การที่รัฐบาลอ้างว่ากระทรวงคลังได้รับความคิดเห็นจากสำนักงานกฤษฎีกาแล้วว่าสามารถกู้เงิน ๑๓๐,๐๐๐ ล้านบาทได้นั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ถามว่ารัฐบาล 'รักษาการ' มีสิทธิลดวงเงินกู้หรือไม่ ผมว่ามี เพราะไม่เป็นการสร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลใหม่
แต่ถามว่ารัฐบาลมีสิทธินำวงเงินที่ตัดจากโครงการหนึ่งไปจัดสรรให้กับโครงการใหม่หรือไม่ คำตอบคือไม่มีสิทธิ
แต่สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการคือลดวงเงินกู้โครงการคมนาคม และโยกวงเงินนั้นมาให้กับการจำนำข้าว
รัฐบาลอธิบายว่าได้ถามกฤษฎีกาแล้วว่าทำได้ เพราะการจำนำข้าวฤดู ๕๖/๕๗ เป็นโครงการที่ครม.ได้อนุมัติไว้ตั้งแต่ก่อนยุบสภาฯ
ปัญหาคือโครงการนี้ได้รับการอนุมัติจริง แต่การกู้เงินยังไม่มีการอนุมัติ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน เพราะตามจริงแล้วรัฐบาลควรมีรายได้จากการขายข้าว ไม่ควรต้องมากู้เงิน หรือถ้ากู้ก็มีวงเงินกู้จำกัดอยู่ที่ ๕๐๐,๐๐๐ล้านบาท ซึ่งวงเงินนี้เต็มแล้ว ไม่เคยมีมติครม. ให้เปลี่ยนแปลง (และจะเพิ่มเพดานในช่วงรักษาการก็ไม่ได้)
กระทรวงการคลังไม่กล้าเปิดเผยรายละเอียดคำตอบจากกฤษฤีกา และมีรายงานว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่เป็นความเห็นของเลขาฯเท่านั้น โดยปกติเรื่องเล็กๆพิจารณาโดยเลขาฯได้ แต่เรื่องใหญ่ถ้ารายงานนี้เป็นจริงต้องถือว่าอย่างนี้ผิดปกติ
ที่สำคัญก็คือ รัฐบาลตั้งคำถามไปอย่างหละหลวม ไม่ได้พูดถึงการกู้หรือเพดานเงินกู้แต่อย่างใด
เอาว่ารัฐบาล รวมถึงข้าราชการที่เกี่ยวข้องจะทำอะไรก็ต้องรับผลที่จะตามมาในอนาคต
แต่ที่ต้องระวังคือเหล่าธนาคารที่รัฐบาลจะต้องมาขอกู้ยืมเงิน
ตามปกติก่อนจะอนุมัติเงินกู้ ธนาคารต้องตรวจเช็คข้อมูลเกี่ยวกับผู้กู้ให้ครบถ้วน (ภาษาการเงินเขาเรียกว่า Due Diligence) ในกรณีนี้ ฝ่ายกฎหมายธนาคารต้องตรวจเช็คว่ารัฐบาลมีอำนาจทางกฎหมายที่จะกู้เงินจริงหรือไม่
เพราะถ้าอนุมัติไปแล้วปรากฏในภายหลังว่าเป็นการกู้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็คงต้องไปฟ้องเอาเงินคืนจากนักการเมืองและข้าราชการเอาเอง เพราะประชาชนคงไม่ยอมให้มีการคืนหนี้ด้วยเงินภาษีของเขาแน่นอน
แทนที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะไปเสี่ยงในการต่อเวลาให้กับโครงการที่สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศชาติ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือปล่อยให้ท่อนํ้าเลี้ยงของโครงการนี้แห้งเหือดไปเอง จะเป็นการบังคับให้รัฐบาลต้องทำในสิ่งที่ควรทำแต่แรก คือระบายข้าวเพื่อเอาเงินมาชดใช้ชาวนา และถ้าวันนั้นปรากฏว่าข้าวไม่มี หรือถ้ามีก็เน่าหมดแล้ว เราจะได้รู้ข้อเท็จจริง และจะได้จบๆกันไปเสียทีกับนโยบายอัปยศนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น