PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

"บิ๊กจิ๋ว"กับสถานการณ์ เพลานี้และก่อนหน้าเมื่อนานมา

'บิ๊กจิ๋ว'แนะร่างรธน.2ฉบับให้เลือก!

'บิ๊กจิ๋ว' ปัดเอี่ยวคาร์บอมบ์เกาะสมุย แนะ ร่างรธน. 2 ฉบับ ให้ปชช.เลือก ชี้ รัฐบาลต้องยุติความขัดแย้งให้ได้ก่อนแก้ปัญหา-เดินหน้าปฏิรูป

                           29 เม.ย. 58  เมื่อเวลา 09.30 น.  พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปให้สัมภาษณ์พิเศษทางสถานี Peace TV โดยนายเผด็จ ภูรีปฏิภาณ หรือ พญาไม้

                           พล.อ.ชวลิต ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตระกูลรับใช้สถาบันมาโดยตลอด จึงไม่มีแนวคิดที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย

                           "ทั้งนี้ขอแนะนำให้รอหลักฐานให้ชัดเจนก่อนค่อยออกมาเปิดเผย หรือให้ข่าว เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน ถ้าไม่ชัด อย่าพูด ไม่ใช่อยากจะพูดก็พูด ต้องดูหลักฐานให้ชัดก่อน ทำแบบนี้

ไม่เหมาะสม เร่งพูดไปก็จะยิ่งแตกแยก"

                           พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญที่ยังมีความเห็นต่างจากหลายฝ่ายด้วยว่า ขอแนะนำให้เขียนรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกฉีกอีกในอนาคต อย่างไรก็

ตาม สุดท้ายแล้วต้องรับฟังเสียงประชาชน เพื่อไม่ให้บ้านเมืองวิกฤต ส่วนข้อเสนอของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะให้ใช้รัฐธรรมนูญใหม่ 5 ปี แล้วค่อย

แก้ไขนั้น มองว่า อาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์ ขอย้ำว่า ควรร่างไว้ 2 ฉบับ เพื่อให้ประชาชนเลือก

                           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษทางสถานี Peace TV โดยแนะนำรัฐบาล ให้ยุติความขัดแย้งให้ได้ก่อน จึงจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ รวมถึงการเดินหน้าปฏิรูปได้

ด้วย และควรให้อำนาจอธิปไตยกับประชาชน รวมทั้งใช้หลักนิติธรรมในการบริหารราชการ
/////////////
“บิ๊กจิ๋ว” ร่วมงานรำลึกครบรอบ 28 ปี ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ อดีต จคม. แนะรัฐเข้าไปส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว  "ปัดไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์คาร์บอมบ์เกาะสมุย"  หลังมี

กระแสพาดพิงถึงกลุ่มการเมือง

เมื่อเวลา16.30 น. วันที่ 27 เม.ย. 58 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีประธานในงานเลี้ยงสังสรรค์ครบรอบ 7 ปี การก่อตั้งชมรมปิยะมิตรไทย และรำลึกครบรอบ 28 ปี การเข้าร่วมพัฒนา

ชาติไทย ของอดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ที่ โรงแรม ลี การ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่  มีกลุ่มชมรมปิยะมิตรเข้าร่วมประมาณ 300 คน จาก 5 หมู่บ้าน ในพื้นที่ จ.ยะลา และ จ.สงขลา

พล.อ.ชวลิตกล่าวว่าการเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยของอดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา(จคม.)มีขึ้นตั้งแต่ปี2530ในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ได้ผลักดันจนเกิดความสำเร็จ โดยกลุ่ม จคม. ยอม

วางอาวุธ และเข้าร่วมในการพัฒนาชาติไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 5 หมู่บ้าน ในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.นาทวี จ.สงขลา และตนก็จะเดินทางมาร่วมงานรำลึกเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเปรียบ

เสมือนเป็นสัญญาใจระหว่างกันและกัน

"ขณะที่จากการพูดคุยกับคณะกรรมของแต่ละหมู่บ้านทราบว่าอยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลและส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวให้กับหมู่บ้านปิยะมิตรโดยเฉพาะในพื้นที่อ.เบตง จ.ยะลา พื้นที่รอยต่อ

ระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย และมีหมู่บ้านปิยะมิตรอยู่รวม 3 แห่ง ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้ามาท่องเที่ยวใน อ.เบตง ได้กว่า 1 แสนคน ต่อปี มีแหล่งท่องเที่ยว “อุโมงค์ปิยะ

มิตรและสวนดอกไม้เมืองหนาว” คาดว่าหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น เนื่องจากเหตุผลหนึ่งที่ จคม. ยอมเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย

เพราะมองเห็นแล้วว่าจะมีช่องทางในการทำมาหากิน เพื่อความอยู่รอด"

พล.อ.ชวลิต ยังเปิดเผยกรณีเหตุคาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อวันที่ 10 เม.ย.  โดยมีบางกระแสข่าวที่ออกมาในลักษณะพาดพิงถึงตนและกลุ่มการเมืองต่างๆ เข้าไป

พัวพัน  แต่ตนยืนยันได้ว่าไม่ทราบ และไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งการสันนิษฐานก็สามารถคาดเดาไปได้ต่างๆ นานา และตนก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าโจรก่อการร้ายมาแล้ว

เหมือนกัน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะก่อนเกิดเหตุ  ตนได้เดินทางไปทำภารกิจในพื้นที่ จ.สุราษฏร์ธานีก็เป็นได้  แต่ตอนนั้นก็อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ควรให้เจ้าหน้าที่บ้าน

เมืองเป็นผู้สืบหาความจริง ผู้ร้ายที่แท้จริงเป็นใครกันแน่ ซึ่งคาดว่าคงจะไม่นานเกิดรอ และตนเชื่อว่าทุกคนก็ไม่อยากจะให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
////////////////
คนสนิท ยัน 'บิ๊กจิ๋ว' เตือนระวังปฏิวัติซ้อน หมายถึงปฏิวัติ ปชช.

คนสนิท ยัน "บิ๊กจิ๋ว" เตือนระวังปฏิวัติซ้อน หมายถึงการปฏิวัติจากประชาชน ปมเหตุมาจากเลือก นายกฯ-ครม.โดยตรง ขณะไฟใต้เห็นว่ารัฐบาลยังแก้ไม่ถูกทาง ย้ำต้องใช้การเมืองนำการทหาร   

(8ธ.ค.2557))พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ คนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ออกมาเตือนให้รัฐบาล
ระวังอาจเกิดเหตุปฏิวัติซ้อนนั้น ในความเป็นจริง ท่าน พล.อ.ชวลิต หมายถึง ให้ระวังการปฏิวัติของประชาชน โดยเฉพาะปมการที่จะร่าง รธน.ฉบับใหม่ ให้ประชาชนเลือกนายกฯ และ ครม.โดยตรง

ลักษณะคล้ายกับระบบประธานาธิบดีนั้น อาจเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ ต้องลองไปคิดทบทวนดูให้ดี หากเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าจะมีพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก และอาจออกมาต่อต้านรัฐบาลและ คสช. จนอาจเลยเถิดไปกลายเป็นการปฏิวัติประชาชน หรือเป็นการปฏิวัติซ้อนได้ ทั้งนี้ ไม่ใช่หมายถึงมาจากการปฏิวัติจากกำลังทหาร

"สิ่งนี้ต่างหากที่ท่าน พล.อ.ชวลิต อยากออกมาเตือน ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะความเป็นจริงแล้ว คสช.และรัฐบาล ขณะนี้มีความตั้งใจทำงานดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดเข้ามาทำให้ คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมาประสบวิกฤติทางการเมือง หากยังฝืนทำ หรือดำเนินการต่อไป" พล.ท.พิรัช กล่าว

ทั้งนี้ พล.ท.พิรัช กล่าวต่อถึงกรณีการเดินหน้าแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้ ในขณะนี้ของรัฐบาลว่า ส่วนตัวเห็นว่า เดินมาไม่ถูกทาง เนื่องจากเห็นว่าไม่ควรใช้การทหารนำการเมือง แต่ต้องใช้การเมืองนำการทหาร จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองไปแล้ว การที่ยิ่งส่งกำลังเข้าไปในพื้นที่ ถูกตัวบ้าง ไม่ถูกตัวบ้าง เป็นการสร้างศัตรูโดยใช่เหหตุ เป็นการบ่มเพราะศัตรูไปโดยไม่จำเป็น อย่างกรณีที่สะบ้าย้อย เป็นต้น ความจริงปัญหา 3 จว.ใต้ แต่เริ่มไม่ใช่แบ่งแยกดินแดน แต่เป็นเพราะพี่น้องมุสลิมต้องการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมต่อสังคมเท่านั้น แต่พอต่อสู้ ก็เลยกลายเป็นเอาเรื่องศาสนาขึ้นมา จากนั้นปัญหาจึงเลยเถิดไป ฉะนั้น ส่วนตัวยังเห็นว่าต้องเอาการเมืองมาแก้ไข

/////////////
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ลึกสุดใจ"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ความลับ"สงครามครั้งสุดท้าย"


สัมภาษณ์พิเศษ

โดย สุเมศ ทองพันธ์

"ผมพยายามทำให้ทักษิณเขากลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ได้ แล้วก็รับโทษ จากนั้นจะนิรโทษหรืออภัยโทษอะไรก็แล้วแต่"...

"ผมตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ภายใน 1 ปี 1 ปีเท่านั้นแล้วจบ...ผมก็ไป"

ก่อนยึดอำนาจ "19 กันยายน 2549" เพื่อโค่นล้ม "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี เดินเคียงข้าง "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

ซึ่งถูกฝ่าย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ประทับตราว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ

แต่ หลังจากนั้นอีก 2 ปีเมื่อ "พรรคพลังประชาชน" ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล "พล.อ.ชวลิต" กลับก้าวเข้ามารับตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" ใน "รัฐบาลสม

ชาย วงศ์สวัสดิ์"

แล้วหลังหมดอายุขัย "รัฐบาลสมชาย" ซึ่ง พรรคประชาธิปัตย์ ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ "พรรคเพื่อไทย" ตกอยู่ในฐานะ "ฝ่ายค้านพรรคเดียว"

"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ได้ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาสู่วังวนการเมืองอีกครั้ง ด้วยการเข้าสวมเสื้อ "พรรคเพื่อไทย" ประกาศตัวสู้ใน "สงครามครั้งสุดท้าย" อยู่ฝ่าย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ซึ่งเท่ากับว่า ต้องยืน

คนละฟากฝั่งกับ "พล.อ.เปรม" อย่างเต็มตัว

แล้วหลังจากนั้น ในแต่ละก้าวที่ "พล.อ.ชวลิต" เดิน ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปที่ไหน อดีต "ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย" สามารถกำหนดเกมสั่นคลอน "รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้ทุกครั้ง

ซึ่งเขาเปิดใจให้ "มติชน" ได้ฟังทุกกลเกมเบื้องหลังหมากร้อยชั้นทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาเขียนใบสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย มีอะไรซ่อนอยู่ เพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วสุดท้ายจะเป็น

อย่างไร

@ การตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย?

ผมมีเรื่องสำคัญ 5 ข้อที่จะต้องแก้ไขและพิสูจน์ให้ได้ คือ 1.ผมจะพิสูจน์ว่าพรรคการเมืองนี้ เสื้อสีนี้ คนคนนี้ อยู่ที่ไหนรู้อยู่แล้ว จงรักภักดีจริงหรือไม่ 2.ผมจะพิสูจน์ให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหาความ

ขัดแย้งในแผ่นดินที่กำลังเกิดขึ้น 3.ผมตั้งใจจะมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ ซึ่งก็ได้ทำไปแล้ว 4.ผมจะแก้ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 5.ผมจะเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาความ

ยากจน ส่วนเรื่องอื่นๆ เรื่องเล็กๆ เรื่องการเมือง อย่าง ส.ส.คนไหน จะลงที่ไหน อย่างไร ผมไม่ยุ่ง พวกคุณไปจัดการกันเอง ผมจะมาแก้ปัญหาของแผ่นดิน เรื่องนี้ผมบอกกับคุณทักษิณเขาไว้ตั้งแต่

แรกแล้ว และผมตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ภายใน 1 ปี 1 ปีเท่านั้นแล้วจบ...ผมก็ไป

วันนี้ผมก็พยายามพิสูจน์ข้อที่ 1 เรื่องความจงรักภักดีให้ได้ ตอนนี้กำลังดำเนินการ แอพโพรช (วิธีการเข้าหา) ผู้หลักผู้ใหญ่ กำลังหาช่อง ยังไม่ชัดเจน

ตอนที่ผมเข้ามาพรรคเพื่อไทย ก็มีคนที่ผมเคารพให้ บิ๊กหมง (พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์) มาบอก ผมก็เคารพท่านอยู่แล้ว ผมก็ฝากบอกบิ๊กหมงไปว่า ผมรับทราบ แต่วันนี้เหตุการณ์ ไปไกลแล้ว

เรามาแก้ปัญหาความขัดแย้งกัน ผมว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วงมาก เราเห็นแล้วว่าความขัดแย้งในประเทศนั้น ถ้าเราไม่แก้ไขโดยด่วน วิกฤตใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ ผมมองว่ามีเพียง 3 สถาบัน

เท่านั้นที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้ คือ 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งวันนี้พระองค์ทรงพระราชกรณียกิจอย่างหนักมานานแล้ว เราจะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทอีกหรือ 2.สถาบันทหาร ซึ่งที่

ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหามัวแต่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ยุ่งเหยิง น่าจะไปบอกป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) ให้ป๋าทำเองสัก 90 วัน แก้รัฐธรรมนูญสัก 2 มาตรา แล้วถอนตัว

ปล่อยให้เขาไปลงเลือกตั้งกัน ถ้าทำได้จะเป็นวีรบุรุษ ไปให้ พล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี) มาทำ ปัญหาของชาติมัน Very simple แต่ทหารทำไม่ได้ ทำมาเละ! ผ่านมาแล้วรัฐธรรมนูญ

18 ฉบับ ต้องสร้างอำนาจให้ประชาชน ผมพยายามเสนอผู้มีอำนาจ บอกว่าอย่าไปยุ่งตรงนั้น ทำเพื่อประชาชนก่อน แล้วค่อยโดยประชาชน เหมือนรัฐบาลจีน แต่ก็ยังทำไม่ได้ แล้วเราจะยอมให้เข้ามา

อีกหรือ ดังนั้นจึงเหลือเพียงสถาบันที่ 3.คือรัฐบาล ซึ่งวันนี้ก็เห็นแล้วว่ายังไม่มีการดำเนินการที่จะแก้ไข ไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นปัญหาของชาติที่สะสมมานานกว่า 77 ปี ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการ

ปกครอง ดังนั้นวิกฤตใหญ่จะเกิดขึ้นแน่นอน

วันนี้ยังมีความขัดแย้งเรื่องสีเสื้อ ตีกันด้วยไม้หน้าสาม ผมออกจากราชการก่อนเกษียณ 4 ปี ได้เข้ามาแก้ไขปัญหา ยุติปัญหาปฏิวัติ ยุติสงครามประชาชนได้แล้ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ กำลังจะแก้

ปัญหาพื้นฐาน เรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม ผมเอากองทัพมาพัฒนาประเทศ ทุกคนชนะหมด ไม่มีแพ้ จากนั้นก็เอากองทัพไปสร้างระบบการปกครองที่เป็นธรรม ให้ความรู้คน...แต่ยังไม่สำเร็จ

แต่ขณะนั้นเขาก็ยึดอำนาจไม่ได้ เพราะตลอดเวลาเราปราบการปฏิวัติตลอด นี่เป็นสาเหตุที่เราออกจากราชการก่อน 4 ปี แล้วเดินต๊อกๆ เข้าไปสู่อำนาจ

การแก้ปัญหาของชาติวันนี้รัฐบาลเป็นสถาบันสุดท้ายที่จะแก้ปัญหาให้ได้ แต่ต้องรู้ว่าปัญหาคืออะไร ต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสม การแก้ปัญหามันก็เหมือนกับเราจะไปสร้างถนน คือเราจะต้องมีรถ

แทร็กเตอร์ ถึงจะใช้สร้างถนนได้ ไม่ใช่มีแค่สิ่ว-ขวาน ดังนั้นเราต้องไปจัดภาพรัฐบาลให้เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหา จัดภาพรัฐบาลให้เห็นกันไปเลยว่ารัฐบาลนี้จะมาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่ง

เราจะเรียกรัฐบาลนั้นว่ารัฐบาลเฉพาะกาลหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่จะเป็นรัฐบาลที่เราจะมาช่วยกันหาทางลง เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้คิดถึงพวกถึงพ้อง แต่จะมาแก้ปัญหา

"สถานการณ์ทุกอย่างขณะนี้กำลังจะนำไปสู่การปฏิวัติ โอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีสูงมาก เพราะะ 1.ผู้ปกครองเอง 2.ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง เริ่มไม่ยอมให้ปกครอง และ 3.

พวกที่เคยล้าหลังเริ่มก้าวหน้า ก็คือพวกนายทุนที่เริ่มก้าวขึ้นมา ซึ่งทั้ง 3 อันดูเหมือนจะทำให้ใกล้เข้าสู่การปฏิวัติเต็มที เมืองไทยกำลังจะไม่มีทางออกอื่น ผมก็ดีใจ ที่ผมก้าวเข้ามาในจังหวะที่สามารถ

ยุติสงครามปฏิวัติได้ทันท่วงที ป้องกันความขัดแย้งเฉพาะหน้าได้เร็ว"

อย่างปัญหาภาคใต้ ผมทำสำเร็จแล้วนะ หลังจากนี้ก็จะมีวงวิชาการในพื้นที่ออกมาพูดเรื่องนครปัตตานี กำลังลงไปสัมผัสใจประชาชน สัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ ไปใช้บ้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา

เปิดรับฟังความคิดเห็น สะท้อนปัญหาในพื้นที่กัน อีกไม่กี่วันนี้ก็คงจะมีเกิดขึ้น ทราบว่า บิ๊กบัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) ไปเสนอว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 10 ล้านคน เอาไปเลย 1 ทบวง คนเขา

หัวเราะกันตกเก้าอี้ นึกไม่ถึงว่าบิ๊กบัง มุสลิมแท้ๆ จะคิดแต่เรื่องผู้ปกครอง เรื่องอำนาจ

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว พรรคนี้หรือไม่จงรักภักดี แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ต้องพูดกัน ผมตั้งใจว่าจะเปลี่ยนคนเสื้อแดง ที่วันนี้เขาชูรูปทักษิณ ให้มาเป็นการชูพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่ง

ตอนนี้ทำได้แล้ว แล้วก็จะให้ ส.ส.ที่มีอยู่ 180 กว่าคนเนี่ย ลงพื้นที่ไปทำโครงการพระราชดำริ หลายๆ โครงการ อย่างโครงการป่ารักน้ำ ของสมเด็จฯท่าน ก็กำลังจะให้พวกนี้เขาลงไปทำ ทำไปเลย

โครงการชลประทาน แก้มลิงในภาคอีสาน โดยไม่ต้องพูดว่าจงรักภักดียังไง พวกเราทำถวายฯ

ส่วนข้อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วันนี้เราก็เห็นว่าเป็นปัญหามาก อย่างกัมพูชา ผมจะรู้จักกับ ฮุน เซน (สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) มานาน ตั้งแต่ 30 ปีก่อน พล.อ.ศรีสวัสดิ์ แก้วบุญ

พัน ของประเทศลาว บอกผม เฮ้ย จิ๋วเอ้ย เอ็งมาลาวหน่อย มีคนอยากพบ ผมก็ไป ก็พาไปก็แนะนำกับ ฮุน เซน บอกว่าฮุน เซน อยากพบผม แล้วก็ขอให้ผมสรุปโครงการต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ในเมือง

ไทยให้ฟัง ตอนนั้นนั่งกัน 3 คน ขวาเป็น รณฤทธิ์ (สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ซ้ายเป็นฮุน เซน พบกันแบบ Six eyes เลย ซึ่งที่ผมไปกัมพูชา ผมก็ไปในระดับความ

สัมพันธ์ระหว่างพรรคกับพรรค ประคองความสัมพันธ์ของรัฐบาลต่อรัฐบาล ผมก็ไม่เข้าใจว่ามาโกรธผมทำไม เราเป็นประเทศใหญ่จะต้องใจเย็น ... จ๊ะจ๋า... เดี๋ยวก็ดีกันไปเอง

"ความขัดแย้งระหว่างเรากับกัมพูชาในสายตาอินเตอร์เนชั่นแนล เราใหญ่กว่าเขา ทำไมไร้ความอดทน ยิ่งกรณียกเลิกเอ็มโอยู นี่ร้ายกาจมาก ไปดูรายละเอียดยิ่งเยอะ ประเทศเพื่อนบ้านนี่ เราต้องให้

ความสำคัญ ประเทศใกล้สำคัญกว่าประเทศไกล เรื่องในบ้านสำคัญกว่าปัญหานอกบ้าน เสียดายมาร์ค (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาว่าผม เอาความลับไปขาย สมัยก่อนตอนผมเริ่มเข้ามาทำงานสนองคุณ

แผ่นดิน ตอนนั้นมาร์คอยู่ไหนก็ไม่รู้"

ท่านเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (อดีตนายกรัฐมนตรี) บอกว่าเมืองไทย อะไรๆ ก็ดีหมด ยกเว้นผู้นำ (หัวเราะ) น่าสงสารประเทศไทย (หัวเราะอีก)

อย่างไปมาเลเซียก็เหมือนกัน เขากับเราก็มีความเห็นร่วมกันว่าสมควรจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งพวกเราที่อยู่ในที่ก็ตระหนักกันดีว่าถ้าไม่ทำตั้งแต่วันนี้ปัญหาจะหนักขึ้นแน่นอน

เราจึงต้องใช้ยาแรงหน่อย ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้ไปอยู่ในหัวใจเขา เพราะจริงๆ แล้วพื้นตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่น่ารัก ผมจะผลักดันให้เป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ ทำภาคใต้ให้เป็นแลนด์มาร์คใหญ่ในภูมิภาค

ให้ตรงนั้นเป็นเกียรติประวัติในชีวิตของเขา เพื่อเอาสังคมภูมิบุตร มาสู่การแก้ไขปัญหา

"ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าข้างหนึ่งเป็นโบสถ์ใหญ่ของวัดช้างไห้ เป็นศาสนาพุทธ ตรงกลางเป็นมัสยิดกรือเซะ ทำให้ใหญ่ไปเลยของพี่น้องมุสลิม ถัดไปก็เป็นศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่เขาจะไป

สักการบูชากัน อย่างนี้น่ารักไหม ทำไมเราจะทำไม่ได้ แต่วันนี้มันน่ากลัวที่ภาคเหนือ มันก็บอกว่าเป็นล้านนามา 800 ปีแล้ว ภาคอีสาน ... ศรีโคตรบูร ก็บอกว่ามีมาเป็นพันๆ ปี ไอ้ ลังกาสุกะ ก็ว่ามัน

มีมาเป็นพันปีเหมือนกัน อย่างนี้แล้วประเทศไทยมันมีมากี่ปี เป็นเนชั่นสเตทมากี่ปีเอง นี่คือจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขให้ได้"

นอกจากกัมพูชาและมาเลเซียแล้วก็จะมีไปเวียดนาม ตั้งใจจะไปพบเพื่อนเก่าของผม รัฐบุรุษ โงเหวี่ยนเกี๊ยป ซึ่งเวียดนามเนี่ยผมบอกได้เลยว่าตอนนี้สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว คือเขารู้ว่าเราเป็นเพื่อนเขา

ถ้าจะจำกันได้ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเวียดนามมาประชุม ครม. นอกสถานที่ที่ประเทศไทยนะ มาประชุมกันนครพนม บ้านผมนะ สมัยผมเป็น ผบ.ทบ.ใหม่ๆ ตอนนั้นผมไปเวียดนาม ไปกัน 7 คนมีบิ๊กจ๊อด

(พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ.) บิ๊กสุ (พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี) ก็ไปด้วย มี รมว.กลาโหม มี ผบ.ส.ส. มีนายพลอีก 400 นายมาต้อนรับเรา เขาพูด 1 ชั่วโมง ผมพูดแค่ 5

นาที ปรบมือกันเกรียวเลย

"ผมพูดว่าในภูมิภาคนี้ถ้าไทยกับเวียดนามเป็นศัตรูกัน ภูมิภาคนี้ไม่มีวันสงบสุข แต่ภูมิภาคนี้มีศัตรูตัวฉกาจอยู่ตัวหนึ่ง...แล้วผมก็หยุดพักหนึ่ง ในห้องเงียบกันหมด ผมก็บอกว่า ศัตรูตัวนี้คือความยาก

จน เขาปรบมือกันไม่หยุด เหมือนที่มอสโคว์ เราก็เป็นนายทหารกลุ่มแรกที่ไปคุยกับเขา"

@ จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่?

(หัวเราะๆ) พอแล้ว....ไม่เอาแล้ว มาครั้งนี้ผมมาทำให้บ้านเมือง ถ้าสำเร็จแล้วผมก็ไป ก่อนที่จะเข้ามาที่พรรคเพื่อไทย ผมเขียนจดหมายบอกทักษิณเขาไว้ เป็นเงื่อนไข 10 ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผมจะไม่

รับตำแหน่งอะไรเลย แล้วจะไม่ยุ่งกิจการภายใน ท่านไปจัดการกันเอง ถ้าจะให้เป็นหัวหน้าพรรคมันก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าจะให้เป็นอีกก็ต้องมีการเรียกประชุมแล้วก็เลือกกันด้วยโหวตเตอร์ เรื่องอะไรผม

จะให้โดนด่า มันก็จะมาด่าว่านอมินีทักษิณ ส.ส.มันก็จะมาด่า แต่ก็พลาดไปแล้ว ออกมาแล้วเขาให้เป็นประธานพรรค แต่ผมยืนยันเลยนะ คนอย่างผมทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง

"ผมบอกทักษิณเขาแล้ว ว่าผมขอเป็นแค่สมาชิกพรรคคนหนึ่ง เป็นสมาชิกอย่างเดียว ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขาก็ไม่รู้ว่าผมคิดอะไร ผมบอกไปเลยนะ ผมจะไม่ยุ่งเรื่องภายในพรรค ส.ส.คนไหนจะ

ลงสมัครที่ไหนยังไง ให้ไปจัดการกันเอง ในจดหมายผมบอกชัดว่าทุกอย่างให้เขา คงเอาไว้ต่อไป เรื่องเลือกคนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เขาเลือกเองนะ...รู้สึกว่าเขาจะเลือกไว้แล้วด้วย...ผมไม่ยุ่ง

มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนมาถามผมเหมือนกันนะว่า ได้ 3,000 ล้านจากทักษิณจริงไหม...งง! ผมงงเลย บาทนึงยังไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ใช้เงินคุณหญิงหลุยส์ (คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา) อยู่เลย

@ 10 ข้อที่เขียนเป็นจดหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีอะไรบ้าง?

อืม...ผมจำไม่ได้แล้วสิ ว่ามีอะไรบ้าง... แต่นี่เป็นหนึ่งข้อในนั้น คือผมบอกเขาขอเป็นแค่สมาชิกธรรมดา

ทักษิณอยากให้เป็นอะไร ก็ขอให้เป็นไปตามครรลอง มีการโหวต ลงคะแนน มีการประชุมพรรค เป็นระบบ

@ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบจดหมายมาว่าอย่างไร?

เขาก็ยอมรับ ต้องคุยกัน ให้เข้าใจตรงกัน แหม ... คนในพรรคเขาทำงานกันเกือบตายแล้วเราจะมาเอาได้ไง

คือมันเป็นข้อตกลง และเราต้องทำแบบนี้ เพื่อไม่ให้คนนอก-คนใน เขาเข้าใจผิด เพราะพรรคนี้พวกเขาทำกันมา เราเพิ่งเข้ามาแล้วจะมาเป็นนั่นเป็นนี่ไม่ได้

@ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งขุนพลข้างกาย ที่เป็น 111 อดีต กก.บห.ไทยรักไทยมาช่วยงานในทีมวอร์รูมบ้างหรือไม่?

ไม่มีเลย ... ไม่มี

@ ประเมินไว้ว่าจะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อไร?

เราจะประเมินไม่ได้ ต้องรู้ไปเลยว่ายุบสภาเมื่อไร วันไหน เราต้องเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่ให้รัฐบาลมากำหนด

@ สถานการณ์ความขัดแย้งจะไปถึงจุดไหน อย่างไร?

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็จะเหมือนที่ผมได้พูดมาทั้งหมดแล้วตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้กำลังพยายามทำให้ทุกอย่างมันซอฟต์ลง

"ผมพยายามทำให้ทักษิณเขากลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ได้ แล้วก็รับโทษ จากนั้นจะนิรโทษหรืออภัยโทษอะไรก็แล้วแต่ คนที่มีอำนาจในเมืองไทยก็ควรจะ well come (ต้อนรับ) ท่านทักษิณด้วย

นะ โดยเราจะต้องไม่ไปทำอะไรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัว เพราะเรื่องแบบนี้พวกเราก็ทำกันเองได้อยู่แล้วนี่"

@ เคลียร์กับ พล.อ.เปรม หรือยัง?

มันต้องได้พบกันถึงจะเคลียร์กันให้ได้ แต่ถ้ายังอยู่ห่างๆ กันอย่างนี้ ลำบาก!

ท่านทักษิณก็เหมือนกัน ถ้าท่านจะไปหาป๋า บอกป๋าให้มาช่วย อ่อนน้อม ถ่อมตนไม่ได้เหรอ ท่าทีตอนนี้มันแข็งไปนิดหนึ่ง

@ นโยบายในประเทศที่ต้องการเสนอให้พรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนมีอะไรบ้าง?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจุดอ่อนของเราอยู่ในกระบวนการ ซึ่งทุกคนรู้อยู่ อย่างพรรคการเมืองวันนี้ มวลชนมันนำพรรค ซึ่งความจริงมวลชนมันต้องเดินตามพรรค โดยพรรคจะต้องเป็นผู้ควบคุมมวลชน

เป็นมวลชนของพรรค แต่กลายเป็นว่าตอนหลังพรรคเดินตามมวลชน อย่างคนเสื้อแดงวันนี้ พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ทิ้ง เพราะคนเสื้อแดงมีคุณูปการต่อพรรค เวลาพรรคตกอับก็ยังมีคนพร้อมที่จะ

เดินให้พรรค ดังนั้นพรรคจะทิ้งไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ผมจะเสนอคือ พรรคเพื่อไทยจะต้องทำให้คนยากคนจนทั้งหลายที่เขานิยมชมชอบในพรรคเพื่อไทย จะต้องให้มวลชนพื้นฐานมาขึ้นอยู่กับพรรค ทำให้มา

เป็นฐานรากของพรรคให้ได้ ส่วนเรื่องที่เหลือยังพูดไม่ได้ ผมยังพูดตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ขอร้องๆ มันเป็นความลับยังพูดไม่ได้

ส่วนการแก้ไขปัญหาความยากจนเรื่องหนึ่งใน 5 ข้อผมพูดมาตลอดว่าอยากให้ชาวนาขับรถเก๋งให้ได้ ชาวนาจะต้องส่งลูก ส่งหลานไปเรียนเมืองนอกให้ได้ ชาวนาต้องขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวเมืองนอก

ได้ อย่าง อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ผมเป็นคนผลักดันนะ ผลักดันมาตั้งแต่แรก แรกๆ มีแต่ ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ตอนนี้ไปดูสิ อบต. มีแต่ดอกเตอร์นะครับ

@ มองพรรคการเมืองใหม่อย่างไรบ้าง?

พรรคสนธิ (ลิ้มทองกุล) เหรอ เขาด่าผมมากไปหน่อย ...ผมว่าลำบากนะ ไม่ใช่ง่ายๆ การตั้งพรรคการเมือง น่าจะรอก่อน ก็ไม่เอา ผมก็อยากจะคุยกับเขานะ เขาก็คือเพื่อนเราทั้งนั้น
////////////////////////////

ป.ป.ช.ยึดทรัพย์ลูกสาวพลเอกคนสนิท“บิ๊กจิ๋ว”รวยผิดปกติ 68 ล้าน

เขียนวันที่ วันพฤหัสบดี ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 12:04 น.
เขียนโดยisranews

ป.ป.ช.ส่งอัยการฟ้องยึดทรัพย์ลูกสาวพลเอกคนสนิท“บิ๊กจิ๋ว”รวยผิดปกติ 68 ล้าน-อ้างวุ่นเงินจากอดีตนายกฯส่งให้พ่อ-ตัวเองใช้ 52 ล้าน พบเคยประจำสำนักเลขาฯนายกฯ ผู้สมัคร ส.ส. ผู้ช่วย“ชิดชัย-สุรนันทน์”

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า วันที่ 12 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนางสาวณฐกมล นนทะโชติ อดีตข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตก จำนวน 68 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

ทั้งนี้ เว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบ ในการประชุม ครั้งที่ 528 – 93/2556 วันที่ 12 ธันวาคม 2556 มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า จากการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ฟังได้ว่า นางสาวณฐกมล นนทะโชติ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ รวม 3 กรณี ดังนี้

1.กรณีรับเงินมาจาก พลเอกสัมฤทธิ์ นนทะโชติ (บิดา) ซึ่งเป็นเงินที่พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ มอบให้กับ พลเอกสัมฤทธิ์ นนทะโชติ ไว้ใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ จำนวน 40 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้

2.กรณีขายบ้านเลขที่ 35/150 – 151 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 20470 – 20471 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 16 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้

3. กรณีรับให้เงินจำนวน 12 ล้านบาทเศษ จากพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าวรับฟังไม่ได้ ให้ส่งเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่พร้อมทั้งรายงานผลการตรวจสอบไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนางสาวณฐกมลนนทะโชติ ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 38 วรรคสอง

รายละเอียดที่เผยแพร่ในเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช.มีดังนี้

ด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางสาวณฐกมล นนทะโชติ กรณีเข้ารับตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2546  กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2548  และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549

ผลการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่ง

โดยการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นจากตำแหน่งกับบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินกรณีเข้ารับตำแหน่ง ปรากฏว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสุทธิ 57,027,812.19 และผลการ

ตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี โดยการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีกับบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินกรณีเข้ารับตำแหน่ง ปรากฏว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 70,547,260.82 บาท เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นระหว่างพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี สุทธิ 13,519,448.63 บาท

ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการตรวจสอบเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบ ในการประชุมครั้งที่ 528 – 93/2556 วันที่ 12 ธันวาคม 2556 มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า จากการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ฟังได้ว่า นางสาวณฐกมล นนทะโชติ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ รวม 3 กรณี ดังนี้

1.กรณีรับเงินมาจาก พลเอก สัมฤทธิ์ นนทะโชติ (บิดา) ซึ่งเป็นเงินที่พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ มอบให้กับ พลเอกสัมฤทธิ์ นนทะโชติ ไว้ใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ จำนวน 40 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้

2. กรณีขายบ้านเลขที่ 35/150 – 151 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 20470 – 20471ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 16 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับ
ฟังไม่ได้

3. กรณีรับให้เงินจำนวน 12 ล้านบาทเศษ จากพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้ ให้ส่งเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่พร้อมทั้งรายงานผลการตรวจสอบไปยังอัยการสุงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนางสาวณฐกมลนนทะโชติ ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 38 วรรคสอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.นฤมล นนทะโชติ เป็นบุตรสาวของ พล.อ.สัมฤทธิ์ นนทะโชติ (อดีต ผบช.มณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี , อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) กับนางมน
ทรัตน์ นนทะโชติ เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 1 อุดรธานี ในปี พ.ศ. 2544 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์) และ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) ปี 2552 ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน
////////////////////////
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (15 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 — ) เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 22 ของไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตรัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงมหาดไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีดรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด

เป็นเจ้าของสมญา "ขงเบ้งแห่งกองทัพบก" เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้า พรรคความหวังใหม่ คนแรก และเป็นอดีต ส.ส.หลาย

สมัย มีคะแนนเสียงหนาแน่นในจังหวัดนครพนม

สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เรียก พล.อ.ชวลิต ว่า "บิ๊กจิ๋ว" และในพื้นที่ภาคอีสาน เรียก พล.อ.ชวลิต ว่า "พ่อใหญ่จิ๋ว" นอกจากนี้แล้วยังมีอีกฉายาหนึ่งว่า "จิ๋วหวานเจี๊ยบ" จากการมีบุคคลิกพูดจา

อ่อนนิ่ม นุ่มนวล

ประวัติ

พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (ชื่อเล่น: ตึ๋ง)[1] เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 ที่ จังหวัดนนทบุรีเป็นบุตรของ ร้อยเอกชั้น ยงใจยุทธ และนางสุรีย์ศรี (นามเดิม: ละมุน) ยงใจยุทธ มีพี่สาวต่างบิดาชื่อ สุมน

สมสาร และน้องชายต่างมารดาชื่อธรรมนูญ ยงใจยุทธ[1] สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2496 และ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2507

พลเอก ดร.ชวลิต สมรสครั้งแรกกับวิภา[1] ครั้งที่สองกับพิมพ์นิภา มนตรีอาภรณ์ (นามเดิม: ประเสริฐศรี จันทน์อาภรณ์)[2][3][4] และสมรสครั้งที่สามกับคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ (ลิมปภมร)

ชวลิตมีบุตร 3 คนกับภรรยาคนแรก คือ นายคฤกพล ยงใจยุทธ นางอรพิณ นพวงศ์ (ถึงแก่กรรม) และพันตำรวจตรีหญิงศรีสุภางค์ โสมกุล

การเมือง

พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แล้วเข้าสู่การเมือง ก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี พ.ศ. 2535 พล.อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในผู้ที่ปราศรัยขับไล่

พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่สนามหลวง เป็นคนแรกด้วย การเมืองหลังจากนั้น พรรคความหวังใหม่กลายเป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในภาคอีสาน ก่อนที่จะย้ายพรรคมาสังกัดพรรคไทยรักไทย

ในปี พ.ศ. 2544 และ พลเอก ดร.ชวลิต ก็รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรสมัยแรกด้วย

หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต พยายามจะเป็นผู้เสนอตัวไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ "สมานฉันท์"

กัน โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง" รวมทั้งมีการข่าวว่าอาจจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน แต่แล้วตำแหน่งนี้ในที่สุดก็ตกเป็นของ นายสมัคร สุนทรเวช

ในรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิตได้เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เจรจากับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะ แต่หลังจากรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน ก็

เกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้าอาคารรัฐสภา พล.อ.ชวลิตก็ขอลาออกทันที

ในกลางปี พ.ศ. 2552 หลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในกรณีเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แล้วนั้น พล.อ.ชวลิตก็ได้สมัครเข้า

สู่พรรคเพื่อไทย โดยให้เหตุผลว่าต้องการเข้ามาเพื่อสมานฉันท์ โดยไม่ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร[6] และหลังจากนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีมติให้ พล.อ.ชวลิตดำรงตำแหน่งประธานพรรค

ต่อมาในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554 ท่ามกลางข่าวลือที่มีมาช่วงระยะหนึ่ง พล.อ.ชวลิตก็ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ คนใกล้ชิดของ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจที่

มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าทำกิจกรรมร่วมกับทางแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง และมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนหน้า

นั้นไม่นาน[7]

ข้อวิจารณ์[แก้]
เมื่อครั้งประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 เกิดขึ้นในสมัย พล.อ.ชวลิต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับการวิจารณ์ว่าตัดสินใจอย่างผิดพลาดที่ไปประกาศลดค่า

เงินบาท ซึ่งก่อให้เกิดเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับชาติตามมาหลังจากนั้นอย่างวิกฤต ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังจากเกิดมีนักธุรกิจและชนชั้นกลางรวมตัวกันขับ

ไล่ที่ถนนสีลม แต่ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า เหตุใดธุรกิจของคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองร่วมรัฐบาลกลับไม่ได้รับผลกระทบต่อวิกฤตกรณ์แต่อย่างใด ในขณะที่ธุรกิจของบุคคลโดยทั่วไปที่ไม่มี

ความเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลนั้น ได้รับผลกระทบถึงขั้นล้มละลายเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ [15]
ได้รับการวิจารณ์ว่า แม้จะเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกพูดจาอ่อนหวาน น่าฟัง แต่ทว่ากลับพูดไม่รู้เรื่อง หรือมักลืมคำถามหรือสิ่งที่ตนพูดอยู่เสมอ ๆ จนได้รับฉายาว่า "จิ๋ว อัลไซเมอร์"[16]
ก่อนการเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทย ได้รับคำเตือนจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีว่า คิดให้ดี อย่าทรยศต่อชาติ[17][18]
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ใด ๆ ที่ พล.อ.ชวลิต รับหน้าที่อยู่ มักจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเสมอ จนได้รับฉายาว่า "พ่อใหญ่ลา"[19]
หลังการการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จบลง ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เข้าพบ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับความมั่น

คงของชาติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ อีกทั้งในขณะนั้นประเทศไทยมีปัญหาระหว่างประเทศกับกัมพูชาอยู่ จนได้รับการกล่าวหาว่า "ขายชาติ"[20][21]
ในช่วงการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ได้เสนอทางออกของปัญหา คือ การขอพึ่งพาพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดการ

วิจารณ์ตามมามากมายว่าไม่บังควรอย่างยิ่ง แม้เจ้าตัวจะได้ปฏิเสธในภายหลังว่ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น[22]

ไม่มีความคิดเห็น: