PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

ละครการเมือง?

 
Pat Hemasuk
2 ชม.
ผมอยากจะสรุปข่าวต่างประเทศประจำสัปดาห์ในย่านเอเซีย เลือกเอาเฉพาะเรื่องที่สะใจ

สำนักข่าวซินหัวของจีนได้รายงานข่าวสรุปว่า ตี๋คิมแห่งเกาหลีเหนือประสพความสำเร็จอย่างสูงในการไปเยือนจีน และได้เจรจาความเมืองทุกเรื่องกับเฮียสีเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่โผล่ออกมาแทรกข่าวตั้งแต่วันแรกที่ไปเยือนก็คือตี๋คิมนั้นเห็นด้วยที่จะให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์ และยินดีจะเจรจากับทรัมป์ หลังจากที่เกาหลีเหนือผูกมิตรกันเรียบร้อยกับเกาหลีไต้ไปก่อนหน้านั้น

แต่ผมไม่คิดหรอกครับว่าตี๋คิมจะยอมให้ประเทศของตัวเองไร้ขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ เพราะเกาหลีเหนือพูดเสมอว่าอาวุธของตัวเองนั้นไม่เป็นอันตรายต่อเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถ้าตราบใดไม่มายุ่งกับเกาหลีเหนือก่อน และอาวุธพวกนี้พร้อมที่จะถล่มพื้นที่ในดินแดนสหรัฐ ถ้าต้องการจะเปิดศึกกับเกาหลีเหนือจริงๆ เรื่องนี้เฮียสีแกเป็นกาวใจให้ ปธน.ทรัมป์มาแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาที่ ปธน.ทรัมป์ต่อสายตรงของคุยกับเฮียสีให้จัดการเกาหลีเหนือ และได้คำตอบจากจีนว่า ถ้าเกาหลีเหนือเปิดสงครามก่อน จีนจะจัดการเกาหลีเหนือเอง แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจีนจะไม่เข้าไปสอดมือยุ่งเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งก็ตรงกับที่เกาหลีเหนือเคยประกาศเอาไว้เพียงแต่พูดให้ดูนุ่มขึ้นเท่านั้นเอง และหลังจากที่ตี๋คิมและเฮียสีคุยกันจบ สำนักข่าวซินหัวของจีนก็ออกข่าวแทรกข่าวหลักว่าเกาหลีเหนือพร้อมคุยกับ ปธน.ทรัมป์แล้ว

ผมบอกได้เลยว่าเกาหลีเหนือมาถูกทางมาก ถ้าไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในมือป่านนี้คงโดนสหรัฐจับมือกับญี่ปุ่นยำตรีนไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ทดสอบเครื่องยนต์จรวดของตัวเอง แต่หลังจากที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธโชว์หลายลูกว่าระยะยิงนั้นไปถึงทุกเมืองใหญ่ในสหรัฐแน่นอนและทดลองระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ขนาดเล็กพอที่จะบรรจุลงขีปนาวุธสำเร็จ เกาหลีใต้ก็ตีตัวออกห่างลูกพี่ใหญ่อเมริกาอย่างออกหน้าออกตา แล้วไปเปิดสัมพันธ์อันดีกว่าแต่ก่อนกับเกาหลีเหนือทันที ผมเชื่อว่าประชาชนเกาหลีใต้ก็เห็นด้วยกับแนวคิดสายพิราบของ ปธน.มูน แจอิน ที่เป็นมิตรกับเกาหลีเหนือมากขึ้น เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์และกำลังรบมหาศาล เกาหลีใต้มีเงินและเทคโนโลยี จูบปากกันได้เมื่อไรก็จะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากจนญี่ปุ่นจะต้องคิดหนัก

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”


วิกฤตและปัญหาในทางการเมืองนับแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา กระทั่งเดือนมีนาคม 2561 เป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่าเป็นปัญหาของ “คสช.”
ฟังเผินๆ เหมือนกับเป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย เหมือนกับจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับ คสช.และกับรัฐบาล
แต่หากลองนั่งนิ่งๆ ทำใจให้เป็นสมาธิ
ถามว่าการที่ต้องนำร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ สนช.มาแล้วเป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่า เป็นปัญหาของ สนช. เป็นปัญหาของ กรธ.
ถามต่อไปว่าแล้ว สนช.มาจากไหน แล้ว กรธ.มาจากไหน ก็จะได้คำตอบโดยอัตโนมัติว่าล้วนแต่มาจากการลงนามอนุมัติแต่งตั้งโดยหัวหน้า คสช.ทั้งสิ้น
ร่างกันเอง พิจารณากันเอง ผ่านความเห็นชอบกันเองแล้วก็ส่งตีความกันเอง
ทําไมจึงถือเอาเดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นจุดเริ่มต้น ทำไมจึงถือเอาเดือนมีนาคม 2561 เป็นจุดเหมือนกับเป็นการให้คำตอบ
เพราะทั้งหมดล้วนมาจาก “คสช.”
ขอถามว่า เหตุปัจจัยอะไรทำให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
ตอบว่า เพราะ “มาตรา 44”
ที่จุดนี้เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นเพราะเท่ากับนำไปสู่สถานการณ์อันทำให้ คสช.และรัฐบาลจำต้องปรับ ครม.อย่างขนานใหญ่
เกิดเสียงเรียกร้องให้พิจารณารัฐมนตรี “สายทหาร”

ขณะเดียวกัน แม้เมื่อปรับ ครม.แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอย่างอึงคะนึงโดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกมือขึ้นบังแดดส่องตาระหว่างรอถ่ายรูปหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560
นั่นแหละคือที่มาแห่ง “นาฬิกา” หรู
บทสรุปจากปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหมือนกับเป็นการอวยพรปีใหม่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินทางเข้าบ้านสี่เสาฯ
ว่าด้วย “กองหนุน”
จึงถือได้ว่าเป็นการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์อัน คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบอย่างตรงเป้า
เป็นความหวังดีอย่างยิ่งยวดจาก “ผู้อาวุโส”
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเหตุปัจจัยและสภาวะรวบยอดอย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สุด เพราะเมื่อ “กองหนุน” ถดถอยเหลือน้อย
ย่อมหมายถึง “ความล้มเหลว” มีมากกว่า “ความสำเร็จ”
แม้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มิได้จำแนกแยกแยะว่าทำไม “กองหนุน” จึงเหลือน้อย แต่ก็ดำเนินไปตามภูมิปัญญาแต่โบราณ
อันเป็นไปตามกฎ “นกไร้ ไม้โหด”
สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันจึงเท่ากับบ่งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาและวิกฤตอันสุมรุมอยู่โดยรอบและตกอยู่บนบ่าของ คสช.และรัฐบาลนั้น
เป็นวิกฤตในแบบ “สนิม” เกิดแต่ “เนื้อใน”
เป็นเงาสะท้อนแห่งการสะสมปัญหาตลอด 4 ปี ภายหลังรัฐประหารว่าอยู่ในความรับผิดชอบของใคร เป็นของ “คนอื่น” หรือว่าเป็นของ “ตนเอง”
นี่เป็นเรื่องของ “เรา” มิใช่เรื่องของ “เขา”

มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน. วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิกพรรค

มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน. วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิกพรรค


มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาล รธน.วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิก-ประชุมเลือก กก.บห. 90 วันหลังปลดล็อก หวั่นเข้าข่ายลิดรอนสิทธิ สร้างภาระเกินสมควร เตรียมยื่นทันทีวันนี้ก่อน 1 เม.ย.
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ที่ประชุมมีมติให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้อง หลังผู้ตรวจได้รับคำร้องและมี 2 หน่วยงานคือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติและ กกต.ยื่นคำชี้แจงมา โดยหัวหน้า คสช.ไม่ได้ส่งคำชี้แจงมา ซึ่งเมื่อพิจารณาคำชี้แจงประเด็นที่มีการร้อง เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสียหายและได้รับความเดือดร้อนโดยตรง คสช.มีอำนาจในการออกคำสั่ง คสช.ดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื้อหาของคำสั่งที่ 53/2560 ที่มีการแก้ไขแนวปฏิบัติของพรรคการเมืองตามมาตรา 140 และมาตรา 141 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยมาตรา 140 เกี่ยวกับการให้สมาชิกพรรคที่ประสงค์จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไปยืนยันตนเองพร้อมแสดงหลักฐานมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดไม่มีการยืนยัน ให้ถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น เป็นการลิดรอนสิทธิของสมาชิกพรรค และเพิ่มภาระให้กับสมาชิก และมีระยะเวลาดำเนินการกระชั้นชิด
และที่แก้ไขมาตรา 141 (4) ซึ่งเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับ จัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง เลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค (5) เกี่ยวกับการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ให้ครบถ้วนตามที่ พ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนดภายใน 90 วัน และ กกต.สามารถขยายได้ครั้งหนึ่ง แต่หากครบเวลาแล้วพรรคไม่สามารถดำเนินการได้ ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพไป โดยการดำเนินการดังกล่าวให้ทำเมื่อมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 แล้ว ก็เป็นการสร้างภาระให้แก่พรรคการเมืองเกินสมควร จึงเห็นว่าทั้ง 2 ประเด็นเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 25, 26, 27 ประกอบมาตรา 45 ซึ่งทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะยื่นคำร้องและหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันนี้ (30 มี.ค.)

นายรักษเกชากล่าวอีกว่า แม้ผู้ตรวจจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ายังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา ในวันที่ 1 เมษายน พรรคการเมืองก็ยังคงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ไปก่อน เพราะการออกคำสั่งดังกล่าวมีกฎหมายรองรับถูกต้องและเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ต้องปฏิบัติตาม
เมื่อถามว่า การที่ผู้ตรวจมีมติเช่นนี้จะทำให้มีปัญหากับ คสช.หรือไม่ นายรักษเกชากล่าวว่า เราปฏิบัติไปตามหน้าที่ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เราก็เห็นว่าคำสั่ง คสช.ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่มีปัญหาในเนื้อหาที่ขัดรัฐธรรมนูญ กระทบต่อการปฏิบัติเท่านั้น ส่วนหลังจากนี้ถ้า คสช.มีการแก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ก็เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัย

สะสมกำลังในงานใหญ่

สะสมกำลังในงานใหญ่



“กลับลำ กลืนน้ำลาย ปาหี่ สมคบคิด” นั่นก็แล้วแต่จะให้คำนิยามกันไป แต่ที่สุด สนช. ก็เดินหน้ายื่นร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ตามเคาะสุดท้าย ที่เหมือนสัญญาณจากต้นแม่น้ำสายหลัก “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณา แต่ยิงโป้งนำร่อง ไม่อยากให้กฎหมายมีปัญหาส่งขึ้นทูลเกล้าฯ
ฝักถั่วสลอนใน สนช. ไหลล้อสัญญาณ เป็นอันจบข่าว
และที่จริง “นายกฯลุงตู่” ก็บอกแล้ว ไม่ใช่แผนยื้อเลือกตั้ง ทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อ สนช.โหวตผ่านกฎหมาย แต่เมื่อ สนช.เสียงข้างน้อยยังติดใจ ก็มีสิทธิเข้าชื่อยื่นตีความได้ ไม่ใช่การสมคบคิด
ทุกฝ่ายประสานเสียง โรดแม็ปเลือกตั้งจะเคลื่อนก็คงไม่มากนัก
ในสมมติฐานคาดการณ์ทางบวก ตีความแล้วผ่านฉลุย โดยไม่ได้พูดถึง “ทางลบ” กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกฎหมายเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญ ต้องรื้อกันทั้งฉบับหรือไม่ และกระบวนการ “ร่างใหม่” ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เลือกตั้งขยับจาก เดือน ก.พ.2562 ไปอีกกี่มากน้อย
อันนี้ถาม “บิ๊กตู่” ก็น่าจะยังตอบชัดไม่ได้เหมือนกัน
ในจังหวะของบ้านเมือง ที่ยังคงต้องอ้อมแอ้มไหลตามโปรแกรมกันไปก่อน เพราะนอกจากกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปกำหนดไม่ได้แล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่ยากคาดการณ์
นั่นก็เลยล้อมาตามลำดับ เล่นเฉพาะหน้าไปทุกฝ่าย เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ห้วงที่การเมืองเริ่มคึกคัก โดยเฉพาะฟากฝั่งถืออำนาจพิเศษ ต้องบอกว่า ณ วันนี้ “บิ๊กตู่” มีแนวโน้มสูงเป็นผู้นำกึ่งคนใน-กึ่งคนนอก ถึงลงเลือกตั้งไม่ได้ แต่ก็สามารถแปะชื่อขายในป้อมค่ายการเมือง
โดยเฉพาะพรรคใหม่ “พลังประชารัฐ” รอติดป้ายประธานที่ปรึกษาพรรคให้ “ลุงตู่” ได้
กับพลังหนุนเนื่องจากฝีมือบริหารบ้านเมืองมากว่า 4 ปี ประชารัฐขึ้นหม้อ ไทยนิยมยั่งยืนติดตลาด อัดฉีดโค้งสำคัญเป็นระลอกๆล่าสุดหมู่บ้านต่างๆรอรับกันได้ หมู่บ้านละ 2 แสนบาท
ชุดแพ็กเกจ “ลุงตู่นิยม” แล้วชาวบ้านจะไม่ “นิยมลุงตู่” ได้ไง
รวมทั้งเวลานี้มืองานการเมืองของผู้นำเริ่มโชว์ของ นอกจากมีข่าวพรรคพลังประชารัฐ โดย “ชวน ชูจันทร์” ผู้ร่วมก่อตั้ง รอชู “มิสเตอร์จันทร์โอชา” อยู่ในเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน เกี่ยวโยงทั้งเป็นเพื่อน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ อดีตกัปตันมูลนิธิสัมมาชีพ ที่มีข่าวเตรียมทิ้งเก้าอี้ไปลุยพรรคใหม่
เครือข่าย “สมคิดกรุ๊ป” บวกด้วยผู้ร่วมก่อตั้งสายท็อปบูต เพื่อน ตท.12 ของ “ลุงตู่” แท็กทีมรอแล้ว
ล่าสุดมีกระแสข่าว “สุชาติ ตันเจริญ” บิ๊กกลุ่มการเมืองบ้านริมน้ำ นัดเพื่อนพ้องน้องพี่กลุ่ม 16 เก่ามาร่วมวงมื้อเที่ยง พูดคุยการเมือง และมีข่าว “ดร.สมคิด” จะไปร่วมวง
ถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะบอกปัด แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะในวงก็มีหลายรายเป็น “อดีต รมต. ส.เสือ” อดีตสมาชิกก๊วนก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ในรัฐบาลไทยรักไทยเก่า
“เฟรนด์ออฟ ส.เสือ สมคิด” กันทั้งนั้น
อีกรายที่กำลังเร่งเครื่องอยู่เหมือนกัน แว่วว่า “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ เพื่อน รัก ตท.12 ของ “บิ๊กลุงตู่” นอกจากเคยมีข่าวดีลเจ้าสัวธุรกิจประมงยักษ์ ทีมกุนซือสมัยกระทรวงเกษตรฯ
ในสาย “ธนพร ศรียากูล” ทายาททหาร ตั้งพรรค “คนธรรมดาแห่งประเทศไทย” สแตนด์บายนานแล้ว
ยังมีกระแสข่าวเพื่อนเลิฟ “ลุงตู่” รายนี้ กำลังเดินแผนใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง ล่าสุดมีข่าว “บุกกรุงศรีฯ” เตรียมตีแตกป้อมค่ายการเมืองเจ้าถิ่นใน จ.พระนครศรีอยุธยา ดึงไพร่พลเข้าพวก
ในบทบาทอีกแม่ทัพใหญ่ในคราศึกชิงแต้ม
ตามสูตรเก็บทุกเบี้ยใต้ถุนร้าน ปั้นร่างรัฐบาลผสม.
ทีมข่าวการเมือง

220มาจากไหน

"บิ๊กป้อม" เย้ย"ทักษิณ" พูดยังไงก็พูดได้ ว่าชนะเลือกตั้ง ไม่เชื่อ โพลล์ "เพื่อไทย"จะชนะ 220 ที่นั่ง

พลเอกประวิตร  กล่าวถึง การที่"ทักษิณ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์ เชื่อมั่น "พรรคเพื่อไทย" ว่า ชนะเลือกตั้งแน่ นั้น ว่า ก็ว่าไป พูดยังไง ก็พูดได้ ยันไม่หวั่นไหว

เมื่อถามว่า  ฝ่ายความมั่นคง ทำโพลล์ ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ สส.220-230 เสียง พล.อ ประวิตร กล่าวอย่างอารมณ์ว่า คุณเชื่อเขา ก็เชื่อไป คุณจะมาถาม ผมทำไม ผม ไม่เชื่อ 

พล.อ.ประวิตร ถามสื่อกลับด้วยว่า ใครทำโพลล์ ผมไม่เห็น รู้เลยว่า หน่วยไหน ทำโพลล์ ไม่เห็นมีรายงานมาเลย และ ไม่เคยได้รับรายงานว่าคสช.ทำโพลล์เลือกตั้ง

ไม่สนทักษิณ

มา เกมไหน??

"บิ๊กป้อม" ไม่สน "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" โผล่โชว์ตัว ที่ ญี่ปุ่น จะส่งสัญญาณอะไรทางการเมือง. หรือจะเย้ยว่า จับไม่ได้....เผยไปดำเนินการด้านการเมือง แต่ไม่ใช่ดำเนินการ แบบ"ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" แต่ในฐานะอดีตผู้นำประเทศ เผย แจงญี่ปุ่น ไม่เกี่ยวการเมือง ยันเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กำลังติดตามตัวอยู่  

ร้อง"ปัดโธ่!" โดนถามว่า เป็นการเย้ย ว่า คสช.ตามจับตัวไม่ได้ หรือไม่  ชี้ จับเขาไม่ได้ยังไง  เรากำลังดำเนินการอยู่

พล.อ ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของนาย ทักษิณ และ น.ส ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ปรากฏตัวญี่ปุ่น อย่างไร ว่า จะให้ประเมินยังไง

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการเล่นเกมทางการเมือง หรือปรากฎตัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าทางการไทยไม่สามารถจับกุมตัวได้หรือไม่  พล.อ ประวิตร ร้อง ปัดโธ่!!  พร้อม กล่าวว่า จะจับไม่ได้ ได้ยังไง เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการในเรื่องนี้อยู่
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับญี่ปุ่นหรือไม่ พล.อ ประวิตร กล่าวว่า ต่างประเทศ เขาไปมองว่าเป็นการดำเนินการทางการเมือง ในลักษณะผู้หลบหนีเข้าเมือง ไม่ใช่"ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" และที่เขายังดำเนินการอยู่ได้ เพราะเขาเป็นผู้นำประเทศ เเละคดีต่างๆไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง เราต้องชี้แจงให้เขาทราบ

ถามว่าคสช.รู้สึกหวั่นไหวกับความเคลื่อนไหวของ2อดีตนายกฯหรือไม่ พล.อ ประวิตร กล่าวว่า ไม่หวั่นไหว

แหวนพ่อนาฬิการเพื่อน

"แหวนพ่อ-นาฬิกาเพื่อน"

"บิ๊กป้อม" ยันเอง "แหวนพ่อ-นาฬิกาเพื่อน" ชี้แจง ปปช.22 เรือน  ยัน ทุกอย่างเป็นความจริง เรื่องการชี้แจงกับ ปปช.จบแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว จากนี้ ก็เป็นเรื่องของ ปปช.จะว่าไป ก็เป็นของเพื่อน ก็จบไปแล้ว 
ส่วนแหวนก็เป็นของพ่อ

"โอ้ย ไม่มีอะไรแล้ว ชี้แจงปปช.แล้ว ก็เป็นเรื่องของ ปปช.จะว่าไป"

เมื่อถามว่า ทั้ง22 เรือน เป็นของเพื่อนคนเดียว ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร ยอมรับว่า ใช่ ก็เป็นของเพื่อน  จบไปแล้ว "

ทั้งนี้ ทีรายงานข่าว ว่า เพื่อนคนดังกล่าว คือ เสี่ยคราม นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิท ที่เรียนเซนต์คาเบรียล มาด้วยกัน และคบหาสนิทสนมดูแลกันจน นายปัฐวาท เสียชีวิต เมื่อกพ.2560

ส่วนแหวน เป็นของ คุณพ่อ ที่เสียชีวิตแล้ว ให้คุณแม่ เก็บไว้ให้ลูก ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร บอกว่า ก็ใช่

เมื่อถามถึงความรู้สึก ที่ถูกตรวจสอบเรื่องนาฬิกา มาตลอด พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะที่ชี้แจงก็มันคือความจริง มีแค่พวกสิ่อขุดคุ้ยกันซะ

"ไม่มีอะไรแล้ว"!!!

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

"ก็บอก ไม่เลื่อนไงล่ะ โอ้ว!!"‬

‪"ก็บอก ไม่เลื่อนไงล่ะ โอ้ว!!"‬
‪เมื่อโดน ซักหลายคำถาม เรื่องอาจเลื่อนเลือกตั้ง หลังสนช.จะยื่นตีความ "พรป.สส."อีกฉบับ....."บิ๊กป้อม" ชักฉุน !!สวนตอบ แบบ ขึ้นเสียงเลย!! "ก็บอก ไม่เลื่อนไงล่ะ โอ้ว!"
เพราะยืนยันไปตอนต้น แล้วว่า ไม่เลื่อน เพราะจะขอให้ศาล รธน.ตีความเร็วหน่อย‬
ก่อนจะ เบ่งยิ้ม เพื่อลด ความฉุน !!!

โอ้ย!! ไม่ต้องห่วงอ่ะน่า

โอ้ย!! ไม่ต้องห่วงอ่ะน่า
"บิ๊กป้อม" พร้อมทำตามระเบียบ หาก ปปช. ให้ชี้แจงเพิ่ม "นาฬิกา" หลังประชุมใหญ่วันนี้ ก็ให้เขา ว่าไป
‪"บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตร ร้อง "โอ้ย!! ไม่เอา".... เมื่อโดนถามเริ่อง "ปปช."’ประชุมกรรมการชุดใหญ่ เรื่องนาฬิกาวันนี้ เป็นเรื่องแรกของการสัมภาษณ์.... เพราะปกติเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะจะ"วงแตก"
"บิ๊กป้อม" บอกว่า "เขาจะประชุม ก็เรื่องของเขา ก็ว่าไป”‬
ส่วนพร้อมไปชี้แจงหรือไม่ หาก ปปช. เชิญนั้น บิ๊กป้อม ร้อง "โอ่ย!" บอก “ไม่ต้องห่วง เป็นตามระเบียบ ระเบียบเขาว่ายังไง ก็ว่าไปตามนั้น”‬

ทำไม ยังไม่ปลดล็อค!!

ทำไม ยังไม่ปลดล็อค!!
"บิ๊กป้อม" เผย รอ"พรรคใหม่" ตั้งพรรคเสร็จ จึงจะ"ปลดล็อค" มิย.นึ้ ให้พรรคเก่า-ใหม่ เดืนไป พร้อมกัน/ ยันไม่เลื่อนเลือกตั้ง ให้ศาลรธน.ตีความเร็ว /ยังไม่มีหลักฐาน"ท่อน้ำเลี้ยง" กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนหลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบโรดแมพ จนเลื่อนเลือกตั้ง นั้น ว่า ยืนยันว่าการเลือกตั้งยังเป็นไปตามกรอบเดือนก.พ. 2562 ไม่มีการเลื่อนเลือกตั้ง แต่คงต้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความร่างกฎหมายส.ส.และส.ว. ให้เร็ว
เมื่อถามว่ารัฐบาลตั้งใจให้เลือกตั้งเดือนก.พ.2562 แต่เมื่อเกิดเงื่อนไขทางกฎหมาย จนทำให้ยากว่าจะเป็นไปตามโรดแมพ พล.อ.ประวิตร กล่าวขึ้นเสียงว่า “ก็บอกว่าไม่เลื่อน สนช.ต้องส่งกฎหมายทั้งสองฉบับให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งอยากให้ตีความให้เร็วหน่อย แค่นั้นก็จบ”
ส่วนกรณีพรรคการเมืองประชุมกับคณะกรรมการการเลือกต้อง (กกต.) เรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งคสช.เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา เคยบอกแล้วว่าการยกเลิกคำสั่งคสช.นั้น ต้องมีแน่นอน
"แต่ตอนนี้ต้องรอให้พรรคใหม่ ตั้งพรรคให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ทุกพรรคเดินไปพร้อมกัน ในเดือนมิ.ย.นี้"
เมื่อถามว่าการปลดล็อกให้พรรคต้องมีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่เห็นมีอะไรที่พรรคขัดแย้งกัน มีแต่สื่อนั่นแหละที่ขัดแย้ง
ส่วนที่พรรคและกกต.ขอให้คสช. แก้ไขคำสั่งที่ 53/2560 เกี่ยวกับการยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขคำสั่งกล่าว หากจะให้แก้ ขอให้กกต.ทำเรื่องมา
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณัที่พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าคสช. สั่งให้ฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งว่า นายกฯเพิ่งสั่งการเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้เราดำเนินการยังไม่เสร็จ ซึ่งเราทราบดีว่ากลุ่มคนอยากเลือกตั้งเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหว มีพรรคและกลุ่มการเมืองที่ต้านคสช.อยู่เบื้องหลัง ซึ่งกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว เราเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกใคร แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน
ส่วนจะเชื่อมโยงกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ ยังไม่รู้

กล้าพูดเรื่องจริง

กล้าพูดเรื่องจริง



ประเทศไทยมี 77 จังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด 77 คน
วันนี้มีผู้ว่าฯหนึ่งคน หนึ่ง จังหวัด ที่ควรได้รับการชื่นชม และให้กำลังใจ
นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้มีความแข็งโป๊กตรงเป๊ะในการทำหน้าที่ควบคุมการใช้งบราชการอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
โครงการใดไม่ถูกต้องโปร่งใส ผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์ จะไม่ยอมเซ็นอนุมัติทุกกรณี
แม้แต่โครงการที่ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. ถ้าหากไม่ถูกหลักเกณฑ์ ไม่รอบคอบรัดกุม
ผู้ว่าฯเชียงรายคนนี้จะไม่เปิดไฟเขียวอย่างแน่นอน!!
ล่าสุดที่เป็นข่าวครึกโครม ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาด ไทย สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด่วนจี๋ภายใน 3 วัน
คือกรณีเทศบาลนครเชียงราย ขออนุมัติใช้งบอัดฉีดเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ 32 ล้านบาท เพื่อสร้าง “อนุสาวรีย์ช้างคู่บารมีพญามังราย” บนเกาะกลางแม่นํ้ากก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนของรัฐบาล
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเหตุผลที่ผู้ว่าฯเชียงรายไม่ยอมเซ็นอนุมัติ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าเกาะกลางลำนํ้ากกที่จะสร้างอนุสาวรีย์ช้างคู่บารมีพญามังราย เป็นพื้นที่สันดอนทรายรุกลํ้าลำนํ้าธรรมชาติอย่างชัดเจน
ขืนทะเล่อทะล่าเซ็นอนุมัติไป ผู้ว่าราชการเชียงราย ก็ผิดกฎหมายเต็มเปา
ซํ้าร้ายงบอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ 32 ล้านบาทก็สูญฟรี
เมื่อผู้ว่าฯเชียงรายไม่ยอมเปิดไฟเขียว โครงการสร้างอนุสาวรีย์ช้างฯ บนเกาะกลางแม่นํ้ากก ก็ต้องยกเลิกไปด้วยประการฉะนี้แล
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผู้ว่าฯเชียงรายไม่ยอมเซ็นอนุมัติโครงการที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์
นับตั้งแต่ผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯเชียงรายมาแล้ว 1 ปี มีโครงการอัดฉีดเร่งด่วนโดนเด้งกลับไปแล้ว 20 โครงการ!!
เช่น...โครงการสร้าง “ตุง” สัญลักษณ์กลางเมืองเชียงรายใช้งบ 50 ล้านบาท
โดนผู้ว่าฯสั่งเบรก เนื่องจากใช้วิธีพิเศษไม่เปิดประมูลแข่งขันเสนอราคาตามระเบียบราชการ
ส่วนโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว แต่ตรวจพบว่าไม่ถูกหลักเกณฑ์ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ สั่งให้ตรวจสอบย้อนหลังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรูรั่วซ้ำรอย
เช่น โครงการสร้างโรงแยกขยะกว่า 300 ล้านบาท สร้างแล้วเปิดใช้งานไม่ได้
โครงการสร้างรูปปั้น “ปลาบึก” ที่อำเภอเชียงของ
หรือโครงการก่อสร้างศิลปะในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งใช้งบสูงเว่อร์เกินจริงหลายเท่าตัว
ผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์ ย้ำว่าภารกิจสำคัญของผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนคือควบคุมการใช้งบราชการให้โปร่งใสเกิดประโยชน์คุ้มค่าเม็ดเงินที่ใช้ไป
ศักยภาพของจังหวัดเชียงรายควรเจริญกว่านี้ หากงบ 100 บาท เกิดประโยชน์ 90 บาทขึ้นไป
แต่วันนี้ 100 บาท ลงไปได้ 40 บาทเท่านั้นเอง
ผู้ว่าฯเชียงรายย้ำว่าจะไม่ยอมเซ็นอนุมัติโครงการใดที่รู้ว่าผิดอย่างแน่นอน
เพราะหากเซ็นอนุมัติไปก็เท่ากับเป็นผู้ทำให้เกิดทุจริตเสียเอง
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าปัญหาทุจริตรั่วไหลอย่างนี้ มีทุกจังหวัด ไม่ใช่มีที่จังหวัดเชียงรายแห่งเดียว
เพียงแต่มีผู้ว่าฯเชียงรายคนเดียวที่กล้าพูดเรื่องจริง
หวังว่าจะไม่โดนย้ายฟ้าผ่านะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ลุ้นให้ผ่านพฤษภาคม

ลุ้นให้ผ่านพฤษภาคม



สังเกตว่าจากนี้ไป นักการเมืองอาชีพจะรักและห่วงใยเกษตรกรมากเป็นกรณีพิเศษ
อาการแบบที่นายประมวล เอมเปีย อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ “ตั้งธง” ออกมาอัดสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) มั่วข้อมูลให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลตีปี๊บสร้างภาพ จากการระบุภายหลังใช้ระบบการตลาดนำการผลิต ทำให้จีดีพีภาคเกษตร ไตรมาสแรก ปี 2561 เพิ่มขึ้น 3.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ทั้งๆที่เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการผลิต ขาดทุน มีหนี้สินเดือดร้อน
ประชาธิปัตย์กระโดดอุ้มชาวนา ชาวไร่ จี้จุดไปที่ปัญหาพืชผลทางการเกษตร
ตามฟอร์มแบบรู้ๆกัน มันคือจุดอ่อนไหวในห้วงเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาต้องทุ่มสรรพกำลังในการประคองภาวะราคาข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย ให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรฐานเสียงใหญ่ของประเทศพึงพอใจ
นั่นก็เพราะมันมีผลโดยตรงต่อทิศทางการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ก็ยังดีที่นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ มาจากกระทรวงมหาดไทย เข้าใจพื้นฐานชาวบ้าน บวกกับสไตล์การทำงานแบบ “เข้าชน” ก่อนปัญหาจะถึงนายกฯ
แบบที่เห็นการจัดการปัญหาได้จบก่อนที่ม็อบประมงจะบุกประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล
งานนี้นักการเมืองทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยก็คงไม่ได้ด่าตีกินรัฐบาลง่ายๆ
กระทรวงเกษตรฯไม่ใช่บ่อน้ำมันเหมือนที่ผ่านมา
อีกจุดที่หนีไม่พ้นโดนล็อกเป้าก็คือกระทรวงพาณิชย์ ที่ทำงานสอดคล้องต่อเนื่องกับกระทรวงเกษตรฯในการรับผิดชอบราคาสินค้า ดูแลภาวะปากท้องชาวบ้าน
ตามสถานการณ์ที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ คงต้องโดนตอดเล็กตอดน้อย เป็นเป้าให้นักการเมืองด่าตีกินกระแส กระแนะกระแหนตลอดแน่
แต่ดูจากสไตล์มือบริหารอาชีพ “สนธิรัตน์” ก็ชั่วโมงบินสูงพอตัวอยู่
รู้ทิศทางลมทางการเมืองเหมือนกัน
จุดสำคัญมาถึงตรงนี้ น่าจะอยู่ที่อาการของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ล่าสุดบ่นเป็นนัยเรื่องเล็กๆน้อยๆรัฐบาลต้องคิดทุกวัน และมักจะโดนเล่นงานทั้งสองทาง
ทำก็โดนอีกฝ่ายด่า ไม่ทำก็โดนอีกฝั่งตำหนิ
แต่รัฐบาลนี้จำเป็นต้องใช้กฎหมายและวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม
จับอารมณ์ สถานการณ์มาถึงจุดที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องโชว์ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ ถ้าคิดว่าอะไรถูกต้อง ต้องกล้าใส่เกียร์เดินหน้า ไม่กลับไปกลับมาให้เสียรังวัด
อย่างน้อยก็เป็น “จุดขาย” สไตล์ “ลุงตู่” ผู้ถือธงนำไปสู่การปฏิรูป
มีผลต่อกระแสในการรีเทิร์น “นายกฯคนใน” ที่เชื่อว่า เจ้าตัวเอาแน่ รอแค่เปิดตัวชัดเจน
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่เหลือเวลาอีกไม่นาน
ตามบรรยากาศเร้าโหมดเลือกตั้ง กับฉากคึกคัก นักการเมืองแห่เข้าร่วมวงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มี 55 พรรคเก่า ร่วมประชุมชี้แจงแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามมาตรา 141 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ประกอบคำสั่ง คสช.53/2560
ตามกำหนดดีเดย์ คสช.เปิดไฟเขียวให้ในวันที่ 1 เมษายนนี้
ขาใหญ่ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา มากันครบหน้าครบตา
กระตุ้นจังหวะปี่กลองเชิดฉิ่งโหมโรงเลือกตั้ง
ท่ามกลางแนวโน้มสถานการณ์ที่น่าจะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ต่อเนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.
แต่จับทางจากเสียงส่วนใหญ่ก็สนับสนุนให้ “นายกฯลุงตู่” ดำเนินการให้เกิดความชัดเจนไปเลยทีเดียว
แม้แต่ทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ยังเห็นด้วย เพื่อไม่เกิดปัญหาวุ่นวายภายหลัง
เชื่อว่าไม่กระทบโรดแม็ปเลือกตั้งมากนัก
ตามรูปการณ์ ทุกฝ่ายเริ่มมั่นใจว่าได้เลือกตั้งแน่
แต่อีกมุมก็ยังมีขบวนการส่อทำให้เกิดความวุ่นวาย สถานการณ์แบบที่ม็อบ “จ่านิว–รังสิมันต์ โรม” นัดระดมม็อบคนอยากเลือกตั้งเคลื่อนไหวในโอกาสครบรอบ 4 ปี คสช.ยึดอำนาจ
นั่นก็ทำให้สถานการณ์ยังต้องรอลุ้นจับตาเดือนพฤษภาคม
ถ้าวุ่นวายมาก ทุกอย่างอาจพลิกผัน.
ทีมข่าวการเมือง

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

คำสั่งคสช.53/2560

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง 

25/12/60

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ได้เปลือยตัวตนของผู้มีอำนาจแบบล่อนจ้อน!

สรุปสาระสำคัญง่ายๆ แบบนี้ 1.โปรพรรคการเมืองที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นใหม่ และสร้างเงื่อนไขยุ่งยากให้พรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม ด้วยการ “รีเซตสมาชิกพรรค”

รีเซตอย่างไร? คำตอบคือให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่า หากยังยืนยันว่าจะอยู่พรรคเดิม ต้องแสดงเจตนารมณ์เป็น “หนังสือ” แถมให้ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 30 วัน เท่ากับว่าตอนนี้ทั้งพรรคเก่าและพรรคที่จะตั้งขึ้นใหม่ ยังไม่มีสมาชิกจริงๆ ตามกฎหมายเลย

2.พรรคการเมืองทุกพรรคจะจัดประชุมใหญ่ได้ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น จัดทำนโยบายพรรค ตั้งสาขาและหัวหน้าสาขาพรรค ฯลฯ ก็ต่อเมื่อ “คสช.ปลดล็อก” คือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้าคสช. 2 ฉบับที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม

ปลดล็อกเมื่อไร? เมื่อกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มีผลใช้บังคับ แต่มีเงื่อนไขคือ ครม.ต้องแจ้ง คสช.ให้พิจารณา “แก้ไขเพิ่มเติม” หรือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้าคสช. 2 ฉบับดังกล่าว (โปรดสังเกตคำว่า “แก้ไขเพิ่มเติม” แสดงว่าไม่ใช่การ “ยกเลิก” เท่านั้น) แถมยังเพิ่มขั้นตอนการประชุมร่วมระหว่าง ครม.กับ คสช. เพื่อจัดทำแผนขั้นตอนการเลือกตั้งขึ้นมาอีก โดยดึง กกต. กรธ. สนช. และพรรคการเมืองเข้ามาร่วมได้

ย้อนกลับไปอ่านข้อ 2 คำสั่งหัวหน้า คสช.เขียนให้พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ได้ภายใน 90 วันหลัง “ปลดล็อก” คือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช. 2 ฉบับที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมเท่านั้น

ฉะนั้นถ้า คสช.เลือก “แก้ไขเพิ่มเติม” ประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช.ทั้ง 2 ฉบับ โดยไม่ “ยกเลิก” พรรคการเมืองก็ยังประชุมใหญ่ไม่ได้ใช่หรือไม่

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 กำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 150 วันนับตั้งแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ซึ่งฉบับสุดท้ายคาดว่าจะเป็นกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ถ้าพรรคการเมืองประชุมไม่ได้ หรือหากประชุมได้ ก็ต้องดำเนินการเรื่องยากๆ ต่างๆ อีก 90 วัน เหลือเวลาอีกแค่ 60 วันจะหาเสียงทันได้อย่างไร

สุดท้ายเงื่อนไขเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหา และ คสช.ก็ “ขุดบ่อล่อปลา” เอาไว้แล้ว นั่นก็คือกลไกการจัดทำ “แผนและขั้นตอนการเลือกตั้ง” ที่ คสช.จะเป็น “แม่งาน” ดึงทุกฝ่ายมาร่วมหารือ

เมื่อกลไกนี้ทำงาน โรดแมพเลือกตั้งก็จะถูกล้ม!

บทสรุป การเมือง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กับ พิชัย รัตตกุล

บทสรุป การเมือง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กับ พิชัย รัตตกุล


แท้จริงแล้ว การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่คือเงาสะท้อนทางความคิดของ 2 คนสำคัญในแวดวงการเมืองไทย
1 คือ ความคิดของ นายพิชัย รัตตกุล
1 คือ ความพยายามรวบยอดปัญหาและความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
คนแรกเป็น “นักการเมือง” คนหลังเป็น “นักวิชาการ”
คนแรกเริ่มต้นจากความต้องการเห็นพรรคการเมืองยกระดับโดยสามัคคีกันในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ “คสช.” ซึ่งก็คือทหาร คนหลังประมวลปัญหาและมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่ามีพัฒนาการไปสู่แบ่งแยกความคิดในทางสังคมเป็น 2 แนวทางใหญ่
1 เอาด้วยกับ คสช. 1 ไม่เอาด้วยกับ คสช.
หากมองจาก “จิตเดิมแท้” ของ นายพิชัย รัตตกุล ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การเสนอแนวคิดออกมาเหมือนกับเป้าหมายจะอยู่ที่พรรคการเมืองโดยองค์รวม
กระนั้น เป้าหมายแท้จริงย่อมเป็น “ประชาธิปัตย์”
นั่นก็คือ ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เล่นบท “นำ” ในทางสังคมเหมือนที่เคยต่อต้านรัฐบาลทหาร ไม่ว่าจะของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ส. ธนะรัชต์ จอมพล ถ. กิตติขจร ในอดีต
เพราะเห็นภาวะย่อหย่อนอันเกิดขึ้นกับ “ประชาธิปัตย์”
เป็นภาวะย่อหย่อนนับแต่เข้าไปมีส่วนร่วมในทางความคิดกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และทอดทุ่มพละกำลังลงไปเป็นอย่างมากกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
นายพิชัย รัตตกุล รู้ดีว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทำให้แจ่มชัด และยังปล่อยให้บทในการต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้าน คสช.เป็นของพรรคเพื่อไทยแต่เพียงพรรคเดียว สถานะ “นำ” ในทางความคิด ในทางการเมืองก็อาจจะสูญเสียไป
ขณะเดียวกัน บทบาทของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล คือ การทำนามธรรมทางความคิดของ นายพิชัย รัตตกุล ให้มีลักษณะในทางรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

การเสนอตัวเข้ามาของพรรคอนาคตใหม่สอดรับกับแนวคิดของ นายพิชัย รัตตกุล และการสังเคราะห์อย่างมีลักษณะสร้างสรรค์ของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
เพราะไม่เพียงแต่จะปฏิเสธนายกรัฐมนตรี “คนนอก”
หากแต่ยังพร้อมที่จะปฏิเสธ “ประดิษฐกรรม” อันมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ภายใต้ข้อเสนอที่จะต้องมี “การรื้อสร้าง” ขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับจิตวิญญาณประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเป็น “ประกาศ คำสั่ง” ไม่ว่าจะเป็น “รัฐธรรมนูญ”
ในทางความคิดอาจถือได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย แต่ภายใต้เจตจำนงที่แน่วแน่และมั่นคงมากกว่า นั่นก็คือ เท่ากับเป็น “การต่อยอด” ในทาง “ความคิด”
1 เป็นการต่อยอดกระบวนการจัดทำแนวทางและนโยบาย อันถือว่าเป็น “นวัตกรรม” สำคัญของพรรคไทยรักไทยจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
1 เป็นการสานสืบทอดสิ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำได้จากการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554
บทนิยาม “ทศวรรษที่สูญหายไป” จึงเป็นการนิยามโดยมีรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นจุดตั้งต้นและต้องการนำเสนอ “บทจบ”
อุบัติการณ์แห่งพรรคอนาคตใหม่จึงสะท้อนการนำเอาบทเรียนและความจัดเจนจากการเมืองไทยในอดีตมาเป็นเครื่องนำทาง
เป็นการผสาน “การเมือง” กับ “วิชาการ”
เป็นการผสาน “นามธรรม” อันเป็นรูปการจิตสำนึกในทางความคิด เพื่อนำไปสู่การแปรเป็น “รูปธรรม” ผ่านกระบวนการปฏิบัติ
นี่คือการต่อยอดและเนรมิต “สิ่งใหม่” ในทางการเมือง

ถึงจังหวะคลุกวงใน

ถึงจังหวะคลุกวงใน



เรียกเสียงอนุโมทนา สาธุ ดังเซ็งแซ่
กับภาพที่มีการแชร์กันในโลกโซเชียลมีเดีย เผยแพร่เรื่องราวของ “พระประดิษฐ์ ฐานุตตโม” หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.คมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจชั้นนำระดับมหาเศรษฐีของประเทศ ที่ปัจจุบันได้หันหลังให้ทางโลก มุ่งหน้าเข้าสู่ทางธรรมด้วยการบวชจำพรรษา ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายและสมถะอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย นานกว่า 2 เดือนแล้ว
แนวโน้มพบทางสว่าง นักการเมืองรุ่นใหญ่ตัดขาดอดีตวุ่นวาย
ในสถานการณ์ของพวกที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวังวนโลกสมมติอันสับสน บรรยากาศการเมืองจะเริ่มปั่นป่วนตั้งวันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป ตามจังหวะที่ คสช.ไฟเขียวให้พรรคการเมืองป้อมค่ายเก่าได้ขยับปรับฐานสมาชิกพรรค เช็กขุมกำลัง ขานชื่อใครอยู่ใครไป
ยกแรกที่จะได้ “เคาะสนิม” กันอย่างเป็นทางการ
จับกระแสความเคลื่อนไหวที่ขยับออกตัวก่อนใคร ตามข่าวที่กลุ่ม “วาดะห์” เตรียมแหกค่ายพรรคเพื่อไทย สลัดคราบ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกไปสังกัดป้อมค่ายการเมืองใหม่
ปักธงทวงคืนความยิ่งใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดยปรากฏการณ์สะท้อนสภาวการณ์แท้จริงภายในพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะถูกจัดอยู่ในสถานะ “เต็งหนึ่ง” กระแสดี ยี่ห้อ “ทักษิณ” กองเชียร์ยังแน่น
แต่แฝงไว้ด้วยอาการ “กลวงใน”
ร่องรอยร้าวๆเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากปฏิกิริยาต่อต้าน “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ถือธงนำทัพ ถึงขั้นที่ลูกชายของ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีสายตรงดูไบ ออกมาชกข้ามรุ่น ก่อนโดน “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ตบปากสั่งสอนทางเฟซบุ๊ก
ศึกชิง “นอมินี” ระหว่างบรรดาเจ๊ๆเฮียๆ เคลียร์กันไม่จบ
ประกอบกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่แยกกันไม่ออก ระหว่างพรรคเพื่อไทย ทีมเสื้อแดงนปช. ก๊วนนิติราษฎร์-นิติเรด พรรคอนาคตใหม่ของ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปจนถึงม็อบคนอยากเลือกตั้งของ “จ่านิว-รังสิมันต์ โรม”
ล้วนแล้วแต่ถูกโยงเข้าหา “นายใหญ่” ถูกมองรับแผนจากดูไบ
เป้าหมายมันอยู่ที่ทวงคืนอำนาจจากขั้วอำนาจ คสช. นั่นก็หนีไม่พ้นแรงต้านอย่างหนักจากฝ่ายต้านระบอบ “ทักษิณ” ยากจะฝ่าด่านฝ่ายคุมเกมอำนาจ
ถึงจุดที่ข่าววงใน “นายใหญ่” ส่งสัญญาณพรรคเพื่อไทยต้อง “แตกทัพ”
แยกกันเดินก่อนไปร่วมกันตีในการแย่งจัดรัฐบาล
ขณะที่สถานการณ์ของฟากประชาธิปัตย์เองก็ตกอยู่ในสภาพรอพรรคแตกเหมือนกัน
จับทางจากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เริ่ม “ปั้น” หลานชายอย่าง “หนุ่มไอติม” นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส่งขึ้นเวทีดีเบต เปิดตัวทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง “อภิสิทธิ์” ก็คงรู้สถานการณ์ดี ตัวเองอยู่ในห้วงนักการเมืองค่อนไปทางพันธุ์เก่า มีส่วนร่วมก่อวิกฤติมา ถึงเวลาขายไม่ออกแล้ว ต้องเข็นรุ่นหลานลงชิงกระแสคนรุ่นใหม่
แนวโน้มในพรรคเองก็ส่อเค้าต้องมีการ “หักดิบ”
โดยรูปการณ์ที่ทีม กปปส.ของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แฝงตัวอยู่เพียบ รอจังหวะเวลาที่ คสช.ไฟเขียวให้พรรคดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองได้
เกมโหวตไล่ “อภิสิทธิ์” ต้องเกิดขึ้นแน่
เพื่อเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีความคล่องตัวในการแจมอำนาจ
ดูแล้วโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต้องเหนื่อยหนักตั้งแต่ยกแรก ก่อนลงสนามเลือกตั้ง
“ขาใหญ่” เจ้าถิ่นทั้ง 2 ค่าย พลังไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด
โดยจังหวะเป็นใจกับ “ลุงตู่” ที่จะแสดงความชัดเจนกับค่าย “พลังประชารัฐ”
คลุกวงในเกมเลือกตั้ง ยกระดับความชอบธรรมกลับมาเป็น “นายกฯคนใน”
ตามสภาพการณ์แบบที่เห็นๆ แค่จับสัญญาณได้ว่า “ลุงตู่” จะลงสนาม ยังโดนนักการเมืองตั้งแถวรับน้องกันแต่หัววัน รุมถล่มเช้าเย็น
นักการเลือกตั้งเขี้ยวลากดิน ไร้มิตรแท้ ศัตรูถาวร ไม่มีคำว่า “สัจจะ” หรือ “สปิริต”
เลิกคิดได้ ถ้าจะลอยตัว หวังรอเทียบหามเป็น “นายกฯคนนอก”.
ทีมข่าวการเมือง

‘ออเจ้า’ มาถูกจังหวะ

‘ออเจ้า’ มาถูกจังหวะ



กระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” เกิน “วาระแห่งชาติ” ไปแล้ว
แนวโน้มแบบที่มีการพูดกันเล่นๆในหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล อาจต้องขอร้องให้ทำต่อภาค 2 ภาค 3 และให้คนเขียนบทพยายามข้ามๆตอนที่เกี่ยวกับพระเพทราชาที่ค่อนข้างโหดร้ายและโศกเศร้าออกไป
เพื่อไม่ทำให้เสียบรรยากาศคนดู
เพราะอยากให้กระแส “ออเจ้า” ลากยาวไปถึงช่วงสงกรานต์ สถานการณ์แบบที่คนไทยกล้าแต่งชุดไทยขึ้นเครื่องบิน เดินห้างฯ เที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดอื่นๆกันแบบไม่เคอะเขิน
กระตุ้นความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
อารมณ์สไตล์ “ไทยนิยม” เข้าเหลี่ยมยุทธศาสตร์ที่รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ชูธงเน้นความเป็นไทยพอดิบพอดี
ที่แน่ๆสังคมส่วนใหญ่ยังอินกับละคร ไม่ได้ซีเรียสไปกับปมร้อนการเมือง
ตามท้องเรื่องที่รัฐบาลกำลังโดนแรงกระแทกจากทุกทิศทุกทาง
อย่างน้อยทีมงาน “ลุงตู่” ก็ยังมีจังหวะแก้เหลี่ยม กู้กระแสอุปาทานหมู่รัฐบาลอยู่ในภาวะ “ขาลง”
ล่าสุดกับตัวเลขกลมๆ 1.5 แสนล้านบาท ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2561 หรืองบกลางปีที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แจกแจงชัด เน้นการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง
ทุ่มเงินอัดฉีดแก้จน ปฏิรูปภาคเกษตร สร้างงานสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน เติมน้ำมันหล่อลื่นให้สารพัดมาตรการช่วยคนรายได้น้อยผ่านยี่ห้อ “ประชารัฐ”
ที่นับโครงการแล้ว มากกว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านๆมา
แน่นอน เป้าหมายหลักน่าจะอยู่ที่การเคลียร์เสียงครหาที่นักการเมืองและฝ่ายเสีย
ผลประโยชน์พยายามโจมตีรัฐบาล คสช.เอื้อเฉพาะกลุ่มทุนมากกว่าเน้นช่วยคนจน
“ลุงตู่-สมคิด” ต้องโชว์ผลในเชิงปฏิบัติ สลัดพ้น “ปมด้อย” ให้ได้
อีกทั้งว่ากันตามเงื่อนไขสถานการณ์ไฟต์บังคับตามโรดแม็ปเลือกตั้งที่กระชั้นเข้ามา ห้วงเวลาจากนี้ไปเหลือแค่ปีกว่าจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
จังหวะที่ต้องซื้อใจคนจน เกษตรที่เป็นฐานคะแนนใหญ่
โดยรูปการณ์รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณในการประคองราคาสินค้าทางการเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้ ฯลฯ เพื่อให้ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ พึงพอใจไว้ก่อน
อันจะมีผลต่อตอนเลือกตั้ง และการ “รีเทิร์น” ของ “นายกฯลุงตู่”
เรื่องของเรื่อง ดูตามปรากฏการณ์ จับจังหวะ “ลุงตู่” กำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
โดยสถานการณ์ฝั่งนักการเมืองเองก็ขยับล้อตามกันคึกคัก อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย 2 ค่ายขาใหญ่ ประกาศเรียกระดมพลลูกพรรค ให้แสดงตัวแสดงตน “จอง” คิวลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค ในวันที่ 1 เมษายนนี้ ที่ คสช.ไฟเขียวให้ป้อมค่ายการเมืองเก่าเคลียร์ข้อมูลสมาชิก
ใครไม่โผล่มาโดน “ตัดหางปล่อยวัด”
ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต้องรีบเช็กขุมกำลัง สกัดลูกแถวไหลออก
ด้าน “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็เริ่มขยับออกตัวแต่หัววัน นำลูกแถวไปไหว้อนุสาวรีย์ “ย่าโม”
แสดงตัวพร้อมเปิดทีมเจาะฐานโคราช นครราชสีมา
ในจังหวะที่มีข่าวว่า กลุ่มวาดะห์ได้แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยไปสังกัดป้อมค่ายใหม่ สลัดคราบ “ทักษิณ” เพื่อกลับไปครองพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
ขณะที่ไฮไลต์พรรคใหม่ โฟกัสไปที่กระแสการขับเคลื่อนของพรรคพลังประชารัฐ สัญญาณเริ่มชัดขึ้นตามลำดับ กับการเป็นฐานให้ “ลุงตู่” ยกระดับความชอบธรรม กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนใน”
นักการเมืองเข้าสู่โหมดคึกคัก ตามทิศทางไปสู่การเลือกตั้ง
แต่อีกฝั่งก็ยังมีมุมป่วนๆ อาการเฮี้ยวๆแบบที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ที่โดน ม.44 อัปเปหิออกไป แท็กทีมกับนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวขาประจำ ตั้งโต๊ะวิพากษ์อำนาจมาตรา 44
เล่นบทเปรี้ยว เปิดเกมป่วน คสช.ตามนัด
ตามคิวนัดกันถี่ขึ้น กับฉากที่ “จ่านิว” กับ “รังสิมันต์ โรม” นำม็อบคนอยากเลือกตั้งบุกไปเย้วๆ หน้ากองบัญชาการกองทัพบก พร้อมยื่นข้อเรียกร้องแปลกๆให้กองทัพเลิกหนุน คสช.มาอยู่ข้างประชาชน
อาการเฮี้ยวขัดกับหลักการและเหตุผล เหมือนตีรวนไว้ก่อน
อารมณ์แบบที่แนวร่วมฝั่งเดียวกันชักเอะใจ เกมป่วนไปเข้าทางพวกหาเหตุลากยาว
“คนอยากเลือกตั้ง” จะทำให้ไม่ได้เลือกตั้ง.
ทีมข่าวการเมือง

ท่าทีการเมืองผบ.ทบ.



ลอยๆ

"บิ๊กเจี๊ยบ" ดับฝัน"คนอยากเลือกตั้ง" ชี้ ให้กองทัพแยกจาก คสช. แค่ข้ออ้าง"ลอยๆ" หวังพามวลชนเคลื่อนที่ ไปจุดต่างๆ หวั่นกระทบกระทั่งประชาชน จน เป็น"น้ำผึ้งหยดเดียว"ชี้ มีคนดูแลอยู่เบื้องหลัง เผยฝ่ายมั่นคง ตรวจสอบ"ท่อน้ำเลี้ยง" ย้ำคำ นายกฯ เลือกตั้ง ใน กพ.62 แม้ยื่นตีความ "พรป.สส"

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ เลขาฯคสช. กล่าวถึง ข้อเรียกร้องของกลุ่ม
"คนอยากเลือกตั้ง"ที่มาชุมนุมหน้า บก.ทบ. เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา ที่ต้องการให้กองทัพเลิกหนุน คสช. นั้น ว่า ข้อเรียกร้องที่เสนอมา ก็แค่ต้องการ ให้มวลชน เดินไปตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น

แต่ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ให้อำนวจความสะดวก และ ความปลอดภัย ให้

ส่วนความผิดตามกม. นั้น ก็ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เมื่อมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ  ก็ต้องดำเนินคดี ซึ่ฃแกนนำรับทราบดีว่าจะเผชิญอะไรบ้าง แต่งไม่กังวล เพราะมีคนดูแลอยู่เบื้องหลัง

"แค่ข้อเรียกร้องลอยๆ เพื่อให้เดืนไป  แต่กลัวจะเกิด น้ำผึ้งหยดเดียว เพราะทำให้ ประชาชน เดือดร้อน"

 โดยเชื่อว่า จะมีกิจกรรมนี้ไปถึงพค.ตามแผนที่ได้วางไว้ แต่ก็ แล้วแต่เหตุผล  และดูว่าประชาชนจะ เข้าร่วม มากน้อยแค่ไหน ถ้าเรายังเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการความสงบ

พลเอกเฉลิมชัย เผยว่า ในช่วง2 ปี ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ หัวหน้า คสช. ได้ให้ ศูนย์ปรองดองฯ ไปดูแล  พี่น้องที่โดนคดี  เพราะตามแห่  ตามเพื้อนไป เห็นแก่เพื่อน ช่วยเพื่อน ไปดูสถานการณ์ แต่ถูกปลุกระดม มีอารมณ์ร่วม. ก็ไปทำให้ทรัพย์ สินราชการเสียหาย  โดนจำคุกหลายปี ครอบครัวแตกแยก.

ทาง ศปป และ กระทรวงยุติธรรม จัดทีม เข้าไปให้คำแนะนำ  และทำตามระเบียบ จนได้รับการพักโทษ ไปแล้วหลายราย

"น่าเห็นใจ  เชาไม่ได้มีอุดมการณ์ หรือแนวความคิด  แค่ช่วยเพื้อน ฟังปลุกระดม มีอารมณ์ร่วม"

เรื่องนี้ เราทำอย่างต่อเนื่อง  เราไม่ห่วงแกนนำ แต่เราห่วง ชาวบ้าน ที่ถูกชักจูงมา

"เรากำลังตรวจสอบ ใครอยู่บื้องหลัง ตรวจสอบ เส้นทางการเงิน"
////
"บิ๊กเจี๊ยบ" โบ้ย ไม่รู้ "สนช.สายทหาร"ล็อบบี้ ให้ส่งตีความร่าง"พรป.ส.ส." เผยนายกฯยังย้ำเลือกตั้ง กพ.ปีหน้า

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และสมาชิก สนช. กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานระบุว่าสนช.สายทหารล็อบบี้เพื่อให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ตีความ ว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้เข้าไปที่สภา ฯ

และในที่ประชุมคสช. ก็ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ 

แต่ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการเลือกตั้งส.ส.จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562  

ส่วนตัว จะรอให้คณะกรรมาธิการกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) ทำรายละเอียดมาแจ้งให้ทราบในประเด็นดังกล่าวก่อน คาดว่าในการประชุมสนช.พรุ่งนี้คงจะได้รับทราบ
//
เตือนทหาร ลงพื้นที่ อย่าตกเป็นเครื่องมือพรรคการเมือง

“บิ๊กเจี้ยบ" ชี้ ปี่กลองเลือกตั้ง เริ่มแล้ว "ศึกใน"วุ่น  สั่งชุด ชป.กร.ลงพื้นที่ ปจว.งาน รัฐบาล-คสช. สร้างความเป็นปึกแผ่นให้คนในชาติ หวั่นปัญหาภายใน เกิดการปลุกระดม  เตือนทหาร อย่าตกเป็นเครื่องมือพรรคการเมือง -คนใดคนหนึ่ง เตือน อย่าให้ใคร Take over ฉวยงานเรา ไปหาเสียง แนะ วางตัวให้ดี อย่าตกเป็นเงื่อนไข 

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาฯคสช.เป็นประธานมอบเกียรติบัตร ให้แก่ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนทหารบก (ชป.กร.)  ซึ่งจัดตั้งเพื่อลงพื้นที่ สร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชน และประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติของรัฐบาล  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และกองทัพบก เพื่อพัฒนาศักยภาพของหมวดดุริยางค์ของมณฑลทหารบกให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการจิตวิทยาและปลูกฝังอุดมการณ์

มีการจัดการประกวดชุด ชป.กร. มณฑลทหารบก เพื่อให้เกิดการชำนาญก่อนการปฏิบัติงานในพื้นที่จริงในช่วงเดือนเม.ย.นี้  

โดยชป.กร.ที่ชนะเลิศในการประกวด คือ  “ขุนภักดี 13 “ชป.กร. มณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี  

พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า ชื่นชมวิทยากรที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการจัดแสดงครั้งนี้โดยวิทยากรถือว่าเป็นบุคคลากรที่สำคัญ ต้องมีบุคลิกภาพ การพูดจาที่น่าเชื่อถือสามารถคุมเกมได้ทั้งหมด 

ซึ่งการพูดนั้นต้องมีทั้งสาระและ จังหวะจะโคลนทำให้ผู้ฟังสนใจ  ตนได้ริเริ่มให้ มณฑลทหารบก  จัดตั้ง ชป.กร.ฝึกในหน่วยระดับมณฑลทหารบก  เพื่อเข้าไปเป็นลูกมือของกอ.รมน.ทำงานเชื่อมโยงกับกองทัพบกเป็นเนื้อเดียวกัน เป้าหมายคือการสร้างความมั่นคงภายในให้เกิดขึ้น. 

"ที่ผ่านมาภัยคุกคามภายนอกประเทศน้อยลง ในช่วง10ปีนึเ อยู่ในภาวะที่เราไว้วางใจได้ ขณะที่ปัญหาความมั่นคงภายในกลับมีมากขึ้น

"ในฐานะที่เราเป็นทหารมีหน้าที่อยู่ตรงนี้เป็นกำลังหลักของบ้านเมือง อีกทั้ง กองทัพบก กอ.รมน.เป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ ในการสร้างความมั่นคง สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับพี่น้องประชาชน สร้างความรักสามัคคีให้กับคนในชาติ  จึงต้องนำข้อมูลที่ถูกต้องมาให้ประชาชนรับทราบ อย่างที่บอกว่าปัญหาภายในประเทศเราค่อนข้างมาก  ทั้งความขัดแย้งของคนในชาติความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การปลุกระดมปลุกปั่นเกิดขึ้นได้ง่าย 

"ตอนนี้ปี่กลองเลือกตั้งก็กำลังเริ่มขึ้น เราก็ต้องทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบฯ ให้เกิดขึ้น คราวหน้าใครจะมาเป็นรัฐบาล. กองทัพก็เหมือนเดิมในการรักษาความมั่นคงให้เกิดขึ้น. เราก็ต้องทำทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้ รัฐบาลทหาร หรือ รัฐบาลอื่น" 

 การทำงาน การปฏิบัติการจิตวิทยา(ปจว.)ในเมืองไทยนั้น ไม่มีอะไรที่ดีกว่าการใช้ดนตรีสื่อสาร สำหรับในภูมิภาคนี้การไปพูดอย่างเดียวคนไม่ค่อยอยากฟัง เพราะคนชอบความบันเทิง  แต่ตนอยากให้สอดแทรกสาระเนื้อหาที่เป็นประโยชน์เข้าไป เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง กล้าที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขาต้องการ หรือสิ่งที่เขาเดือดร้อนมาให้เราฟัง ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะแยกเนื้อหาการพูดต่างกัน การตอบรับก็ต้องแตกต่างกันไปด้วย

อยากฝากให้เป็นยุทธศาสตร์ของกองทัพบก  ไม่ใช่ทำเฉพาะแต่รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลทหาร แต่ทุกรัฐบาล ก็ต้องทำแบบนี้  ความมุ่งหมายก็คือความรักความสามัคคีของคนในชาติ

"สิ่งที่ผมอยากเตือนให้มีความระมัดระวังคือเมื่อลงพื้นที่ไปแล้วมีพรรคการเมืองต่างๆเข้ามาสนับสนุน มาร่วมงาน เราต้องไม่เป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองใดๆ ต้องดูให้ดี มีการนำอาหาร เอาของตรงโน้นตรงนี้มาtake over งานของเราก็จะกลายเป็นการหาเสียงของพรรคการเมือง เมื่อเราลงไปแล้วต้องเข้าใจปัญหาในพื้นที่ ต้องรู้ว่าเราจะแก้ไขปัญหาอะไร 

ไม่ใช่แค่ไปเก็บตัวเลขว่าหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้มีอะไร แต่ต้องแก้ไขปัญหาให้เขาด้วย และต้องประเมินผลว่าใครจะทำอะไรไปบ้าง ผมไม่ต้องการให้เป็นเรื่องความบันเทิงอย่างเดียว แต่ต้องมีสาระ มีการสอดแทรกโครงการนโยบายต่างๆที่เราทำ และอย่าไปเป็นเครื่องมือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ขอให้นำมาสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมือง เวลาไปทำงานก็ต้องวางตัวให้ดี เข้าถึงชาวบ้านได้ แต่อย่าไปสร้างเงื่อนไขในพื้นที่" ผบ.ทบ. กล่าว
//
ศึกใน ศึกนอก!!

"บิ๊กเจี๊ยบ"เผย "บิ๊กตู่ "สั่ง ปิดปาก "แม่ทัพภาค4" หลังพูดขัด "พลเอกอักษรา" และตอบโต้ Marapatani เรื่องSafety zone และโครงการพาคนกลับบ้าน เตือน ให้ทำงานลับ สอนบางเรื่องพูดได้ แต่บางเรื่องไม่ต้องพูด บางเรื่องก็ไม่ใช่หน้าที่ที่จะพูด ยันไม่มีขัดแย้ง เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ทำพักใต้ให้สงบสุข

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี. เตือน พลโทปิยวัฒน์. นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เรื่องการแสดงความคิดเห็น ไปคนละกับ พลเอก อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข เรื่องSafety zone หลังจากที่กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐMarapatani ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับโครงการพาคนกลับบ้านงว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีหลายหน่วยงาน หลายกลไก และหลายระดับ 

โดยในส่วนของ พลเอก อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยฯ เป็นระดับการพูดคุยอย่างเป็นทางการ  ส่วน พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ทำงานในพื้นที่ และมีบางครั้งที่มีการสอบถามเข้ามาถึงโครงการพาคนกลับบ้าน ซึ่งก็จะมีการพูดคุยกันในระดับที่เรียกว่า"การทำงานลับ"

" ผมก็ได้มีการท้วงติงไปว่า อาจมีบางเรื่องที่ทำคนเกิดความสับสน เพราะการทำให้สังคมสงบสุข ไม่จำเป็นพูดในทุกเรื่องที่ทำอยู่ และบางเรื่องก็เป็นเรื่องของคณะพูดคุยฯ ส่วนผู้ที่อยู่ในพื้นที่ก็มีหน้าที่ทำให้พื้นที่ปลอดภัย ซึ่งทั้งหมด จะต้องนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้น 

ทั้งนี้ งานบางเรื่องสามารถเปิดเผยกับสื่อมวลชนได้ แต่บางเรื่องก็ไม่สมควรเป็นการพูดคุยกันระหว่างสองฝ่าย"

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยกับตนเอง ให้พูดคุยกับแม่ทัพภาค4 ในเรื่องนี้เพราะบางเรื่องก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะพูดเรื่องนี้เพราะท่านมีหน้าที่ในการทำหน้าที่เพื่อให้สงบ 

ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ก็กำลังทำอยู่ในขณะนี้ และมีเจตนาดี มีผลที่ดีขึ้น เป็นรูปธรรม
///