PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

‘วิชัย-คิง เพาเวอร์’โซ่ข้อกลางคล้องคสช.

‘วิชัย-คิง เพาเวอร์’โซ่ข้อกลางคล้องคสช.

‘วิชัย-คิง เพาเวอร์’โซ่ข้อกลางคล้องคสช.

              นาทีนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “คิง เพาเวอร์” คืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ของ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” และกว่าจะมาเป็น “วิชัย” ในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้ากับคนง่าย คอนเนกชั่นของเขาจึงมีแทบทุกวงการ ทั้งการเมือง ทหาร ตำรวจ กระทั่งข้าราชการ
 
              ไม่แปลกที่ความสำเร็จของ “วิชัย” ที่อยู่ในเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายยุค หลายสมัย จะถูกจับตามองเป็นพิเศษว่า เป็นรอยต่อของ “ขั้วอำนาจ กลุ่มทุน ของการเมืองใหม่” ที่จะมีขึ้นในอนาคตนี้
 
              การปรากฏตัวคู่กันบ่อยครั้งของวิชัยกับเนวิน ชิดชอบ อดีตนักการเมืองชื่อดัง คงไม่ต้องอธิบายกันว่า วิชัย และ เนวิน ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แนบสนิทกันขนาดไหน
 
              วิชัย ถือเป็นกลุ่มทุนใหญ่ในการสนับสนุนกลุ่มพรรค “ภูมิใจไทย” ที่มีเพื่อนรักอย่าง เนวิน และ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับมรดกหัวหน้าพรรคจาก ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้เป็นบิดา
 
              และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ทั้ง วิธีคิด และสไตล์การทำงานแบบถึงลูกถึงคน ยิ่งทำให้พวกเขาทั้งสาม แนบแน่นกันขึ้นอีก
 
              ว่ากันว่า คอนเนกชั่นของ “วิชัย” นั้นอยู่ในขั้นพิเศษ ที่สามารถเข้าถึงทุกวงการ ย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปี ก่อน เมื่อครั้งที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของเมืองไทย ด้วยความที่แนบสนิทกับเนวิน เขายอมที่จะเปิดโรงแรมพูลแมน ย่านรางน้ำ เป็น “ศูนย์บัญชาการต้านรัฐประหาร” 19 กันยายน 2549
 
              แม้เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือไปอยู่กับ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. “วิชัย” ก็ยังเป็นแขกวีไอพี เดินเข้านอกออกใน บ้านพักของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ได้เสมอ
 
              การเมืองหลัง คมช. ยิ่งทำให้ภาพของวิชัย และเนวิน เป็นมากยิ่งกว่าหุ้นส่วนการเมือง สามารถขยายเครือข่ายธุรกิจ หลังจากที่ “เพื่อนรักเนวิน” สลัดพรรคทักษิณ ไปจับมือดันให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
 
              หรือแม้กระทั่งการเมืองในยุคนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “วิชัย” ก็ยังรักษา คิง เพาเวอร์ ให้อยู่ในมือได้
 
              ในแวดวงตำรวจ “วิชัย” รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตั้งแต่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
 
              หรือในแวดวงข้าราชการ โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม แทบไม่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ ที่เขารู้จักข้าราชการทุกระดับ และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ในงานพิเศษของกระทรวง
 
              ชื่อ-ชั้นของ “วิชัย” คอนเนกชั่นพิเศษ ไม่ได้มีแค่เพียงคนการเมืองในประเทศ เท่านั้น เขาไปไกลถึงอังกฤษ ทั้งในฐานะเจ้าของทีมฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก และมีข่าวในสังคมชั้นสูงของอังกฤษ ในกิจกรรมแข่งม้า ที่ถือเป็นกีฬาชั้นนำระดับราชวงศ์อังกฤษเสด็จร่วมงานเสมอ
 
              ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ “เนวิน” ได้ชักนำ ให้ “วิชัย” รู้จักกับบิ๊กใน คสช.หลายคน
 
              Praimetime new ได้ข้อมูลว่า ด้วยความสัมพันธ์กับบิ๊ก คสช.หลายคน ไม่แปลกที่ “วิชัย” ซึ่งมากด้วยคอนเนกชั่น จะถูกมองว่า เป็น “โซ่ข้อกลาง” เพื่อสานต่ออำนาจของ คสช. ในรูปของพรรคการเมือง
 
              “วิชัย-เนวิน-อนุทิน” บวกด้วยร่างเงาของพี่ใหญ่แห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกจับตามองว่า นี่เป็นการรวมกลุ่มอำนาจ กลุ่มทุน เพื่อรองรับการเมืองใหม่ และสืบสานอำนาจของ คสช.
 
              จิ้งจอก-เจ้าสัวบนเส้นทางที่แตกต่าง
 
              เป็นครั้งแรกใน 132 ปีที่ทีมเลสเตอร์ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ และไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่เป็นด้านที่สดใสที่สุดของ วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อธุรกิจดิวตี้ฟรี และหนึ่งในมหาเศรษฐีของประเทศไทยในวันนี้
 
              ณ นาทีนี้ วิชัย คือประธานสโมสรฟุตบอลที่สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการฟุตบอลอังกฤษ เป็นขวัญใจของแฟนบอลอังกฤษทั่วโลก และคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ได้กลายเป็นสนามฟุตบอลที่โด่งดังที่สุดในวันนี้
 
              สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในสนามฟุตบอลของวิชัย คือ ธุรกิจค้าขายสินค้าปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรี ที่มีมูลค่ากว่า 68,000 ล้านบาทต่อปี
 
              แต่ขณะที่ชัยชนะของเลสเตอร์ซิตี้ เด็ดขาดและใสสะอาดปราศจากข้อกังขา หนทางการก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาเศรษฐีของวิชัยกลับเต็มไปด้วยคำถาม
 
              อาคารมหาทุนพลาซ่า สี่แยกเพลินจิต แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของอาณาจักรธุรกิจดิวตี้ฟรีในประเทศไทยของวิชัย ภายใต้ชื่อบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในปี 2532
 
              จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2538 เมื่อคิงเพาเวอร์ได้รับสัมปทานประกอบกิจการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินดอนเมือง ท่ามกลางข้อสังเกตถึงเครือข่ายการเมืองที่วิชัยรู้จักเป็นอย่างดี
 
              วิชัยทะยานขึ้นสู่การเป็นเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีในเวลาอีกเพียงสองปีต่อมา เมื่อรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อนุมัติให้ คิง เพาเวอร์ ได้สิทธิในการบริหารดิวตี้ฟรี ที่ตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นเวลานานถึง 10 ปี โดยไม่ได้มีการเปิดประมูลให้เอกชนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน
 
              ผู้อยู่เบื้องหลังคือ ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ผู้เป็นเจ้าของวลีเด็ด “เก็บหลักการไว้ในลิ้นชัก”
 
              การเข้าไปบริหารร้านดิวตี้ฟรีของคิงเพาเวอร์ครั้งนั้น ตามมาด้วยคำถามมากมายโดยเฉพาะการไม่ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ
 
              ในปี 2541 รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุป
 
              คิงเพาเวอร์ เดินมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง ในปี 2547 เมื่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ยอมขยายสัมปทานดิวตี้ฟรีของคิงเพาเวอร์ที่จะย้ายจากสนามบินดอนเมืองไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ต่อไปอีก 10 ปี โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูลใหม่
 
              สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีคมนาคมในขณะนั้น คือคนที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์ทางการเมืองของวิชัยและคิงเพาเวอร์อีกครั้งหนึ่ง
 
              นอกจากสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว คิงเพาเวอร์ยังได้รับคัดเลือกให้เข้าไปรับสัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินในภูมิภาคอีก 4 แห่ง เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่เปิดประมูลให้เอกชนรายอื่นเข้ามาแข่งขันเช่นเดียวกัน
 
              มีคำถามและเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบตามมาจากทั้งนักวิชาการและสื่อมวลชน โดยเฉพาะในเรื่องความโปร่งใส ผลตอบแทนที่รัฐบาลควรได้รับ แต่การตรวจสอบของคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาก็ไม่เคยมีข้อสรุป
 
              แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งวิชัยและคิงเพาเวอร์ได้ คิงเพาเวอร์กลับมาได้สัมปทานร้านดิวตี้ฟรีที่สนามบินดอนเมืองอีกครั้ง พร้อมๆ กับการตั้ง “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์” บนที่ดิน 33 ไร่ ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซอยรางน้ำ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งทุกวันนี้เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
 
              สถานที่เดียวกันนี้ยังมีโรงแรม ที่เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี ใช้เป็นศูนย์บัญชาการดูแลธุรกิจ พบปะหารือกับคนในแวดวงต่างๆ และไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้จะถูกใช้เป็นที่พบปะของนักการเมืองและกลุ่มคนจากแวดวงต่างๆ
 
              ทุกวันนี้ วิชัยถูกเชื่อมยังไปยังกลุ่มการเมืองหลายกลุ่มที่กำลังรอวันที่การเมืองจะกลับไปสู่ภาวะปกติ เพราะฉะนั้นการเข้าไปเป็นเจ้าของทีมเลสเตอร์ซิตี้ จึงไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีคนนี้อย่างแน่นอน
19/5/59
http://www.komchadluek.net/news/sport/227926

ไม่มีความคิดเห็น: