุ้นในบริษัทชื่อดังของประเทศหลายแห่ง
       
       บอกได้เลย ช็อตนี้เรือแป๊ะโคลงเคลงแน่ เพราะทำคนเสื่อมศรัทธา ผิดหวังกับรัฐบาลคนดีอีกระลอก หลังก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ การขุดลอกคูคลองขององค์สงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่สะกิดความเชื่อมั่นประชาชน ยังมาเจอเรื่องนี้แบบติดๆ กันแถมมีหลักฐานเป็นใบเสร็จมัดแจ่มแจ้งแดงแจ๋อีก ไม่รู้จะดิ้นหรือแถกันอีท่าไหน
       
       แต่ดูท่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. คงอุ้มกันจนถึงที่สุด เพราะเนติบริกรวิษณุ เป็นยาสามัญประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นหัวหอกคีย์แมนคนสำคัญในด้านกฎหมาย ที่ใช้ต่อกร ฟาดฟันกับศัตรูทางการเมือง และการวางค่ายกลกฎหมายต่างๆ ให้กับ คสช. ถึงขนาดเคยมีข่าวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญของ ซือแป๋-มีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่าน จะเอาวิษณุมานั่งร่างเองกันเลย เพราะเข้าใจเจตนาแป๊ะมากที่สุด
       
       หรือดูแค่พอเกิดเรื่อง “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ได้รับคำชื่นชมว่าตัวเล็กใจใหญ่ เรื่องปราบโกง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอกับเรื่องนี้รีบออกมากันท่า อุ้มเนติบริกรกันสุดฤทธิ์ว่าทำได้ ไม่ผิด ประทับตราให้ทุกอย่าง ดังนั้นงานนี้เชื่อขนมกินได้ แป๊ะหวงยิ่งกว่าไข่จงอาง อารักขายิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่มีวันเฉดหัวทิ้งกลางทางแน่
       
       ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกเตะกระเด็น โทษฐานสร้างความเสื่อมเสีย แต่กับคนนี้ ถ้าแป๊ะไม่มี เป็นอันว่าพัง หมดเครื่องมือทางกฎหมายในการไปสู้รบปรบมือทันที
       
       แต่ก็คิดให้ดี ทำแบบนี้จะเป็นตัวกัดเซาะความเชื่อถือของรัฐบาลเอง! 

ไม่มีความคิดเห็น: