PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาชี้หลังคำสั่งศาลแพ่งผู้ทีึ่ถูกศาลอาญาออกหมายจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฯสามารถขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับได้

นายชูชาติ ศรีสังข์ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสเฟสบุ๊คส่วนตัว Chuchart Srisaeng อธิบายถึงคำพิพากษาของศาลแพ่ง ในคดีที่"นายถาวร เสนเนียม ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ว่า
.....คำพิพากษาของศาลแพ่งคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวก เป็นจำเลย นั้น
.....ขอบอกให้ทราบเพื่อความเข้าใจกันว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
.....ไม่ได้ขอให้เพิกถอน พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
.....ตามรัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจเพิกถอนพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติ
.....การเพิกถอนหรือยกเลิกพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติเป็นอำนาจของรัฐสภา

.....คำพิพากษาของศาลแพ่งระบุว่า นอกจากมีผูกพันโจทก์และจำเลยแล้วให้มีผลผูกพันถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีหน้าที่ในการปฏิบัติและประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับโจทก์ด้วย
.....โดยศาลแพ่งห้ามให้จำเลยทั้งสามคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ 1 ร้อยตำรวจเอกฉลิม อยู่บำรุง ที่ 2 พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ที่ 3 ดังต่อไปนี้

.....ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม นำประกาศตามเอกสารหมาย จ.1 มาใช้บังคับเพื่อการออกประกาศ และข้อกำหนดตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 และให้ข้อบังคับตามประกาศและข้อกำหนดดังกล่าวไม่มีผลบังคับต่อโจทก์และประชาชน นับแต่วันที่ลงในประกาศและข้อกำหนด รวมทั้งห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม กระทำการดังต่อไปนี้
.......1 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ใช้หรือสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้กำลังหรืออาวุธเข้าสลายการชุมนุม ของโจทก์และประชาชนที่ได้ชุมนุมกันโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง
.......2 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม มีคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑืหรือวัตถุอื่นใดที่ได้ใช้ หรือจะใช้สิ่งนั้นเพื่อการกระทำการ หรือสนับสนุนการชุมนุมของโจทก์และประชาชน
.......3 ห้าม มิให้จำเลยทั้งสาม ออกคำสั่งตรวจค้นหรือถอน หรือทำลายซึ่งอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งกีดขวางของโจทก์และประชาชน
.......4 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการ ให้การ ซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภค บริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์ อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจใช้ในการชุมนุมของโจทก์และประชาชน
.......5 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการ ห้ามกระทำการอย่างใดๆ ที่เป็นการปิดการจราจร ปิดเส้นทางคมนาคม หรือกระทำการอื่นใด ที่ทำให้ไม่อาจใช้เส้นทางคมนาคมได้ตามปกติ ในทุกเขตพื้นที่ ที่โจทก์และประชาชนใช้ในการชุมนุม
.......6 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ประกาศ กำหนดพื้นที่ที่ห้ามมีการชุมนุมของโจทก์และประชาชน ตั้งแต่5คนขึ้นไป
.......7 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการ ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไข ในการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะของโจทก์และประชาชน ใช้ในการชุมนุม
.......8 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ห้ามโจทก์และประชาชนใช้อาคารหรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใดๆ
.......9 ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งให้อพยพโจทก์และประชาชนออกจากพื้นที่การชุมนุมและห้ามมิให้ออกคำสั่งห้ามโจกท์และประชาชนเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม

.....ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง จำเลยทั้งสามไม่อาจใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาใช้เพื่อห้ามมิให้โจทก์และประชาชนทำการชุมนุมกันต่อไป
.....ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฯ อีกต่อไป
.....ผู้ทีึ่ถูกศาลอาญาออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฯ ก็ไปขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับได้
.....ต่อจากนี้ไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอให้ศาลออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก. ไม่ได้อีกแล้ว ครับ

ไม่มีความคิดเห็น: