PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

"ลุงตู่" เลิกพึ่งอภินิหาร

"ลุงตู่" เลิกพึ่งอภินิหาร



สัญญาณคึกคักไต่ระดับขึ้นมาอีกขั้น
ภายหลังที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้าย
ไฟเขียวผ่าน ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เวอร์ชั่นคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ด้วยคะแนนท่วมท้น
สลัดอาการหวาดระแวงที่หลายฝ่ายเม้าท์กันให้แซ่ด อาจมีการคว่ำกระดานกฎหมายลูกกลางสภา ยื้อเลือกตั้งกันอีกรอบ
งานนี้คนที่เป่าปากโล่งอกที่สุดคือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ไม่ต้องเจอเสียงโห่ไล่หลังให้เสียราคาเหมือนที่ผ่านมา
เส้นทางไปสู่สังเวียนเลือกตั้งภายในเดือน ก.พ.2562 มีความชัดเจนมากขึ้น ตามสัญญาณเปิดตัวของบรรดาพรรคการเมืองป้ายแดงแห่กันไปจองชื่อพรรคจำนวนมาก
อุปสรรคต่างๆเริ่มคลี่คลาย รอขยับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
สถานการณ์กลับมาเป็นบวกต่อรัฐบาล อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่งว่า จะไม่มี สนช.ไปเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้ายหมิ่นเหม่ขัดรัฐธรรมนูญ
สุ้มเสียง สนช.สะท้อนตรงกัน ไม่ติดใจเนื้อหาร่างกฎหมายลูก เพราะนับหัว สนช.ที่ลงมติไม่เห็นด้วยและงดออกเสียงตอนลงมติ มีไม่ถึง 25 เสียง ไม่พอที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
ยิ่งถึงขั้นไม่เงี่ยหูรับฟัง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่เรียกร้องให้ สนช.ส่งตีความร่างกฎหมายลูก ส.ว.
นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา แสดงอาการให้รับรู้ชัดเจน ทุกอย่างลงล็อกเรียบร้อยแล้ว จึงกล้ามองข้ามข้อห่วงใยปรมาจารย์กฎหมายระดับแถวหน้าของประเทศ
ภูมิคุ้มกันดีพอ ไม่จำเป็นต้องพึ่งอภินิหารใดๆมาเป็นตัวช่วยดึงเวลาเลือกตั้งออกไปอีก
“บิ๊กตู่” มาถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จ
ทั้งในแง่ความมั่นคงที่เชื่อมั่นในตัว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะคุมม็อบต่างๆอยู่หมัด ไม่เกิดแรงกระเพื่อมสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล
หรือในแง่เศรษฐกิจก็เชื่อมือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ที่เร่งต่อยอดสารพัดโครงการอย่างเป็นรูปธรรมเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาว
นาทีนี้ “ลุงตู่” กำลังติดลมบน กล้าประกาศลั่นกลองรบ คืนสังเวียนให้นักเลือกตั้ง ตามต้นทุนหน้าตักและแต้มต่อเหนือนักการเมืองทุกประตู
และยังมีโอกาสโกยคะแนนหนีห่างนักเลือกตั้งอาชีพไปเรื่อยๆ
ยังเหลือเวที ครม.สัญจรไว้สร้างเรตติ้งผูกมิตรกับชาวบ้านอีกหลายเที่ยว เพื่อถ่างช่องว่างอดีต ส.ส.กับมวลชนในพื้นที่ให้ห่างกันมากขึ้น ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำอยู่ฝ่ายเดียว
พรรคขนาดกลาง-พรรคขนาดเล็กต่อคิวรอทอดสะพานเข้าหากันเป็นแถว
ผิดกับฟากพรรคใหญ่กระดิกตัวทำอะไรไม่ถนัด คะแนนมีแต่หล่นหาย
โดยเฉพาะ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์” มีแววเสียฐานที่นั่งเดิม
ตามกลไกรัฐธรรมนูญใหม่ที่ไม่ให้คุณพรรคใหญ่
มิหนำซ้ำยังต้องพะวงเครือข่ายคนเคยร่วมชายคาที่อาจแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่
ทำไปทำมา อาจต้องมาห้ำหั่นตัดคะแนนกันเอง อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องเปิดศึกกับกลุ่ม กปปส. และต้องคอยระวังหลัง เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ “งูเห่า” ในพรรค
ขณะที่พรรคเพื่อไทยอาจต้องบดบี้กับกลุ่ม นปช.ที่มีเค้าลาง แยกตัวไปตั้งพรรคการเมือง เบียดชิงแต้มกันเอง
รวมถึงการแสดงจุดยืนตั้งพรรคของคนรุ่นใหม่อย่าง “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาทร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริษัท ไทยซัมมิทกรุ๊ป ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์
ก็ถูกมองจะมาเฉือนส่วนแบ่งแต้มพรรคเพื่อไทย เพราะมีฐานเสียงเดียวกัน
เครือข่ายพวกพ้องทำท่าแปรสภาพมาเป็นคู่แข่งในสนาม ยังไม่นับรวมปัญหาภายในมุ้ง 2 พรรคใหญ่ จ้องเลื่อยขาเก้าอี้ชิงกันเป็นคนถือธงนำพรรคลงสนามเลือกตั้งสมัยหน้า
สองขั้วยักษ์ใหญ่ระส่ำระสาย คนในทีมตั้งท่าหันมาระแวง แย่งแต้มกันเอง
ดูไปดูมาก็มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง!!!
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: