นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีที่อัยการส่งสำนวนคดีที่ดีเอสไอกล่าวโทษผู้ว่าราชการกทม.และพวกต่อสัญญาเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายออกไป 13 ปี และการขยายเส้นทางสัมปทานใหม่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าข่ายร่วมกันประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค หรือกิจการรถราง โดยไม่ได้รับอนุญาตกลับคืนให้ดีเอสไอ เพื่อส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ส่งสำนวนฟ้องว่า ดีเอสไอได้รับสำนวนคดีดังกล่าวกลับคืนมาจากอัยการแล้ว และได้ส่งสำนวนไปให้ป.ป.ช.เป็นผู้ไต่สวนแทนดีเอสไอ เนื่องจากอัยการมองว่าคดีดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงเป็นอำนาจของป.ป.ช.ในการไต่สวนและพิจารณาสั่งฟ้อง ส่วนป.ป.ช.จะนำไปไต่สวนเพิ่มเติมหรือจะตั้งดีเอสไอร่วมเป็นอนุกรรมการไต่สวน ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม กรณีที่อัยการส่งสำนวนกลับคืนให้ดีเอสไอไม่ได้เป็นปัญหาจากเนื้อหาของสำนวนการสอบสวน แต่อัยการมองว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอำนาจของป.ป.ช.
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ดีเอสไอและอัยการที่ร่วมสอบสวนคดีดังกล่าวเห็นตรงกันมากรณีดังกล่าวไม่ใช่การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะอยู่ในอำนาจการสอบสวนของป.ป.ช. แต่เป็นกรณีผู้ว่ากทม.และพวกการกระทำนอกอำนาจหน้าที่ในการเข้าไปต่อสัญญารวมถึงขยายเส้นทางใหม่ ดีเอสไอจึงไม่ได้แยกสำนวนส่งให้ป.ป.ช.เป็นผู้ไต่สวน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเมื่ออัยการสูงสุดมีความเห็นส่งสำนวนคืนให้ดีเอสไอนำไปมอบให้ป.ป.ช.เป็นผู้ไต่สวนและพิจารณาสั่งฟ้อง ดีเอสไอก็ต้องปฏิบัติตาม
โดย: เนชั่นสุดสัปดาห์ NationWeekend
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น