PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ศาลอุธรณ์ลดโทษจำคุก"คุณหญิงจารุวรรณ"1ปี

"เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลดโทษจำคุก " หญิงเป็ด-จารุวรรณ อดีต ผู้ว่า สตง. อดีต ผอ.ทรัพยากรบุคคล "เหลือ 1 ปี แต่ไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ28 ก.พ. 60 - 

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี วันนี้ ( 28 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 2054/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่จัดให้มีการสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ต.ค.46 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้น ได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานที่จัดขึ้นในวันเดียวกันแล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกัน 294,440 บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 58 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ

จากนั้นคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสน ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดีทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว ประเด็นที่คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์สู้ประเด็นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า หลังจากคณะอนุกรรมการไต่สวน รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับข้อกล่าวหาและพิจารณาว่า มีมูลแล้ว คณะอนุกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยที่ 1 ทราบ และแจ้งด้วยว่า ในการแก้ข้อกล่าวหาจำเลยอาจทำเป็นหนังสือหรือชี้แจงด้วยวาจาก็ได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้ลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหา

ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ประธานอนุกรรมการฯ ลงลายมือชื่อในคำสั่งเรียกพยานไว้ล่วงหน้านั้นเพื่อให้อนุกรรมการฯใช้ดุลพินิจไประบุชื่อพยานในภายหลัง โดยไม่ปรากฏว่ามีการมอบหมายจากคณะอนุกรรมการฯนั้น เห็นว่าอำนาจนั้นก็เป็นการใช้อำนาจที่จำเป็นต้องทำหนังสือหรือคำสั่ง เพื่อดำเนินการตามแนวทางการไต่สวน ซึ่งจะต้องลงนามโดยประธานอนุกรรมการฯจะต้องลงนามตามระเบียบ ป.ป.ช. ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ.2547 ข้อ 8 วรรคสอง แม้โจทก์จะไม่มีรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯที่เป็นพยานเอกสารมาแสดงสนับสนุนแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อพิรุธที่บ่งชี้ว่าไม่มีการมอบหมายหรือกำหนดแนวทางการไต่สวนของอนุกรรมการฯ ดังนั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ของจำเลยว่าเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ม.157 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาของศาลชั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า หลังจากคณะทำงานด้านการจัดสัมมนาที่มี นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าเห็นว่าการจัดโครงการสัมมนาที่จังหวัดน่านในช่วงเวลาเดียวกับการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานจะเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณการ แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 มีบันทึกจัดโครงการสัมมนาเสนอให้คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 พิจารณาอนุมัติ ซึ่งกำหนดสัมมนาดังกล่าวนั้นตรงกับวันถวายผ้าพระกฐิน ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย.46 ซึ่งการที่จะเข้าร่วมสัมมนาที่จัดขึ้นในวันเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กันจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต และหลังจากที่โครงการสัมมนาได้รับการอนุมัติไม่นานก็มีรายงานว่ามีจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเองนั้นมีจำนวนลดลง ทั้งที่การตรวจสอบจำนวนข้าราชการนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ย.46 โดยเมื่อทราบจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีแล้ว จำเลยทั้งสองกับผู้บริหาร สตง.ก็ดำเนินการให้ข้าราชการในโครงการสัมมนาทั้งหมดไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินทันทีพร้อมกับปรับเปลี่ยน ลดระยะเวลาสัมมนาโดยไม่ปรากฏว่าเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณาการแต่อย่างใดส่วนที่จำเลยทั้งสอง อ้างว่าการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาจาก โรงแรมซิตี้ ปาร์ค ไปเป็นสโมสรสันติภาพ 2 สืบเนื่องจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่การถวายผ้าพระกฐินเกิดความล่าช้า และเป็นการประหยัดการเดินทางและข้าราชการไม่ต้องกลับโรงแรมก่อน แต่จากการไต่ส่วนกับได้ความจากพนักงานโรงแรม พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ สตง.ยกเลิกการสัมมนาก่อนวันสัมมนาไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยโรงแรมยังไม่ได้จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มจึงไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพียงแต่คิดเฉพาะค่าใช้จ่ายในการทำป้าย 300 บาท เท่านั้น แม้จะไม่ได้ความชัดว่า เจ้าหน้าที่ สตง. ที่สั่งยกเลิกเป็นใครแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อสำคัญ เพราะเมื่อการเปลี่ยนแปลงสถานที่สัมมนาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ได้เตรียมการไว้ก่อนอีกทั้งยังได้ความจากเจ้าหน้าที่ผู้ร่วมสัมมนา 2 คนว่าหลังจากเสร็จพิธีถวายผ้าพระกฐินก็ได้เดินทางกลับโรงแรมจากนั้นจึงไปร่วมงานที่สโมสรสันติภาพ 2 จึงแสดงให้เห็นว่า การเดินทางกลับที่พักไม่ได้ใช้เวลามากทำให้ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนัก ประกอบกับมี พยานคนกลาง เบิกความว่า การถวายผ้าพระกฐินล่าช้าก็เพราะรอวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน และหลังพิธีถวายผ้าพระกฐินก็มีการทอดผ้ากฐินสามัคคีซึ่งเป็นเรื่องความสมัครใจและความศรัทธาของข้าราชการ ไม่ได้เป็นเรื่องของทางราชการแต่กลับมีการเปลี่ยนกำหนดการสัมมนาเพื่อให้การทอดผ้ากฐินสามัคคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงเป็นลักษณะการจัดสัมมนาเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่นให้ดำเนิน โดยราบรื่นมากกว่าที่จะมุ่งประโยชน์จากการสัมมนา ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ ขณะที่การจัดโต๊ะอาหารเป็นแบบโต๊ะจีนหันหน้าเข้าหากัน นั่งแต่ละโต๊ะประมาณ 10 คน ส่วนบนเวทีได้ติดป้ายข้อความว่า " ขอต้อนรับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และคณะด้วยความรักยิ่ง 31 ต.ค.2546"โดยมีการเสิร์ฟอาหารเย็นและเครื่องดื่มขณะที่สโมสรสันติภาพ 2 ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานนั้นตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชั้นล่างสำหรับข้าราชการทั่วไป ลักษณะดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นการสัมมนา อีกทั้งระหว่างงานก็มีเสียงดังรบกวน ไม่มีเอกสารประกอบ ไม่มีการถกปัญหาหรือสรุปผลสัมมนา โดยพยานก็ระบุด้วยว่าขณะรับประทานอาหารมีการเสิร์ฟแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งศาลเห็นว่าการจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลทำให้การระดมความคิด การแลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นถูกบั่นทอนให้ลดลง อีกทั้งการจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสิ่งมึนเมาให้แก่ข้าราชการถือไม่ได้ว่าเป็นการจัดสัมมนาของส่วนราชการตามความหมายที่เข้าใจทั่วไป และถือไม่ได้เป็นการจัดโครงการสัมมนาตามนิยามของการสัมมนาทางวิชาการหรือเชิงปฏิบัติการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ.2545เมื่อพฤติการณ์บ่งชี้ตรงกันว่า การจัดและอนุมัติโครงการสัมมนากระทำไปเพื่อให้ข้าราชการ สตง. ไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และการทอดผ้ากฐินสามัคคี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง แต่เบิกจ่ายงบประมาณ สตง. ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ.2545 โดยไม่มีการสัมมนาที่แท้จริง เป็นการเบิกจ่ายโดยไม่มีสิทธิทำให้ สตง.เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นตั้งแต่ต้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตาม ม.157 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ว่า ควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เห็นว่าจำเลยทั้งสองรับราชการที่ สตง.มานานจนดำรงตำแหน่งระดับสูงนับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสองมีอายุมากประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปราณี ที่ศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 2 ปี จึงหนักเกินไป สมควรแก้ไขให้เหมาะสมศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 1 ปี แต่ที่จำเลยขอให้เรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่า สตง.เป็นส่วนราชการมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการอื่นให้เป็นไปตามกฎหมายและมติ ครม.ซึ่งการตรวจสอบเพื่อให้เห็นว่ามีการใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ โดยประหยัดและได้ผลตามเป้าหมายและมีผลคุ้มค่าหรือไม่ แต่จำเลยทั้งสองกลับไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเสียเองทำให้ส่วนราชการอื่นและสังคมทั่วไป เคลือบแคลงและขาดความเชื่อมั่นในความสุจริตและระบบการตรวจสอบซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ พฤตการณ์จึงนับว่าร้ายแรง แม้ว่าคุณหญิงจารุวรรณ จะดำรงตำแหน่งในสถาบันต่างๆหลายแห่ง และนายคัมภีร์ จำเลยที่สอง มีอาการเจ็บป่วยแต่ก็ยังไม่เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะรอการลงโทษให้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นี้ ยังไม่ถือเป็นที่สุด ซึ่งคู่ความยังสามารถฎีกาได้ภายใน 30 วัน
"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378536625/

"สมเด็จพระสังฆราชฯ" ประทานโอวาท แด่ ผู้นำกองทัพ ยึดมั่นสามัคคี อันหนึอันเดียวกัน พาประเทศรอด

"สมเด็จพระสังฆราชฯ" ประทานโอวาท แด่ ผู้นำกองทัพ ยึดมั่นสามัคคี อันหนึอันเดียวกัน พาประเทศรอด ย้อนอดีตเสียแผ่นดิน เตือนใจ ชี้ เพราะพระมหากษัตริย์ไทย รวมความเป็นปึกแผ่น ทำให้รอดปากเหยี่ยวปากกา มาได้
บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกล่โหม พร้อมด้วย บิ๊กปุย พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ เช่น บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. บิ๊กณะ พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผบทน. และ บิ๊กจอม พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ.นำบิ๊กๆห้าเสือ เข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่วัดราชบพิธฯ อย่างเป็นทางการ หลังทรงได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ที่20 โดยก่อนหน้านี้ ผบ.เหล่าทัพ เคยร่วมคณะ พลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร มาเข้าเฝ้าฯ แล้ว เทื่อ14กพ.2560 ในนาม ครม.-คสช.
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ประทานพระโอวาทกับคณะ ตอนหนึ่งถึงธรรมภาษิต คือ "สัพเพส สัมภูตานี สามัคคีวุฒิสาธิกา" แปลว่า ความพร้อมเพียง แด่ชนผู้อยู่ร่วมกัน และคนที่ทำการทำงานเป็นหมู่ ยังความเจริญรุ่งเรืองมาให้เกิดสำเร็จ ธรรมภาษิตนี้อยู่ในพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่5 และที่ประตูพระอุโบสถก็เขียนไว้ เป็นการตั้งใจในการทำร่วมกัน จะทำให้เกิดผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
"อาตมา นึกย้อนกลับไปสมัยก่อน เราก็ถูกบีบคั้นไม่ใช่น้อย เราเสียแผ่นดินในสมัยนั้น ก็ไม่ใช่น้อย ธรรมภาษิตอันนี้ก็พอเหมาพอเจาะกันพอดีในการรวมกันเป็นปึกแผ่น เป็นเหล่าเป็นหมู่และครองตนเอง จนอยู่จนวันนี้ได้ พ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ "
อาตมา เห็นตรงนี้ คิดว่าดีนะที่เราทำกันได้ ตามที่รัชกาลที่5 มีพระราชประสงค์ และทรงพัฒนาประเทศ จนมาเป็นทุกวันนี้ ถ้าเราไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะไม่มาถึงทุกวันนี้
จึงขอให้เรารักษาธรรมภาษิตนี้ไว้ สืบต่อไปถึงรุ่นน้องๆรุ่นหลัง ขอให้จำๆไว้บางก็ดี
อาตมาเคยถามนักเรียนชั้น ม.8 ก็ยังไม่รู้จักธรรมภาษิตนี้เลย สมัยก่อนเมื่อศึกษา ม.6 , ม.7 ก็จะรู้ เพราะมีการศึกษาภาษาไทย โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน อาตมาจำได้ตั้งแต่ ป.4 จึงขอให้ทุกท่านนึกถึงธรรมภาษิตนี้ไว้ ซึ่งไม่ยากอะไรเลย จำได้ง่ายๆ

มทภ.1เข้าทำเนียบฯ

‪"บิ๊กแดง" พลโท อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค1 พร้อม บิ๊กหนุ่ย พลตรีธรรมนูญ วิถี รองแม่ทัพภาค1 ที่ดูแล "ธรรมกาย" เข้าทำเนียบฯพบ"บิ๊กป้อม"และ ผบ.ทบ.ก่อน นายกฯขึ้น ประชุมคสช. โดยพบว่า มีการถือเอกสารมาด้วย และคาดกันว่า เป็นแผนผัง และข้อมูล วัดธรรมกาย....โดยที่ ทั้งคู่ ไม่แสดงออกถึงความเครียด แต่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ...โดย มารายงานภารกิจของทั้งคู่นอกเหนือจาก ธรรมกาย ด้วย
ด้าน นายกฯ ปัดตอบ เตรียมคุย เรื่อง"ธรรมกาย"ในการประชุม คสช. หรือไม่
ขณะที่ บิ๊กแดง รับลูก ปยป.แเละกก.สร้างสามัคคีปรองดอง ของ บิ๊กป้อม เตรียมเปิดเวทีปรองดอง‬ รับฟังความเห็นระดับพื้นที่ ใน26 จ.ภาคกลาง เรียกประชุมใหญ่ 3 มีค.นี้ ที่กองทัพภาค1

"บิ๊กป้อม" ฟันธง!..."ธัมมชโย"ยังอยู่ในวัดธรรมกาย

"บิ๊กป้อม" ฟันธง!..."ธัมมชโย"ยังอยู่ในวัดธรรมกาย ...ขอให้ออกมามอบตัว
พลเอกประวิตร เผยสิ่งบอกเหตุ ที่เชื่อว่า"ธัมมชโย"ยังอยู่ในวัดธรรมกาย เพราะปกป้องกันเหลือเกิน ไม่อย่างนั้นจะป้องกันอะไรขนาดนั้นทำไม เป็นลักษณะการป้องกันบุคคล ไม่ใช่ปกป้องสถานที่ เราจึงต้องใช้ ม.44..ลั่น ขอให้ออกมามอบตัว ทุกอย่างจะได้คลี่คลายในทางที่ดี...ตอนนี้ ขอเวลา จนท.ก่อน

ขอโทษ ขอบคุณ สวัสดี

"ผมไม่เคย ลืมตัว"....
"ผมก็รู้ว่าอยู่ในฐานะใด ผมไม่เคยลืมตัวเอง อะไรถูกคือถูก อะไรผิดคือผิด อะไรที่ผมทำไป แล้วอาจจะมีปัญหา ผมก็ขอโทษ คนเรามันอยู่ ด้วยคำเหล่านี้ ขอโทษ ขอบคุณ สวัสดี เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ต้องมีเหตุผล อย่าไปดันทุรัง ทุกอย่างถ้าดันทุรังไปมาก็มีแต่ยับเยินด้วยกันทั้งคู่ คนที่ได้เสียคือประชาชนและประเทศชาติ”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
28กพ.2560

ม.44ชะตากรรมที่ต้องเลือก

"บิ๊กตู่" ลั่นม.44 กับวัดธรรมกาย เพราะใช้กฎหมายปกติไม่ได้ เป็นชะตากรรมที่คนไทยต้องเลือกเอง - ข่าวสด
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ชี้แจงถึงกรณีของวัดพระธรรมกายกับมาตรา 44 ว่า ที่ผ่านมากฎหมายปกติใช้ไม่ได้ รัฐบาลจึงได้ตัดสินใจใช้มาตรา 44 ซึ่งหลายคนก็อาจมองว่าไม่ได้ผล แสดงว่าคสช.ไม่ได้รับการเชื่อถือหรือเอาไม่อยู่ แต่ความจริงแล้ว คสช.ต้องการให้สังคมได้เห็นว่านี่คือปัญหาร่วมกันของคนทั้งประเทศ ที่ใช้กฎหมายอะไรก็ยุติคนไม่ดีไม่ได้ แล้ววันข้างหน้าเมื่อไม่มีมาตรา44 ไม่มีคสช.แล้วจะอยู่กันอย่างไร
ทุกคนจะยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอีกหรือไม่ การใช้กฏหมู่ ไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยที่ คสช.ใช้เพราะต้องการให้ทุกคนคิดพิจารณาว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด จะช่วยกันทำให้ประเทศมีความปลอดภัยอย่างไร จะได้ไม่ต้องมาหวังให้ทหารมาแก้ปัญหาที่ทุกคนไม่ช่วยกันแก้ โดยผลักภาระ แล้วก็เล่นงานเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายแล้วต้องคดีเหมือนเช่นเหตุการณ์เมื่อปี 2553
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นี่เป็นชะตากรรมที่คนไทยทุกคนต้องเลือกเอง ไม่มีใครช่วยได้ และต้องการบอกกับประชาชนทั้งประเทศให้ช่วยกันคิด ไม่ใช่เฉพาะกรณีธรรมกาย
รายงาน:ลิงลพฯ/สื่ออาสา

การเชื่อมโยง"ทักษิณ"ธรรมกาย

ข้อมูลส่วนหนึ่งที่มีความพยายามการเชื่อมโยงเรื่องธรรมกายกับการเมืองโดยเฉพาะการพุ่งไปที่ตัวละครสำคัญทางการเมืองอย่าง"ทักษิณ ชินวัตร"
///
Vachara Riddhagni

นี่คือเนื้อหาสำคัญของพระลิขิตในอดีตสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงเขียน ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม เมื่อ 26 เมษายน 2542 ยุคนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนี้
"ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไป กลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาลนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนัตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคต ที่หนัก"
และ "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที" ( 5 เมษายน พ.ศ.2542)
"ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศานา"
ซึ่งธรรมกายลัทธิอ้างว่าเป็นลิขิตปลอม และทางการในขณะนั้น ไม่มีการดำเนิการอย่างไรอย่างหนึ่ง เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รวมทั้งตีกินว่า "สมเด็จพระสังฆราช" องค์ที่แล้วคงไม่ติดตาม เพราะเป็นการจองเวร รวมทั้งกลไกและขบวนการสงฆ์และการเมืองต่างมองความสมประโยชน์และเครือข่ายโยงใยในหมู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงที่เกีั่ยวข้องกับธรรมกายลัทธิหรือได้ผลประโยชน์จากลัทธินซึ่งเป็นไปตามนั้น ธัมมชโยจึงอยู่รอดอาบัติปาราชิก สร้างปัญหาซับซ้อนขึ้น ตจนถุกจับได้ว่า "รับเงินโจรและฟอกเงิน"
ความเชื่อมโยงและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องของระบอบทักษิณกับลัทธิธรรมกาย ซึ่งเข้าหลักน้ำพึงเรือ เสือพึงป่า ที่ทั้งธรรมกายลัทธิกับระบอบทักษิณสมประโยชน์กัน ระบอบทักษิณต้องการฐานเสียงสาวกลัทธิธรรมกาย ส่วนลัทธิธรรมกายต้องการอำนาจสงฆ์และเงินบริจาคสร้างอาณาจักรลิทธิของตน มีความชัดเจน คือ เมื่อ ปี พ.ศ.2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มท.ขอใช้พื้นที่วัดธรรมกาย จัดงาน "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา 60 ปี มีนักการเมือง ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น สภาท้องถิ่น ข้าราชการและเกล่าพนักงาน 7,850 หน่วยๆ ละ 10 คน และสาวกธรรมกายประมาณ กว่า 78,500 คนเข้าร่วม โดยมีนาย (พ.ต.ท.ขณะนั้น) ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและแสดงปาฐกถา

องกรค์พุทธยุโรป ยื่นหนังสือต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ นครเจนีวา

องกรค์พุทธยุโรป ยื่นหนังสือต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ นครเจนีวาในงานประชุมสามัญประจำปี องค์กรสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 34 รัฐบาลทั่วโลกจาก 193 เข้าร่วม
เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 หน้าสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ผู้แทนองค์กรพุทธยุโรปรวมถึงผู้ศรัทธาวัดพระธรรมกายกว่า 150 คน เข้ายื่นหนังสือถึง ฯพณฯ เซียด รา แอด ออล ฮุสเซน (His Excellency Zeid Ra'ad Al Hussein) ประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ เพื่อรับทราบเจตจำนงของชาวพุทธยุโรปในการหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยที่มีอันตรายต่อพระพุทธศาสนาดังเช่นกรณีการใช้ ม.44 ต่อวัดพระธรรมกายและชาวพุทธผู้บริสุทธิ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ
การเข้ายื่นหนังสือประท้วงรัฐบาลไทยต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้แทนประเทศต่างๆและสื่อมวลชนทั่วโลก เพราะตรงกับการประชุมสามัญประจำปี องค์กรสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 34 โดยมีผู้แทนรัฐบาลทั่วโลกจาก 193 ประเทศเข้าร่วม
สำหรับชาวพุทธที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้มาจากหลายประเทศอาทิ อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล คสช.ยกเลิกการใช้ ม. 44 จัดการวัดพระธรรมกาย อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
ข่าวจากวัดพระธรรมกาย

ข่าว28/2/60

ธรรมกาย

นายกฯ นำประชุม คสช. ก่อน ครม. เลี่ยงตอบคุยปมพระธรรมกาย ขณะ มท.1 สั่งภูมิภาคดูแลเข้มงวดประชาชนต่างจังหวัดที่จะเดินทางเข้าวัด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.08 น. พร้อมเป็นประธานประชุม คสช. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยก่อนประชุม นายกรัฐมนตรีเลี่ยงการตอบคำถามว่าที่ประชุม คสช. จะมีการหารือกรณีวัดพระธรรมกายหรือไม่

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการดูแลประชาชนต่างจังหวัดที่จะเดินทางมาที่วัดพระธรรมกาย ว่า ฝ่ายความมั่นคง มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดูแลส่วนภูมิภาค โดยกำชับให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเจ้าคณะจังหวัด เข้ามาช่วยดูแลส่วนนี้ สำหรับความคืบหน้าการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความปรองดองในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า ฝ่ายปกครองได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งต้องรอความชัดเจนในการดำเนินการ คาดว่า จะชัดเจนช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นก็ลงพื้นไปทำความเข้าใจประชาชนเช่นกัน
------------
มท. แจ้ง ผจว. ทำความเข้าใจประชาชน ปมชุมนุมวัดพระธรรมกาย พร้อมขอสนับสนุนงาน ป.ย.ป. 

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีการรวบตัวของกลุ่มมวลชนที่จะเข้ามาร่วมชุมนุมกับวัดพระธรรมกาย ว่า ทางฝ่ายความมั่นคงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดูแล โดยได้มีการแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำความเข้าใจกับประชาชน โดยให้อาศัยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. ซึ่งได้กราบเรียนเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายสงฆ์ให้ทำความเข้าใจกับประชาชนอีกทางด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้ทางกองทัพได้เตรียมประชุมทำความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในการกำหนดแนวทางรับฟังความคิดเห็นจากส่วนต่าง ๆ และทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อสนับสนุนงานของ ป.ย.ป. ซึ่งก็ยังต้องรอความชัดเจนจากคณะทำงานส่วนนี้ก่อนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
------------
นายกฯประชุมคสช.เสร็จแล้ว - โฆษก ยัน ไม่พูดคุยปรับแผนควบคุมวัดพระธรรมกาย

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เป็นประธานการประชุมคสช.  โดยภายหลังใช้เวลานานกว่า 90 นาที สมาชิกคสช. อาทิ นายมีชัย ฤชุพันธ์ พลอากาศตอม รุ่งสว่างผบ.ทอ.พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัต ผบ.สส. ทยอยเดินทางออกทำเนียบทันที โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด

ขณะที่พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยืนยันว่า ที่ประชุมวันนี้ไม่มีพูดคุยถึงเรื่องการปรับแผนควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช. แต่ได้หารือถึงการจดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์ และเรื่องขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ  ขสมก. เกี่ยวกับการบริหารเส้นทางเดินรถ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือว่าจะใช้มาตรา 44 ในเรื่องนี้หรือไม่ โดยรายละเอียดทั้งหมดจะต้องรอ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
-----------
รมช.กต. เข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ณ สมาพันธรัฐสวิส 27 ก.พ. - 1 มี.ค. นี้

เฟซบุ๊กกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมการประชุมระดับสูงของการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน

แห่งสหประชาชาติ (UNHRC) สมัยที่ 34 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2560
-------
โฆษก คสช. เผย ที่ประชุมไม่หารือ ปรับแผนมาตรา 44 ควบคุมวัดธรรมกาย

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวภายหลังการประชุม คสช. ว่า ไม่มีการหารือถึงเรื่องการปรับแผนมาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งที่ประชุมในวันนี้ได้หารือถึงการจดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์ที่ยังอยู่ในระหว่างการหารือ และเรื่องขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เกี่ยวกับการบริหารเส้นทางเดินรถ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือว่าจะใช้มาตรา 44 ในเรื่องนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะมีการแถลงรายละเอียดของการประชุม คสช. ทั้งหมดในวันนี้
----------
หัวหน้า คสช. ไม่เพิ่มกำลังดูวัดพระธรรมกาย พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่เลี่ยงปะทะ ขณะไม่กำหนดกรอบเวลาตรวจค้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุม คสช. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย โดยนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงการจัดวางกำลัง และกำชับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ให้พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกัน แต่ให้ใช้วิธีกดดัน ให้อ่อนแรง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปตรวจค้นได้ โดยไม่มีการปะทะ

ทั้งนี้ การปฎิบัติการยังไม่มีการเพิ่มกำลัง โดยใช้เจ้าหน้าที่  26 กองร้อย เท่าเดิม และไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการแต่อย่างไร
-----------
นายกฯ ยืนยันไม่ยกเลิก ม.44 คุมวัดพระธรรมกาย ขออย่าขัดขวางการตรวจค้น เน้นการพูดคุยยึดกฎหมาย ให้ กต. แจงนานาชาติ ไร้ความรุนแรงกับพระสงฆ์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทน์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการดำเนินการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อนำตัว พระธัมมชโย มาดำเนินคดีตามหมายจับด้วยการหาทางออกระหว่างกัน โดยเน้นการพูดคุยที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพื่อให้ทุกอย่างแล้วเสร็จด้วยความรวดเร็ว และไม่กระทบกับผู้อื่น

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกการคำสั่งตามมาตรา 44 เพราะต้องใช้กฎหมายนี้ในการอำนวยความสะดวกในการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ ในการขอเข้าไปตรวจค้นในพื้นที่ พร้อมกันนี้ ได้ให้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ชึ้แจงการดำเนินการขอเจ้าหน้าที่ว่าทางรัฐบาลไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับพระสงฆ์ ตามกระแสข่าวที่ออกมา ซึ่งหากไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีทุกอย่างก็ไม่จบ
------------
พล.อ.ประวิตร รับ คุย มทภ.1 เรื่องวัดพระธรรมกาย ยันยังไม่มีการปรับแผน หวัง "พระธัมมชโย" มอบตัว มั่นใจยังอยู่ในวัด ยันไม่ใช้ไม้แข็งแน่นอน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกับ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ธรรมนูญ วิถี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ถึงความเคลื่อนหน้าการดูแลรักษาความปลอดภัยพื้นที่โดยรอบวัดพระธรรมกาย แต่ยังไม่มีการปรับแผนใด ๆ เพราะต้องการให้วัดและพระธัมมชโย ออกมามอบตัวเองเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเป็นการยุติเหตุการณ์ทั้งหมด โดยทางเจ้าหน้าที่มีความมั่นใจว่าขณะนี้พระธัมมชโยยังอยู่ที่วัด แต่ก็จะไม่มีการใช้ไม้แข็งกับพระอย่างแน่นอน

พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังระยุว่า ได้สอบถามถึงกรณีที่มีการเก็บค่าอาหารมื้อละ 80 บาท กับทางตำรวจที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งตำรวจยอมรับว่าในระยะแรกแม่ค้าเรียกเก็บค่าข้าวกล่อง 80 บาท จริง แต่ปัจจุบันได้ลดเหลือ 50 บาทแล้ว ขณะเดียวกัน ได้ปฏิเสธกระแสว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจค้นวัดพระธรรมกายสูงถึง 60 ล้านบาท ว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณใด ๆ
---------
"สุวพันธุ์" ยัน เฝ้าระวังมวลชนหนุนวัดพระธรรมกาย เชื่อมโยงการเมืองแล้ว ยังคงมาตรการเข้มงวดตามปกติ 

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า ในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่มีการสอบถามถึงคดีวัดพระธรรมกาย พร้อมระบุว่า เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีการเฝ้าระวังกลุ่มมวลชนผู้สนับสนุนวัดพระธรรมกายที่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองอยู่แล้ว โดยยืนยันว่า ได้รับความร่วมมือจากคณะสงฆ์ในการดูแลกลุ่มสงฆ์ที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตลาดกลาง เรื่องอาหารเช้าและอาหารเพลของคณะสงฆ์ ส่วนมาตรการอื่น ๆ ยังคงไว้เช่นเดิมก่อน แต่เนื่องจากทางวัดย้ำมาตลอดว่า พระธัมมชโย ไม่ได้จำวัดภายในวัดธรรมกายแล้ว จึงมีการเพิ่มการสืบสวนสอบสวนรอบพื้นที่รอบนอก เพื่อแกะรอยตามหาพระธัมมชโยมากขึ้น ส่วนการเจรจากับวัดพระธรรมกายนั้น นายสุวพันธุ์ ระบุว่า ยังมีการพูดคุยกันอยู่ และเจ้าคณะจังหวัดก็ได้ช่วยเข้าไปดูด้วย
----------
"สุวพันธุ์" ปัดข่าวเตรียมเปลี่ยนอธิบดี DSI ยันงบประมาณดูแล จนท. รอบวัดพระธรรมกาย ไม่ถึง 60 ล้านบาท ตามข่าวลือ

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงงบประมาณที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ใช้ในการจัดการรอบวัดพระธรรมกาย ว่า เป็นไปตามระเบียบราชการ และไม่ถึง 60 ล้านบาท ตามที่วัดพระธรรมกายกล่าวอ้าง ซึ่งส่วนตัวมองว่า สังคมจะต้องเรียนรู้ว่าเหตุการณ์นี้ ว่าทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปอย่างไร หลังหัวหน้า คสช. ประกาศใช้อำนาจมาตรา 44 ให้พื้นที่รอบวัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมแล้ว 14 วัน แต่ก็ยังปฏิบัติการไม่สำเร็จ และยังย้ำอีกว่า เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง

อย่างไรก็ตาม นายสุวพันธุ์ ยังปฏิเสธกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอธิบดีดีเอสใหม่ โดยยืนยันว่า ยังคงเป็น พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง เช่นเดิม
------------
นายกฯขอประชาชนอย่าเชื่อข่าวลือปมวัดพระธรรมกาย ขออย่าสร้างกระแส ไทยพุทธ-มุสลิม มีปัญหากัน 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทน์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ไม่หวังดีสร้างกระแสว่า มุสลิมอยู่เบื้องหลังการเข้าบุกค้นวัดพระธรรมกาย และพระสงฆ์จากประเทศเมียนมา แสดงความไม่พอใจ ว่า เป็นเพียงกลุ่มไม่หวังดีสร้างกระแส ซึ่งตนเองและจุฬาราชมนตรี ได้มีการพูดคุยกันในการดูแลชาวมุสลิมในประเทศไทย จึงขออย่าสร้างกระแส ว่า ชาวพุทธ และมิสลิมมีปัญหากัน  ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการประสานไปยังประเทศเมียนมา ซึ่งก็มีความเข้าใจดีระหว่างกัน ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ได้ยินมามีความเป็นไปได้หรือไม่
---------
จนท.ตั้งป้ายประกาศงดพระภิกษุสามเณรชุมนุมขัดขวางเจ้าหน้าที่บริเวณวัดพระธรรมกาย เพิ่มทางเข้าออกรอบวัดพระธรรมกาย อีก 1 จุด ขณะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตรวจใบสุทธิพระสงฆ์

ความเคลื่อนไหวที่ตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารนำแผงรั้วเหล็กกั้นรอบพื้นที่ ตั้งจุดตรวจคัดกรอง โดยได้เพิ่มทางเข้าออกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ เพิ่มอีก 1 จุด รวมเป็น 3 จุด มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจบูรณาการตรวจค้นบุคคลเข้าออก

ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ตั้งโต๊ะตรวจใบสุทธิพระสงฆ์ มาแล้วกว่า 3 วัน แต่วันนี้ ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ผู้ใหญ่บ้าน เข้าร่วมตรวจสอบ ป้องกันบุคคลเข้ามาในพื้นที่ พร้อมนำป้ายประกาศงดพระภิกษุสามเณรชุมนุมขัดขวางเจ้าหน้าที่บริเวณวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นความผิดทางกฎหมายมาติดตั้งไว้ บริเวณด้านหน้าทางเข้าออกตลาดกลางคลองหลวง เช่นเดียวกับบริเวณประตูที่ 7 ที่มีการนำป้ายประกาศ 3 ภาษามาติดไว้เช่นกัน

ส่วนพระภิกษุ 5 รูป ที่อดอาการประท้วง การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของ คสช. มีอาการอ่อนเพลีย แต่ยังคงนั่งสวดมนต์ โดยทีมมีแพทย์ ของวัดพระธรรมกาย เข้าตรวจร่างกายเป็นระยะ เนื่องจากพระภิกษุทั้ง 5 รูป ได้นั่งสมาธิสวดมนต์มากว่า 6 วัน

นอกจากนี้ บริเวณฝั่งคลองแอนประตู 5 และ 6 วัดพระธรรมกาย พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร เตรียมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในเวลา 10.00 น.
-----------
รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เผยค้นภายในวัดพระธรรมกายยังมีบางจุดที่สงสัยอยู่ อุบรายชื่อคนปลุกระดมมวลชน

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า การเข้าค้นภายในวัดพระธรรมกายยังมีบางจุดที่สงสัยอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าไปเข้าไปค้นได้เนื่องจากเป็นศาสนสถาน มีพระสงฆ์และลูกศิษย์ จำนวนมากปฏิบัติธรรมอยู่ แม้เจ้าหน้าที่มีมาตรา 44 อยู่ในมือ แต่ยังไม่อยากให้ประชาชนและสังคม มองว่าเจ้าหน้าที่ทำสิ่งที่รุนแรงและไม่เหมาะสม

ส่วนประเด็นว่าเป็นการทำลายศาสนานั้น อยากให้ประชาชนอ่านและศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณในการทำความเข้าใจสำหรับ 40 บุคคล ที่มีพฤติการณ์ปลุกระดม ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีรายชื่อเป็นใครบ้าง แต่เบื้องต้นทราบว่าเป็นชาวไทย ส่วนจะมีชาวต่างชาติเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ต้องขอดูรายชื่อก่อน โดยการประชุมวันนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปว่าจะมีการออกหมายเรียกหรือไม่
----------------
วัดพระธรรมกาย ขอพระสงฆ์เลิกอดข้าวประท้วง ม.44 ยืนยันไม่รู้ จนท. ปืนหาย 400 กระบอก

พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ระบุ ขอให้กลุ่มพระสงฆ์ 5 รูป ยุติการอดอาหารเพื่อคัดค้านการใช้มาตรา 44 เนื่องจากทางวัดมีความเป็นห่วงด้านสุขภาพ และยืนยันทางวัดไม่ทราบเรื่องการติดป้าย We need food เมื่อเจ้าหน้าที่ประสานมาก็ยินดีปลดป้ายดังกล่าวออก ตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวานนี้ แต่สัญญาณถูกตัดขาดจึงประสานไม่ได้เจ้าหน้าที่ได้

ทั้งนี้ พระสนิทวงศ์ ยังเห็นว่าดีเอสไอควรไปทวงเงินกว่าหมื่นล้านจากที่อื่น เนื่องจากเงินทั้งหมดไม่ได้ถูกส่งมาที่วัดพระธรรมกาย โดยพบว่าเงินส่วนใหญ่อยู่ที่บุคคลอื่น ส่วนที่พบว่าถูกบริจาคมาที่พระธัมมชโย มีเพียงร้อยละ 8 จากจำนวนทั้งหมด ซึ่งกลุ่มลูกศิษย์ได้ร่วมลงเงินช่วยเยียวยาผู้เสียหายจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแล้ว แต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานเรี่ยไร

ส่วนกระแสข่าวว่าปืนเจ้าหน้าที่หายกว่า 400 กระบอก และถูกซุกซ่อนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์นั้น พระสนิทวงศ์ ชี้แจงว่า ตั้งแต่วันที่ 16 - 18 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นภายในวัด

อย่างละเอียดแล้ว แต่ไม่พบเป้าหมายและสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา วัดก็อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ หากมีสิ่งใดผิดปกติไม่เกี่ยวข้องกับวัดเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ และวันนี้ยังครบกำหนดวันสุดท้ายที่ระบุตามหมายค้นวัดพระธรรมกายของศาลด้วย

อย่างไก็ตาม พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า การติดป้ายประกาศให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร งดการชุมนุมถือว่าผิดหลักทางศาสนา ขอให้ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา ทบทวนการออกคำสั่งต่าง ๆ ด้วย
---------
ดีเอสไอ งัดมาตรการเชิงรุก หลังพบการข่าวตลาดกลางคลองหลวงเตรียมยกระดับชุมนุม - ขู่ฟันไม่มีใบสุทธิ ผิดข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระ

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดว่า วัดพระธรรมกายจากการข่าว พบว่า การจัดตั้งมวลชนบริเวณตลาดกลางคลองหลวง วัดพระธรรมกาย มีความพยายามจะยกระดับการชุมนุม ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมีความจริงจังในการเรียกบุคคลที่อยู่เบื้องหลังมารายงานตัว อีกทั้งมีข้อมูลว่ามีการพยายามใช้มวลชนเล็ดลอดเข้าในพื้นที่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการสกัดกั้นตามขั้นตอน เนื่องจากวัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม

พร้อมยืนยันว่าจากนี้ ดีเอสไอ สำนักพระพุทธศาสนาและหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทางฝ่ายสงฆ์จะใช้มาตรการเชิงรุกมากขึ้นในการปฏิบัติ เช่น การตรวจสอบใบสุทธิ หากอ้างไม่มีใบหรือตรวจไม่พบจะถูกดำเนินคดีในฐานแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์

อย่างไรก็ตาม ยังระบุว่าวันนี้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เรียกข้าราชการในสังกัดและผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเกี่ยวข้องการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มารายงานตัวด้วย
-----------
จนท. บูรณาการตั้งจุดคัดกรองพระสงฆ์ที่ไปตลาดกลางคลองหลวง ตรวจสอบใบสุทธิวันนี้ 14 รูป

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่ตลาดกลางคลองหลวง เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ร่วมกับ ฝ่ายปกคอง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทหาร บูรณาการตั้งจุดคัดกรองพระสงฆ์ที่จะผ่านเข้าไปยังตลาดกลางคลองหลวง

โดย นายพลังชาติ เหมือนแก้ว พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ (8) ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามีพระสงฆ์ที่ได้เข้ามาในพื้นที่ และทำการตรวจสอบใบสุทธิไปแล้วทั้งหมด 14 รูป ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อยู่นอกเขตวัดพระธรรมกาย และขณะนี้ ไม่อนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวงเพื่อร่วมชุมนุม ตามประกาศของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยได้เชิญให้กลับไปยังวัดที่เดินทางมา แต่มีพระสงฆ์ต้องการกลับวัดไปแล้วเพียง 4 รูป เท่านั้น

สำหรับการคัดกรองในจุดนี้ตั้งมาแล้ว 2 วัน มียอดรวมพระสงฆ์ที่อยู่นอกเขตวัดพระธรรมกายรวม 38 รูป มีใบสุทธิทั้งหมด โดยเจ้าหน้าที่ จะเน้นการตรวจใบสุทธิ และถามเหตุผลที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอ้างว่าเคยเข้าร่วมในการบวชของวัดพระธรรมกาย และศรัทธาในพระธัมมชโย จึงต้องการมาร่วมการสวดมนต์

ส่วนด้านตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ชี้แจงว่า ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้นำป้ายเข้ามาติดตั้งเพิ่มเติม ตามประตูต่าง ๆ ทางเข้าวัดพระธรรมกาย ว่าห้ามพระสงฆ์ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ แต่ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ถึงแนวทางการปฏิบัติต่อไป และในวันนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะมาลงพื้นที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ด้วย
-----------
พระสงฆ์ ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย นั่งสวดมนต์ตลาดกลางคลองหลวง ต่อเนื่อง 

ความเคลื่อนไหวที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี ยังคงมีพระสงฆ์ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายนั่งสวดมนต์ภายในเต็นท์อย่างต่อเนื่องขณะที่ท่าทีของพระสงฆ์ 5 รูป ที่ประกาศอดอาหารประท้วง การบังคับใช้มาตรา 44  ภายหลัง พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้ขอให้ยุติภารกิจ ล่าสุด ตัวแทนพระสงฆ์ 1 ใน 5 รูป ได้ระบุว่าจะต้องไปพูดคุยกันและขอสงวนท่าทีการเคลื่อนไหว แต่ยังยืนยันจุดยืนที่เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก มาตรา 44 และตลอด 7 วันที่ผ่านมา พระสงฆ์มีความอ่อนล้า แต่ได้พยายามฉันน้ำเข้าไปในร่างกายให้มากที่สุด ประมาณ 3 - 4 ลิตรต่อวัน

ขณะที่มาตรการการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ยังคงเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการตั้งจุดคัดกรองบุคคลที่ผ่านเข้าออกและตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระ
-----------
พระภิกษุ 5 รูป อดอาหารประท้วง ยังนั่งสวดมนต์ตามปกติ ท่ามกลางตำรวจ ทหาร ที่ดูแลความปลอดภัยเข้มงวด

ความเคลื่อนไหวที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี ตัวแทนพระสงฆ์ ยังคงเทศนาผ่านเครื่องกระจายเสียงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ลูกศิษย์ยังคงนั่งสวดมนต์ภายในเต็นท์ แม้สภาพอากาศจะค่อนข้างร้อนอบอ้าว

ส่วนพระภิกษุ 5 รูปที่อดอาหาร ประท้วงการบังคับใช้มาตรา44 ล่าสุดได้กลับมานั่งสวดมนต์ ตามปกติ โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการยกเลิกการอดอาหารตามคำร้องขอ ของ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง ยังคงมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ตำรวจอารักขาและควบคุมฝูงชนหญิง (อคฝ.หญิง) เจ้าหน้าที่กรมการปกครองสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตั้งจุดตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด
--------------
โฆษก DSI ระบุ ตั้งป้ายประกาศ ไม่ให้พระสงฆ์เข้าชุมนุม รอบวัดพระธรรมกาย พร้อมออกหมายเรียกบุคคลที่พยายามเข้ามาเคลื่อนไหว รวม 21 ราย

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าในการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ว่า ขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการกับพระสงฆ์ที่เข้ามาในพื้นที่ โดยเบื้องต้นได้มีการดำเนินการติดตั้งป้ายประกาศ ไม่ให้พระสงฆ์เข้าร่วมชุมนุม รอบพื้นที่ และตั้งโต๊ะ ตรวจสอบใบสุทธิพระที่บริเวณประตู 7 โดยพบว่า มีพระสงฆ์พยายามจะเข้าในพื้นที่วัดพระธรรมกาย ประมาณ 50 - 100 รูปต่อวัน นั้น ส่วนมากเป็นพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากเครือข่ายของวัดพระธรรมกายในต่างจังหวัด ที่ถูกชักชวนให้เข้ามาร่วมต่อต้าน โดยมีการให้ข้อมูลว่า ทางเจ้าหน้าที่พยายามทำลายศาสนา ซึ่งไม่เป็นความจริง

ส่วนประเด็นที่ทางเครือข่ายวัดพระธรรมกายในต่างประเทศ ได้มีการพยายามไปรวมตัวชุมนุมที่นครเจนีวา ต่อที่ประชุมสิทธิมนุษยชน ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ยึดแนวทางการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว

โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลที่พยายามเข้ามาเคลื่อนไหว สนับสนุนในพื้นที่ไปแล้วแบ่งเป็น ออกหมายเรียก พระสงฆ์รอบแรก 14 รูป และบุคคลที่เคลื่อนไหว 4 คน และล่าสุด ช่วงกลางดึกเมื่อคืนทีผ่านมา มีการดำเนินการออกหมายเรียกเพิ่มเติมอีก 3 คน รวมขณะนี้มีการดำเนินการออกหมายเรียกไปแล้ว 21 ราย และยังคงมีกลุ่มบุคคลที่พบข้อมูลว่าพยายามเข้ามาเคลื่อนไหวอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหากพบว่าเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ก็จะดำเนินการออกหมายเรียกทันที
----------------
ดีเอสไอ เชิญตัวแทนพระสงฆ์ที่ปักหลักชุมนุมตลาดกลางคลองหลวง หารือ ขอไม่ให้พระสงฆ์เข้ามาเพิ่มอีก

คณะสงฆ์ นำโดยเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้เชิญ พระเสกสรรค์ อัถตะธรรมโม ตัวแทนพระสงฆ์ ที่ปักหลักชุมนุมในตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี เข้ามาหารือภายในรถนานกว่า 1 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมฟังการพูดคุย ระบุเบื้องต้นว่า ได้มีการขอความร่วมมือแนวทางการจัดระเบียบพระสงฆ์ที่จะเดินทางเข้ามาในตลาด ไม่ให้เพิ่มจำนวนมากกว่าที่มีอยู่ประมาณ 100 รูป ซึ่งจะจำกัดจำนวนไว้เท่านี้ ส่วนพระสงฆ์ที่กังวลว่า หากออกจากพื้นที่แล้วจะไม่ได้กลับเข้ามาในพื้นที่ตลาดกลางอีก ให้นำใบสุทธิ และทำประวัติก่อน เนื่องจากเมื่อจะกลับเข้ามาแล้ว เจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบ พบว่าได้มีการทำประวัติไว้ก่อนหน้านี้ ก็จะอนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่เช่นเดิม สำหรับการที่เชิญตัวแทนเข้ามาพูดคุยเพียงไม่กี่คนนั้น ก็เพื่อเป็นการลดความตรึงเครียดและการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม ทางพระสงฆ์ ยังคงต้องมีการหารือร่วมกันอีกครั้ง ก่อนที่เวลา 17.00 น. วันนี้จะมีการแถลงจุดยืนและกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหว ร่วมทั้งท่าทีของพระสงฆ์ 5 รูป ที่อดอาหารประท้วงการบังคับใช้มาตรา 44 ว่า จะยกเลิกภารกิจตามที่หลายฝ่ายเป็นห่วงหรือไม่
-------------------
////////////////
ปรองดอง

ปลัด กห. คุยปรองดอง 4 พรรค พรุ่งนี้เปิดเวทีระดับภูมิภาค ให้ผู้ว่าฯ เป็นเจ้าภาพดำเนินการ

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะอนุกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 9 โดยวันนี้ ได้เชิญพรรคการเมืองเข้ามาให้ข้อเสนอแนะในการสร้างความปรองดอง โดยเรียงตามตัวอักษร ประกอบด้วย พรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย พรรคพลังเครือข่ายประชาชน พรรคพลังสหกรณ์ พรรคมหาชน และพรรคยางพาราไทย ซึ่งการหารือในวันนี้ "พรรคมหาชน" ไม่ได้ร่วมเข้าหารือ เนื่องจากติดภารกิจ และในพรุ่งนี้ จะเป็นคิวของ"พรรคพลังชล"

อย่างไรก็ตาม การหารือดังกล่าวจะยึดแนวทางการปรองดองตามกรอบแนวทางของรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ข้อ และสอดคล้องกับการทำงานของ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ส่งเสริมแผนต่าง ๆ ตามนโยบายคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ดำเนินต่อไปด้วยความรวดเร็ว

ทั้งนี้ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (1 มีนาคม 2560) เป็นวันแรกที่จะเปิดเวทีการปรองดองในระดับภูมิภาค ทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เป็นผู้กำกับในระดับภาค ส่วนในระดับจังหวัดจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ ระบุใช้เวลา 1 เดือน ในการรับฟังความคิดเห็น
-------------
"เสรี" มั่นใจ รายงานปรองดองของอนุฯ ครอบคลุมปัญหาในอดีต ยึดหลักการของกฎหมาย มีผลในทางปฏิบัติได้ 

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมการธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง (สปท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมกรรมาธิการ ว่า ได้อ่านรายงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษารวบรวมความเห็น วิเคราะห์ ประเด็นแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดอง ทางการเมืองแล้ว เห็นว่า เป็นรายงานที่ครอบคลุมถึงปัญหาความขัดแย้งในอดีต และข้อเสนอในการแก้ปัญหา น่าจะมีผลในทางปฏิบัติได้ โดยยังคงให้ยึดหลักการของกฎหมายและการพิสูจน์ความถูกต้อง ซึ่งผู้ที่กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่มีโอกาสได้รับการให้อภัยกลับคืนสู่สังคม ทั้งนี้ อาจมีกฎหมายพิเศษมารองรับ ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อความเห็นทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการ จะได้พิจารณาปรับแก้ เพื่อให้สมบูรณ์และเสนอต่อที่ประชุม วิป สปท. ในวันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม นี้ ว่าจะตัดสินใจนำรายงานนี้ส่งตรงไปที่ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) หรือส่งให้ สปท. ได้พิจารณาในที่ประชุมใหญ่ก่อนส่งให้ รัฐบาลรับไปดำเนินการ
---------------
"ชาญชัย" เรียกร้อง ป.ป.ช. ใช้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ขอข้อมูลจัดการคนผิดสินบนโรลส์ - รอยซ์ 

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ปี ค.ศ.2003 ซึ่งไทยร่วมเป็นภาคีสมาชิกกับองค์การสหประชาชาติ มาใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับกรณีบริษัท โรลส์ - รอยซ์ เนื่องจากในอนุสัญญาดังกล่าว ข้อ 43 ระบุถึงความร่วมมือระหว่างประเทศที่รัฐภาคีสมาชิกต้องให้ความร่วมมือ ร่วมกันในการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการทุจริต และข้อ 46 ระบุไว้ว่า ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมาย ที่รัฐภาคีต้องข่วยเหลือในการสืบพยานหลักฐาน สอบปากคำบุคคล ส่งเอกสารของศาล ค้น ยึด และอายัด ตรวจสอบวัตถุและสถานที่ให้ข้อมูล พยานหลักฐาน

นอกจากนี้ ยังมีข้อ 23 เรื่องการฟอกเงิน ในกรณีการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างหรือให้สินบน ถือเป็นการฟอกเงินที่ได้มาจากการทุจริต ก็ให้ใช้กฎหมายฟอกเงินเข้าดำเนินการได้ทันที ดังนั้น จะเห็นได้ว่าอนุสัญญานี้เปิดช่องให้สามารถดำเนินการครบถ้วน และทำใช้ได้ทันที

ทั้งนี้ นายชาญชัย ยังกล่าวด้วยว่า ไม่เข้าใจ ทำไม ป.ป.ช. จึงยังไม่ดำเนินการ โดยอ้างว่าต้องรอให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้ขอข้อมูลตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ เพราะในทางปฏิบัติ ป.ป.ช.
ไม่จำเป็นต้องรอให้มีการดำเนินคดีอาญาภายในประเทศก่อนตามที่มีการกล่าวอ้าง
------------------

เส้นทาง 'ปราบผีบุญธรรมกาย'/เปลว สีเงิน

กับพวกหัวโล้น "หน้าด้าน-ไร้ยางอาย" ที่เรียก "ทุมมังกุ ผู้-เก้อ-ยาก" นั้น

เปรียบก็เหมือน "ก้อนอุจจาระ"

การกำจัดนั้น ไม่ยาก.......

แต่จะกำจัดแบบไหน วิธีไหน จึงจะไม่เลอะเทอะเปรอะมือ และไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย เป็นที่สะอิดสะเอียน ชวนอ้วกแตก

ตรงนี้แหละ...สำคัญ!

เพราะถ้าไม่รู้วิธี เรื่องกำจัดอุจจาระ ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่หรอก แต่ด้านภาพและกลิ่น

มันจะใหญ่ ลอยวน สร้างความคลื่นเหียน น่ารำคาญไม่รู้จบ-รู้สิ้น!

อย่างกรณี ใช้ ม.๔๔ ชำระสะสาง "เปรต-มาร" ที่เข้ามาอิงอาศัยวัด ในคราบพระของพระพุทธศาสนาหากินขณะนี้

การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ล้อมอยู่ภายนอกวัดธรรมกาย เล่นเจ้าล่อ-เอาเถิด กับพวกอลัชชี "ผีบุญลัทธิธรรมกาย" ไปวันๆ

ระวัง จะเข้าตำรา "ไม้สั้นไปรันขี้"............

เลอะมือ แล้วก็เหม็น แถมรันออกไปไม่หมด "อาณาจักรสงฆ์" ด้วย!

ถ้าเป็นคนธรรมดา มาตอดหน้า-ตอดหลัง หวังสร้างสถานการณ์เป็นเหตุยืดเยื้อ อย่างเห็นรอบๆ อาณาจักรจานบินเป็นรายวันอยู่ตอนนี้

นั่นไม่ยากที่ตำรวจ-ดีเอสไอจะรับมือ

แค่สะบัดแข้ง-สะบัดขาตามหน้าที่ ที-สองที ก็เรียบร้อย

แต่นี่ มาในเครื่องแบบธงชัยพระพุทธศาสนา คือโกนหัวโล้น-ห่มเหลือง เป็นพระจริง-พระปลอม มั่วไปหมด

แต่คนทั่วไป เห็นเหลืองๆ หัวโล้นๆ ก็ตีราคา "เหมาเข่ง" เป็นพระไปหมด

นั่นจึงยากที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายเข้าจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด-เข้มงวด-จริงจัง เหมือนการจับโจรผู้ร้ายทั่วไป

เมื่อตำรวจ-ดีเอสไอ ต้องทำหน้าที่แบบไม่สามารถกระชับให้เต็มกำมือได้ ด้วยเห็นแก่ผ้าเหลือง

จึงเป็น "จุดหลวม" ให้พวกผีบุญธรรมกายเคลื่อนไหว-ปลุกระดมไปได้เรื่อยๆ

แถมสร้างสตอรี "ม.๔๔ รังแกพระ" ใช้ระบบสื่อสารไอทีแทนนกพิราบ ส่งข่าวกระจายออกไปตลบตะแลง ขอความช่วยเหลือจากแนวร่วมภายนอก

ยูอง-ยูเอ็น ก็ไม่เว้น ใช้มารยาสาไถยผีบุญไปฟ้องดะ!

กับคนรู้-คนเข้าใจ ก็ไม่เป็นไร .........

ก็อ๋อ..."เล่ห์ธรรมกาย-ธรรมโกง" สนิทวงศ์มันร้ายกาจ

แต่กับคนในสังคมโลกทั่วไป ที่ไม่มีความรู้-ความเข้าใจ ว่าธัมมชโยเจ้าลัทธิผีบุญกับสาวก คือซาตานซุกวัด-ซุกผ้าเหลืองหากิน ที่ต้องกำจัด

ก็จะทึกทักผ่านภาพ-ผ่านข่าวลวงเป็นว่า..........

เจ้าหน้าที่บ้านเมือง กำลังกำราบปราบปราม "หัวโล้น-ห่มเหลือง" ซึ่งเขาเข้าใจว่า...คือพระ

ความจริงไม่ใช่พระ

เป็นซาตานคลุมเหลือง ในลัทธิผีบุญธรรมกาย ผนึกการเมือง สร้างอาณาจักรเป็น "รัฐซ้อนรัฐ"!

นี่...มันง่ายในยาก และยากในง่าย อยู่ในลักษณะนี้ ถ้าตำรวจ-ดีเอสไอ จะเล่นบทแมวเฝ้ารูหนูอยู่อย่างนี้ โดยไม่ศึกษาธรรมชาติความเป็นอยู่ของหนู

ผมเกรงว่า.......

แมวจะหลับคาปากรู ปล่อยให้หนูคลานออกมาขลิบหนวดให้ได้อาย แถมชาวบ้าน-ชาวเมืองจะพากันขำตายเท่านั้นแหละ!

ฉะนั้น ควรเข้าใจว่า ในภาพรวม "ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย"

แต่ในคำว่า "ทุกคน".........

ยังต้องจำแนกหมวดหมู่ไปตามสถานภาพสังคม

และนั่น นอกจาก "กฎหมาย" ที่ต้องยึดในภาพรวมแล้ว

แต่ละคน ยังต้องถูกร้อยรัดอยู่ภายใต้ "กฎ-ระเบียบ" ที่เรียกว่า "วินัยองค์กร" ที่แต่ละคนสังกัดอีกด้วย

นั่นคือ ไม่ว่าพระ-ว่าโจร นอกจากอยู่ภายใต้กฎหมายแล้ว ในความเป็นพระ-เป็นวัดในพระพุทธศาสนา

ต้องถูกควบคุม-ร้อยรัดด้วย

๑.พระธรรมวินัย

๒.พ.ร.บ.คณะสงฆ์

๓.คณะกรรมการมหาเถรสมาคม และ

๔."กฎมหาคณิสสร" โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เพื่อกำหนดนโยบายหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง

สำหรับพระภิกษุและสามเณร ที่ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์

จะเห็นว่า ตอนนี้ เราใช้แต่กฎหมายบ้านเมือง ที่เจตนารมณ์มีเพื่อใช้บังคับกับโจรผู้ร้าย ในความหมายอาชญากร-อาชญากรรม

มิได้มุ่งใช้กับพระสงฆ์ ที่ให้ค่าเป็นผู้ทรงศีล มีหิริ-โอตตัปปะ ประจำใจโดยตรง

หิริ คือความละอายใจตัวเอง ต่อการประพฤติทุจริตชั่วร้าย

โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อผลของการประพฤติทุจริตชั่วร้าย

หิริ-โอตตัปปะ คือ "ธรรมคุ้มครองโลก" มนุษย์ทุกคน ไม่เฉพาะพระ ถ้ามีหิริ-โอตตัปปะ กฎหมายไม่จำเป็นเลย

แต่ทีนี้ไม่งั้น คนทั่วไป ไม่มีหิริ-โอตตัปปะ ก็พอเข้าใจได้

แต่กับ "มนุษย์พระ" เมื่อไม่มีหิริ-โอตตัปปะ มันก็ยากแล้ว ที่ "สังคมนี้" จะอยู่ด้วยศานติธรรม อันประเทศพุทธควรจะเป็น!

เราอย่าปล่อยให้อลัชชีในคราบ "ผีบุญธรรมกาย" ใช้อามิสปัจจัย คือเงินทองซื้อพระ-ซื้อวัดไปอยู่ในอาณัติลัทธิอย่างนั้นง่ายๆ เลย

ถ้าทอดธุระ-ถอนอาลัย ปล่อยกันไป............

ความเป็น "ราชอาณาจักรไทย" อันใครจะแบ่งแยกมิได้ ก็ยากจะแน่ใจว่าดำรงคงอยู่อย่างนั้นได้

"การเมืองผนึกผีบุญธรรมกาย" จะเป็นขุมกำลังใหญ่ ก่อตัวและทดสอบความเป็น "รัฐซ้อนรัฐ" ได้สำเร็จ มีความเป็นได้อยู่!

ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า การใช้กำลังตำรวจ-ดีเอสไอภายใต้กฎหมายบ้านเมืองเข้าจัดการ "ธัมมชโย-ลัทธิธรรมกาย" นั่นยังเป็น "ทางเฉียงๆ" อยู่

อยากให้ใช้ "ทางตรง" เข้าผสมด้วย จะช่วยให้ทุกอย่างรวบรัดยิ่งขึ้น มีข้ออ้างอิงในการทำ "ทุกขั้นตอน" ถึงใครแย้ง แต่ไม่มีเหตุผลรับฟัง

เรื่องธัมมชโย เป็นผู้ต้องหา แต่หลบหนีการจับกุม และเรื่อง "วัด-พระ" ทั้งพระวัดพระธรรมกายและวัดอื่นๆ ที่มาซ่องสุม-ชุมนุม ขัดขวางเจ้าหน้าที่ ที่จะเข้าไปตรวจค้นภายในวัด

เหล่านี้ นอกจากเข้าข่ายผิดกฎหมายบ้านเมือง ในความเป็นสงฆ์ ถือว่าทำผิดพระธรรมวินัย และผิดกฎมหาคณิสสร

ดังนั้น ควรนำเรื่องนี้ เสนอเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรณีพิเศษ

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขึ้นกับนายกฯ ประยุทธ์โดยตรง

ขณะนี้ มี "พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" เป็น ผอ.สำนักพุทธ แทนนายพนม ศรศิลป์แล้ว

ตามกฎหมาย ผอ.สำนักพุทธ เป็นทั้งเลขาธิการมหาเถรสมาคม และทั้งเลขาธิการคณะกรรมการมหาคณิสสร หรือผู้ทำหน้าที่คุมกฎศาลสงฆ์

ควรที่จะนำเรื่องเข้าวาระประชุม เพื่อให้ มส.มีมติทางใด-ทางหนึ่ง เป็นแนวทางปฏิบัติต่อพระและวัดอันมีพฤติกรรมนอกพระธรรมวินัยดังปรากฏ

เมื่อ มส.มีมติ เป็นหลักเกณฑ์ พระและวัด ต้องเข้าสู่การไต่สวนกระบวนความตามกฎมหาคณิสสรแล้ว

ถ้าวัด-พระรูปใดขัดขืน...........

ทีนี้แหละ เป็นความชอบทั้งกฎธรรม ชอบทั้งกฎหมาย ในเมื่ออ้างเป็นพระ แต่ไม่ยอมรับกฎหมายพระ

มันก็ต้องใช้ "กฎหมายชาวบ้าน" กันเต็มภิกขาละทีนี้ จับถอดผ้าเหลือง ลากคอมันเข้าตะรางทั้งหัวโล้นๆ ได้เลย

รู้จักอำนาจ-หน้าที่มหาคณิสสรกันไว้หน่อยก็ดี จะยกมาให้ดูพอเป็นสังเขป ซัก ๒-๓ มาตรา

มาตรา ๒๖ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ "มหาเถรคณิสสร" มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

๑.ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม

๒.ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร

๓.ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์

๔.รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา

๕.วินิจฉัยอุทธรณ์ของพระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้รับนิคหกรรมถึงขั้นให้สละสมณเพศ วางหลักเกณฑ์ในการดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง

๖.กำหนดกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

๗.ให้คำแนะนำในการแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

๘.ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

เพื่อการนี้ ให้มหาคณิสสรมีอำนาจออกข้อบังคับ วางระเบียบ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม

หรือออกคำสั่ง มีมติ ออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัย ใช้บังคับได้

และจะมอบให้ภิกษุรูปใด หรือคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา ๓๐ เป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่งก็ได้

เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาคณิสสรจะตรากฎมหาคณิสสร โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม

เพื่อกำหนดนโยบายหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ก็ได้

พระภิกษุสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่ง ถึงขั้นให้สละสมณเพศ ต้องสึกภายใน ๓ วัน นับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ

มาตรา ๓๙ พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น

มาตรา ๔๐ เมื่อพระภิกษุรูปใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

๑.ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา ๓๘ ให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก แต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น

๒.ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ

๓.ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง

๔.ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

๕.ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาคณิสสร

พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น

คำวินิจฉัยของมหาคณิสสรเป็นอันถึงที่สุด

ครับ....ก็พอเป็นตัวอย่าง เปิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๔๔ ดูได้

ถ้ารัฐบาลใช้มติรัฐบาลสงฆ์ คือมติมหาเถรสมาคม เป็นธงนำ ตามด้วยการใช้กฎหมายบ้านเมือง กระหนาบ "ธัมมชโย-ธรรมกาย" ควบคู่ไปด้วย

ทุกอย่างจะเข้าทางตรง ทั้งพระ-ทั้งผี จะไร้ข้อโต้แย้ง

และนั่น "ช้า-เร็ว" ยังไง ความมั่นใจว่า "จบ" ต้องมี...มีชนิด

"ไร้เงื่อนไขโต้แย้ง" ด้วยประการทั้งปวง.

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โลกก่อหนี้ทุบสถิติ อุ้มศก.เอาใจประชาชน

(Feb 27) โลกก่อหนี้ทุบสถิติ อุ้มศก.เอาใจประชาชน : สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) องค์กรจัดอันดับเรตติ้งชื่อดัง คาดการณ์ว่า รัฐบาลทั่วโลกจะออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีก 6.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 237 ล้านล้านบาท) ส่งผลให้ปริมาณหนี้พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกพุ่งขึ้นแตะ 44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,535 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ มากที่สุดทำสถิติใหม่ นำโดยรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐที่พร้อมจะก่อหนี้ตามแผนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และญี่ปุ่นที่ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน
เอสแอนด์พี ระบุว่า สหรัฐจะกู้ยืมเพิ่มผ่านการออกพันธบัตรในปีนี้อีก 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 76 ล้านล้านบาท) ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมจะออกพันธบัตรเพิ่มอีกมากกว่า 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 62 ล้านล้านบาท) โดยการออกพันธบัตรใหม่ทั้งสองชาติคิดเป็นสัดส่วน 60% ของแนวโน้มการออกพันธบัตรใหม่ทั้งหมดในปีนี้
การกู้ยืมเพิ่มดังกล่าวมาในยุคที่ประชาชนกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณกันน้อยลง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่การเติบโตไม่ได้ร้อนแรงเช่นประเทศตลาดเกิดใหม่ และรัฐบาลไม่ต้องการเสี่ยงทำให้ประชาชนไม่พอใจด้วยการรัดเข็มขัดจนเกินไป ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่ร้อนแรง ซึ่งเห็นได้ชัดจากสหรัฐและอังกฤษที่ต่างเจอเหตุการณ์พลิกผันเมื่อปีก่อน
ทรัมป์ให้สัญญาจะกระตุ้นทางคลังด้วยการปรับลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึงยังจะใช้จ่าย
ด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมหาศาล โดยองค์กรนอกรัฐที่ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในสหรัฐอย่างสภาเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมี ความรับผิดชอบ คำนวณว่า นโยบายของทรัมป์จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น จาก 77% ในปัจจุบัน เป็น 105% ในเวลา 10 ปี
แผนการของทรัมป์ทำให้องค์กร จัดอันดับความน่าเชื่อถือในการ ชำระหนี้รายใหญ่อย่าง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกมาเตือนว่าอาจมีการ ปรับลดเครดิตของสหรัฐลงในอนาคต แม้ในระยะสั้นจะยังไม่มีผลกระทบ เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ง่ายต่อการจ่ายหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ของสหรัฐยังมีฐานะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย
ทว่า สำหรับด้านอังกฤษแล้ว ภายหลังการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2016 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างเดินหน้าลดเครดิตของสหราชอาณาจักร โดยเอสแอนด์พีปรับลดลงมา 2 ระดับ จาก AAA เป็น AA ขณะที่ฟิทช์ลดจาก AA+ เป็น AA กระนั้น เพียงไม่กี่วันถัดมา จอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลัง ในขณะนั้น ได้ยกเลิกแผนการทำให้งบประมาณเกินดุลภายใน ปี 2020 ไป
จากการรวบรวมข้อมูลของนิตยสารอีโคโนมิตส์ ระบุว่า ในปัจจุบันมีเพียง 11 ชาติเท่านั้นที่ได้เรตติ้งสูงสุดระดับ AAA จากฟิทช์ เพียงแค่ 11 ชาติ ลดลงจากปี 2009 ที่อยู่ที่ 16 ชาติ หรือหากคิดเป็นมูลค่า
พันธบัตรรัฐบาลคิดเป็นสัดส่วน 40% ของโลกอยู่ที่ระดับความน่าเชื่อถือสูงสุด ลดลงจาก 48% เมื่อ ทศวรรษก่อน
ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการคลังเพื่อรองรับกับความต้องการของประชาชนในประเทศ ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้รัฐบาล ยังคงออกหนี้เพิ่มขึ้นในทุกปี โดยการ ที่นักลงทุนและธนาคารกลางยังคงถือครองพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลกล้าที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีแนวโน้มจะก่อหนี้เป็นอันดับ 2 ของปีนี้ โดยระดับหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นอยู่ที่ 245% ของ จีดีพี และเอสแอนด์พีลดอันดับเครดิตของญี่ปุ่นลงในปี 2015 จาก AA- เป็น A+ หลังนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ อาจ ไม่ได้ผลต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ด้านฟิทช์ออกโรงเตือนญี่ปุ่นเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาว่า อาจมีการปรับลดอันดับเครดิตด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมถึงยังเป็นเพราะญี่ปุ่นเลื่อนแผนขึ้นภาษีขายออกไปอย่างน้อยจนปี 2019
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงลงทุนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอย่าง ต่อเนื่อง และผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นก็นับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี อยู่ที่ 0.06% ในปัจจุบัน ปรับขึ้นมาจากแดนลบในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบส่งผลให้นักลงทุนเข้าหาพันธบัตรซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จนราคาพันธบัตรซึ่งสวนทางกับผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น
นอกเหนือไปจากความเสี่ยงด้านความสามารถชำระหนี้ ซึ่งจะวัดจากอันดับเครดิตแล้ว นักลงทุนจะพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในตลาด โดยเมื่อใดก็ตามที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาของสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามดอกเบี้ยมีความน่าดึงดูด ในการลงทุนเพิ่มขึ้นนั่นเอง และในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของบีโอเจ อยู่ที่ลบ 0.1%
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่แม้จะเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ อัตราเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาอย่างมากในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกระเตื้องขึ้นให้ถึงเป้าหมายของบีโอเจที่ 2% จึงไม่มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อพันธบัตร
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังไป ลดแรงซื้อของนักลงทุนอีกด้วย ยกตัวอย่าง หากลงทุนซื้อพันธบัตรในปัจจุบันด้วยเงิน 100 เยน เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาเป็น 4% จะทำให้ราคาสิ่งของที่ซื้อมาเพิ่มขึ้นเป็น 104 เยน โดยผลตอบแทนของพันธบัตรยังคงเท่าเดิมที่ 1% ส่งผลให้เมื่อถึงเวลาไถ่ถอน นักลงทุนจะได้รับเงินคืน 101 เยน แม้ในปัจจุบันราคาที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 104 เยน เท่ากับขาดทุนไป 3 เยน โดยหากประสบกับภาวะเงินฝืดจะให้ผลในทางตรงกันข้าม
ขณะเดียวกัน พันธบัตรของญี่ปุ่นยังมีลูกค้ารายใหญ่อีกรายหนึ่ง นั่นคือ บีโอเจ ที่ใช้มาตรการซื้อคืนสินทรัพย์ (คิวอี) ขนานใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในปี 2016 ที่ผ่านมา แม้บีโอเจเปลี่ยนทิศทางนโยบายด้วยการจะเข้าซื้อหรือขายพันธบัตรเพื่อให้พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี มีผลตอบแทนอยู่ที่ราว 0% โดยไม่ยึดติดกับปริมาณการเข้าซื้อปีละ 80 ล้านล้านเยน (ราว 24 ล้านล้านบาท) แต่จากการคำนวณของดอยช์แบงก์ บีโอเจถือพันธบัตรรัฐบาลเป็นสัดส่วนมากที่สุดในตลาดเกิดใหม่ ด้วยสัดส่วนมากกว่า 30% ของพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด
การที่นักลงทุนหรือธนาคารกลางยังคงพร้อมที่จะถือครองพันธบัตรรัฐบาลอยู่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลทั่วโลกกล้าจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม นอกเหนือไปจากการใช้งบประมาณทางการคลังเพื่อดำเนินนโยบายแบบประชานิยม
การกู้ยืมเพิ่มมาในยุคที่ประชาชนกังวลถึงการขาดดุลงบประมาณกันน้อยลง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่การเติบโต ไม่ร้อนแรงเช่นประเทศตลาด เกิดใหม่
โดย ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์
Source: Posttoday

นายกฯ สั่ง ยกเลิก EHIA / EIA โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่



นายกฯ สั่งยกเลิก EIA และ EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ให้ สผ.เร่งแจ้งกระทรวงพลังงาน แจงเป็นห่วงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องโปร่งใส เตือนผู้เห็นต่างยึดหลักกฎหมาย ไม่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีหนังสือไปถึงกระทรวงพลังงาน เพื่อแจ้งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยกเลิกผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ปัจจุบันมีปัญหาบ้านเมืองมากมายที่รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขและปฏิรูป เพื่อให้เกิดมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยคำนึงถึงความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ได้รับฟังเสียงของประชาชนแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้ผู้ที่เห็นต่างเปิดใจกว้างรับฟังรัฐบาลด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งยึดหลักกฎหมายเป็นบรรทัดฐานไม่ว่าจะดำเนินการใด ๆ โดยเฉพาะการระดมมวลชนเพื่อชุมนุมเรียกร้องต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย ไม่ให้เกิดลัทธิเอาอย่างจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งนี้ หากมีการฝ่าฝืนไม่ว่ากรณีใด ๆ อันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด”

กระทรวงพลังงานเตรียมแผนรับซื้อไฟฟ้าปี2560 อีกจำนวน850-1,000เมกะวัตต์

กระทรวงพลังงานเตรียมแผนรับซื้อไฟฟ้าปี2560 อีกจำนวน850-1,000เมกะวัตต์

  • Date : 27/02/2017, 15:56.
  • hybrid
กระทรวงพลังงานเตรียมแผนปี2560รับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม 850-1,000 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นนโยบายเดิมในส่วนของโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการและสหกรณ์  ขยะชุมชน  FiT Bidding ภาคใต้ และนโยบายใหม่ใน 3 โครงการสำคัญ คือ SPP Hybrid Firm  ,VSPP แบบSemi Firmและ โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ
 นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แผนรับซื้อไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานในปี2560 ที่จะมีทั้งนโยบายเดิมและนโยบายใหม่ รวมประมาณ 850-1,000 เมกะวัตต์นั้น ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะทะยอยออกประกาศรับซื้อทั้งหมดภายใน2-3เดือนหลังจากนี้
โดยในส่วนที่เป็นนโยบายเดิมที่จะมีการดำเนินการประกอบด้วย โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน(โซลาร์ฟาร์ม)ในส่วนราชการจำนวน400เมกะวัตต์ ที่จะมีการพิจารณาในระดับนโยบายว่าจะสามารถรับซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ และในส่วนของโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ เฟสที่2 อีกจำนวน119 เมกะวัตต์ ที่จะใช้วิธีการคัดเลือกแบบจับสลาก  รวมทั้งการรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลแบบประมูลแข่งขันในภาคใต้ที่ยังเหลือค้างอยู่12เมกะวัตต์  ,โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน78เมกะวัตต์
สำหรับส่วนที่เป็นนโยบายใหม่นั้น จะมีโครงการ รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT)สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm จำนวน300เมกะวัตต์ จากนโยบาย โรงไฟฟ้า- ประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 53 เมกะวัตต์  และการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากหรือVSPP ในรูปแบบSemi Firm  จากชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพืชพลังงาน อีก 289 เมกะวัตต์ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา  
นายทวารัฐ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27ก.พ.2560  ถึงมติกพช.เรื่องของ SPP Hybrid Firm   ว่า  รัฐบาลต้องการที่จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการพิจารณาอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบFeed-in-Tariff (FiT)ที่ 3.66 บาทต่อหน่วยสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ดังนี้ คือ ใช้สำหรับการเปิดรับซื้อรายใหม่เท่านั้น และขายเข้าระบบเป็น SPP ขนาดมากกว่า 10  เมกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 50 เมกะวัตต์ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงได้มากกว่าหรือเท่ากับ 1 ประเภท โดยไม่กำหนดสัดส่วน
ทั้งนี้อาจพิจารณาใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ร่วมได้ และต้องเป็นสัญญาประเภท Firm กับ กฟผ. เท่านั้น (เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 100% ในช่วง Peak และ ในช่วง Off-peak ไม่เกิน 65 % โดยอาจต่ำกว่า 65% ได้ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามที่ กกพ.กำหนด) นอกจากนี้ยังห้ามใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาช่วยในการผลิตไฟฟ้า ยกเว้นช่วงการเริ่มต้นเดินเครื่องโรงไฟฟ้า (Start up)เท่านั้น และยังต้องมีแผนการจัดหาเชื้อเพลิง และต้องมีแผนการพัฒนาเชื้อเพลิงใหม่เพิ่มเติมใช้พื้นที่ร่วมด้วย เช่น การปลูกพืชพลังงาน เป็นต้น สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในลักษณะ Competitive Bidding ใช้อัตรา FiT เดียวแข่งกันทุกประเภทเชื้อเพลิง กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในปี 2563
 โดยกระทรวงพลังงานได้จัดทำอัตราการรับซื้อไฟฟ้า FiTสำหรับ SPP Hybrid Firm ซึ่งพิจารณาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานหลายประเภทเชื้อเพลิง บนพื้นฐานเชื้อเพลิงที่มีศักยภาพในการดำเนินการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ Firm และสรุปอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT สำหรับ SPP Hybrid Firm ได้ดังนี้
 นายทวารัฐ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบให้รับซื้อไฟฟ้าโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid ในปริมาณ 300 เมกะวัตต์ โดยมอบหมายให้ กกพ. และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กำหนดปริมาณการรับซื้อแบ่งเป็นรายภูมิภาคตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และนำเสนอให้ กบง. พิจารณาเห็นชอบ ก่อนออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm ต่อไป
สำหรับ โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนใต้อย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการจัดตั้ง “โครงการพาคนกลับบ้าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ โครงการรองรับมวลชน หมู่บ้านสันติสุข” แก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยการสร้างงาน เพิ่มรายได้  ที่กพช.ให้ความเห็นชอบนั้น ได้กำหนดแผนงานการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลขนาดเล็ก ไว้ 3 แห่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 18 เมกะวัตต์ และจะจ่ายไฟเข้าระบบจำหน่ายของ กฟภ. รวม 12 เมกะวัตต์ โดยให้ใช้เชื้อเพลิงเศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิงหลัก
ในส่วนแผนงานการผลิตไฟฟ้าจากชีวภาพ กำหนดให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวภาพ จำนวน 30 แห่ง ในพื้นที่ จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 35 เมกะวัตต์ จ่ายไฟเข้าระบบจำหน่ายให้ กฟภ. รวม 30 เมกะวัตต์ ใช้หญ้าเนเปียร์ เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยทั้ง 2 แผนงานนี้ ทุกปีจะมีจัดสรร 10% ของกำไรสุทธิ กลับคืนให้แก่ชุมชนในพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ตลอดจนส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบกระจายศูนย์ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงในชุมชนอย่างยั่งยืน

ยัน ม.44 ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนา

"โฆษกคสช."ยัน ม.44 ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนา ชี้ต้องใช้คุม"ธรรมกาย"เพราะเป็นคดีละเอียดอ่อน ไม่เหมือนคดีทั่วไป ชี้มีปิดบัง ปลุกคนมาขัดขวาง ใช้โซเชี่ยลฯบิดเบือน ชี้ฝ่ายตรงข้าม หวังโจมตี ม.44 เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกจากตัวบุคคล ชี้ ใช้ตามสถานการณ์ แบบสมดุลย์ ทั้งนิติศาสตร์ และสังคมศาสตร์
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึง
กรณีการใช้ ม.44 กับวัดพระธรรมกาย ว่า เป็นการใช้ตามความจำเป็นจริงของสถานการณ์ ใช้แบบสมดุลย์ ทั้งนิติศาสตร์ และสังคมศาสตร์
หลักๆ คือมาตรการเสริมให้ จนท.ปฏิบัติหน้าที่บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่ง จนท.DSI ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักมาแต่เดิม เมื่อทำงานมาระยะหนึ่งพบมีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะคดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน มีองค์ประกอบต่างๆ ไม่เหมือนคดีอื่นทั่วไป เช่น มีลักษณะของการปิดบัง มีแนวโน้มจะปลุกคนมาขัดขวาง มีการใช้โซเชี่ยนในลักษณะบิดเบือนหรือไม่เหมาะสม ฯลฯ
คำสั่งฯ ฉบับนี้ยังคงมีกรอบที่ชัดเจน คือเพื่อเสริมให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญามีประสิทธิภาพ กำหนดผู้รับผิดชอบคืออธิบดี DSI มีเป้าหมายคือสนับสนุนการติดตามบุคคลตามหมายคดีอาญา ไม่ใช่ดำเนินการต่อองค์กรวัดหรือศาสนา อย่างที่บางคนพยายามบิดเบือน
ข้อบังคับในคำสั่งเน้นคลี่คลายการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการทำงาน จนท. ตามความจำเป็นเฉพาะในส่วนที่เสริมให้บรรลุวัตถูประสงค์ เช่น การควบคุมระมัดระวังเรื่องการเข้าออก ,การเชิญบุคคลมาให้ข้อมูล ,ควบคุมระบบสาธารณูปโภค, เข้าสถานที่ใดเพื่อตรวจค้น หรือ ขอเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง ฯลฯ
และด้วยการบริหารจัดการในลักษณะถ้อยที่ถ้อยอาศัย ยังไม่พบกระทบกิจกรรมใดๆ ของสงฆ์และศิษย์ หรือประชาชน หรือกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจได้
ส่วนกรณีการมีผู้ไม่หวังดีกล่าวหาว่าคำสั่ง คสช. ฉบับนี้เป็นเหมือนเครื่องมือในการทำลายพระพุทธศาสนานั้น โฆษกคสช. กล่าวว่า ก็ไม่จริง เชื่อว่าเป็นความพยายามบิดเบือนตามรูปแบบแนวทางการต่อสู้เชิงข่าวสารเพื่อจะทำลายความน่าเชื่อถือภาครัฐ หรืออาจเพื่อจะเบี่ยงเบนความสนใจสังคมจากเรื่องของบุคคล ให้ไปเป็นเรื่องขององค์กรวัด หรือเรื่องศาสนา เพราะคนอาจรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายกว่า
ส่วนหลังๆมา จะเริ่มมีการหยิบใช้ประเด็นเรื่อง ม.44 เพราะอาจเป็นคำคุ้นเคยทางการเมือง สามารถหยิบมาเสริมปั้นแต่งให้เป็นประเด็นในมุมต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่อง ม.44 คงคาดเดาว่าอาจทำให้มีแนวร่วมอื่นมาสมทบสนับสนุนได้
"ขอให้มั่นใจแนวทางของผู้บังคับบัญชาต่อการดำเนินการของ จนท.ภายใต้ คำสั่งฯ ม.44 คงเน้นปฏิบัติภายใต้กรอบ ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจเกิดให้ได้มากที่สุด และกระทำทุกอย่าด้วยสุจริตเหมาะสม ป้องกันไม่ให้ถูกผู้ไม่หวังดีหยิบไปขยายผลในทางลบ "

แผนช็อป10ปี

แผนช็อป10ปี
"บิ๊กป้อม"นำผบ.เหล่าทัพ ถกสภากลาโหม อนุมัติ แผนซื้ออาวุธ10ปี ชื่อ"แผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม" Modernization Plan : Vision 2026 ) กำหนดแผนจัดซื้อจัดหา แบบ ความต้องการระดับสูงสุด-ต่ำสุด ในการดำรงศักยภาพกองทัพ ดำรงสภาพพร้อมรบ ชี้สอดคล้อง แผนยุทธศาสตร์ชาติ20ปี และแผนปฏิรูปกลาโหม
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า ในการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นชอบ 
ร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560 – 2569( Modernization Plan : Vision 2026 )

สำหรับ ร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม นี้. เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกองทัพ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างกำลังกองทัพ ให้มีความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ตามความจำเป็นเร่งด่วน ในห้วงระยะเวลา 10 ปี ให้สามารถเผชิญกับภัยคุกคาม
พร้อมกับการปฏิบัติภารกิจตามความรับผิดชอบและการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยประเมินจากปัจจัยสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง ความต้องการยุทโธปกรณ์ การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการประเมินผล ควบคู่กับ จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับ ร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ร่างยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ กห.(พ.ศ.2560 – 2579) ร่างยุทธศาสตร์ทหาร กองทัพไทย 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ร่างแผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้าง กห. (พ.ศ. 2560 – 2569) และแผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (พ.ศ.2558 – 2563)
โดยเป็นการกำหนดความต้องการยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ในภาพรวม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดำรงสภาพความพร้อมรบ กลุ่มขยายขีดความสามารถ และกลุ่มเสริมสร้างความทันสมัย
โดยแบ่งความต้องการเป็น 2 ระดับ คือ ความต้องการระดับสูงสุด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้มีความสมบูรณ์ ภายใต้กรอบวงเงินซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ กห. ได้รับการจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับจากประมาณร้อยละ 1.4 – 2 ของ GDP ในปีงบประมาณ พ.ศ.2569
และความต้องการระดับต่ำสุด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ เท่าที่มีความจำเป็นและสามารถยอมรับเกณฑ์เสี่ยงได้ โดยไม่กระทบต่อการปฏิบัติภารกิจปกติของหน่วย ภายใต้กรอบวงเงินขั้นต่ำสุด ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ กห. ได้รับจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 3 ของปีที่ผ่านมา
โดยภาพรวม แผนดังกล่าว นี้ เป็นการสรุปความต้องการยุทโธปกรณ์และการพัฒนาขีดความสามารถกำลังกองทัพ ระดับสูงสุดและต่ำสุด ในห้วงระยะเวลา 10 ปี โดยการประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างกองทัพให้มีความสมบูรณ์และมีความพร้อมรบ ในการทำหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติ บนปัจจัยหลักพื้นฐาน ด้านสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง นโยบายของรัฐบาลและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น



"บิ๊กตู่" เปรยโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพ มันก็ขยับ/ขอ ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำบ้านเมืองสงบเรียบร้อย จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่าไปให้ความสนใจ เรื่องขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกรมศิลปากร และคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม 2560 ก็เสร็จเรียบร้อย และจะมีพิธีที่ยิ่งใหญ่ เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ
"ช่วงนี้อยากให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย นึกถึงคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเขาบ้าง จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐบาลคิดทุกอย่าง นึกถึงคนทั่วประเทศอยู่ทุกวันๆ แก้ปัญหาทุกปัญหาทุกวันๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่เป็นความขัดแย้ง อะไรที่ไม่สร้างสรรค์ อย่าไปให้ความสนใจมากนัก ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานเท่านั้นเอง" นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าว ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเจ้าหน้าที่และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายรองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงคณะกรรมการอำนวยการฯทั้งคณะ ที่ตนเป็นประธาน วันนี้ได้มาเห็นความก้าวหน้าและสบายใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน
"การจะทำอะไรก็ตามต้องมีแผนงาน การสร้างที่นี่ก็มีแผนงานไปจบเดือนกันยายน-ตุลาคม เหมือนกับรัฐบาลทำงานก็มีโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพมันก็ขยับ ทำไม่เสร็จ เข้าใจแค่นี้พอ ไม่ต้องเรื่องมาก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด