PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิบากกรรม 'นายกฯตู่' ถึงจุดตัดสินใจปรับ ครม. : เลือกพวก หรือ เลือกชาติ

cr ไทยรัฐ
ฝนหลงฤดูถล่มเมืองกรุง ใจกลาง กทม.กลายเป็นทะเล
ตามปรากฏการณ์น้ำในท่อแห้ง น้ำในคลองตื้นเขิน แต่น้ำบนถนนล้นตลิ่ง หลายจุดก็ชัดเจนน้ำไม่สามารถไหลลงท่อระบายน้ำได้เนื่องจากมีขยะขวางทาง สิ่งปฏิกูลอุดตัน
นั่นก็เพราะไม่มีการลอก ทำความสะอาดเตรียมการรองรับไว้เลย
จุดนี้คือสิ่งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และทีมงาน กทม. ไม่สามารถแก้ต่างออกตัวได้ นอกจากอ้อมๆแอ้มๆ ยอมรับความผิดพลาด
แต่ขนาดนี้ก็ยังไม่วายเล่นลิ้น กรุงเทพฯ เป็นเมืองน้ำ ถ้าไม่อยากน้ำท่วมต้องไปอยู่บนดอย
มันก็ยิ่งกระตุกอารมณ์ของคนกรุงที่ต้องเจอพิษน้ำท่วมหน้าแล้งยิ่งหงุดหงิดกันไปใหญ่
และโดยสถานการณ์ที่ร้อนถึงรัฐบาล สะท้อนจากระดับน้ำเสียงเข้มๆ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่สั่งให้มีการตรวจสอบการระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร ตั้งแง่สงสัยที่ผ่านมามีการเตรียมรับมือกันอย่างไร ทำไมน้ำถึงท่วมขังได้
ปัดข้ออ้างต่างๆ แก้ตัวฟังไม่ขึ้น
บ่งบอกอาการไม่สบอารมณ์ของผู้นำรัฐบาลที่มีต่อมาตรฐานการทำงานของ กทม.
และจุดนี้เองก็เหมือนเป็นหัวเชื้อกระตุกชนวน จากอาการหงุดหงิดเรื่องน้ำท่วมขังกรุงเทพฯ ก็ลามต่อเนื่องไปตามปรากฏการณ์ที่สะท้อนอารมณ์พลุ่งพล่านของ พล.อ.ประยุทธ์
ตามเนื้อข่าวที่มีการบรรยายว่า “บิ๊กตู่” มีสีหน้าเคร่งเครียดและแสดงอารมณ์โกรธและโมโหตลอดระยะเวลาการให้สัมภาษณ์
พาลฉุนดะ ด่ามันซะทุกเรื่อง
อย่างที่หลุดคำแรงทั้ง “โง่” ทั้ง “เฮงซวย” กับประเด็นที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง นปช.วิพากษ์วิจารณ์เหตุระเบิดหลายครั้งเป็นเรื่องที่รัฐบาล คสช.สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง
ขึ้นมึงขึ้นกูกับคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ ท้าเลยว่า ถ้าเก่งนักให้มาบริหารเอง
หรืออาการฉุนใส่คำถามนักข่าวที่ขอความชัดเจนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงการเลือกตั้งปลายปีนี้ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า เผลอพูดเร็ว พูดรวบไป
แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะอะไรกันนักกันหนาเรื่องการเลือกตั้งจะเป็นจะตายกันหรืออย่างไร
เบิ้ลกลับเลยว่า “ยิ่งเป็นอย่างนี้ ฉันยิ่งอยู่นาน”
และที่หูผึ่งไปตามๆ กันกับอาการฉุนขาด ผู้นำรัฐบาลทหารสั่งออกอากาศให้นักข่าวหญิงที่รายงานข่าวแรงงานประมงไทยถูกหลอกที่ประเทศอินโดนีเซีย
มารายงานตัวกับ คสช.เพื่อทำความเข้าใจ
ตามเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ เกรงว่าจะกระทบการส่งออกปลาสินค้าประมงของไทยมูลค่าสองแสนกว่าล้านบาท หากมีการตั้งเงื่อนไขกีดกันทางการค้าในปมของการค้ามนุษย์
มาเป็นชุด “บิ๊กตู่” เหวี่ยงใส่สื่อมวลชนไม่ยั้ง
เหมือนได้จังหวะปลดปล่อย ระบายปมที่อัดอั้นอยู่ภายใน
เรื่องของเรื่อง โดยอาการหงุดหงิดของผู้นำรัฐบาลทหาร มันก็พาลนัวเนียๆ อยู่กับสถานการณ์เครียดๆ
ภาวะซีเรียสทางด้านเศรษฐกิจ
ในอารมณ์แบบที่ตอบคำถามกรณีที่ได้เรียก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เข้าพบและหารือที่ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์บอกปัดเลยว่า ไม่มีการพูดคุยในเรื่องปัญหาความขัดแย้งอะไร
พร้อมกับย้อนถามเสียงเขียว “ทำไมจะทะเลาะอะไรกันหนักหนา อยากให้ทะเลาะกันหรือไง เห็นสื่อเขียนกันเหลือเกินว่าไอ้โน่นทะเลาะกับไอ้นี่ ถ้าจะทะเลาะมีผมทะเลาะได้อยู่คนเดียว ถ้าใครบกพร่องผมก็ตำหนิเขา แต่ถ้าทำดีผมก็ต้องชมและก็เรียกมาหารือกัน มันก็แค่นั้น จะมีอะไรมากไปกว่านี้วะ อยากจะรู้นัก”
และก็ยิ่งเสียงดังขึ้นไปอีก เมื่อมีการโยงถึงปัญหาการทำงานรัฐบาลและกระแสการปรับ ครม.โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์สวนทันควันเลยว่า
“มีแต่พวกคุณพูดกันทั้งนั้นว่าจะมีการปรับ ครม. ถ้า ปรับแล้วมันดีขึ้น เออ มันก็ใช่ แต่ถามว่าสถานการณ์ขณะนี้การปรับคนจะทำให้แก้ปัญหาได้หรือไม่”
จับอาการ พยายามฝืนกระแสเศรษฐกิจที่รุกไล่
ที่แน่ๆ ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามชิ่งกระแสปรับ ครม. ยื้อสถานการณ์ที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องรีบกู้วิกฤติด้วยการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจ
ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจก็ออกมารายวัน
ทั้งการที่กระทรวงการคลังยอมรับว่า ตัวเลขการส่งออกติดลบต่อเนื่อง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ต่ำ ภาคเอกชนฟันธงอีก 9 เดือนก็ยังยากที่จะฟื้นตัว
อาการจ่อเข้าขั้นโคม่าเข้าไปทุกขณะ
อีกด้านหนึ่งก็เป็นปัจจัยที่แทรกมากดดัน ทั้งในเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ตามเงื่อนไขของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงปัญหาการค้ามนุษย์ที่ประเทศไทยถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มที่ 3 ใกล้จุดจะถูกคัดค้านการช่วยเหลือ
ซ้ำภาวการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ให้ยิ่งยากลำบาก
ยังไม่นับประเด็นความไม่ชัดเจนทางด้านนโยบาย อย่างการที่รัฐบาลต้องเลื่อนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่แน่ใจ ไม่กล้าทุ่มเงินลงทุน
หรือการที่รัฐบาลต้องชะลอกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกระทรวงการคลังออกไป เพราะไม่กล้าเสี่ยงท้ากระแสต้าน
นั่นก็ย่อมส่งผลต่อสถานการณ์งบประมาณที่เข้าขั้น “ถังแตก”
เมื่อเก็บภาษีไม่ได้ ในเครื่องหมายคำถามรัฐบาลจะเอาเงินจากที่ไหนบริหารประเทศ
สารพัดปัจจัยกดทับ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจขยับไม่ออก
แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ ทีมเศรษฐกิจเองก็ยังไปกันคนละทาง
กระทรวงหลักๆ อย่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำงานไม่ประสานเป็นทีมเดียวกัน ทีมหนึ่งก็ยึดแนวของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อีกสายหนึ่งก็เชื่อในยี่ห้อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” คสช.ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ที่สำคัญมีเสียงวิจารณ์หนาหูเลยว่า “มือไม่ถึง”
ปัจจัยภายนอกประเทศ ปัจจัยภายในประเทศ สนิม เนื้อในทีมเศรษฐกิจรัฐบาล
โฟกัสไปตรงไหน มันก็ติดล็อกแทบทุกจุด
เดินหน้าก็ไม่ออก ถอยหลังก็ไม่ได้
โดยสถานการณ์ก็ไม่แปลกถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะออกอาการหงุดหงิด พาลเหวี่ยงสื่อมวลชน เมื่อเจอคำถามจี้ใจดำเกี่ยวกับปมเศรษฐกิจที่รุกเข้าใส่รัฐบาลทหาร
อั้นไว้ไม่ไหวจนต้องกระฉอกออกมา
แต่ปัญหาก็คือ กระฉอกใส่นักข่าว แต่ไม่กล้ากระฉอกใส่คนกันเอง
ตามท้องเรื่องแบบที่คนภายนอกทั่วไปยังรู้ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมต้องยิ่งรู้อยู่แก่ใจ อย่างที่พูดเป็นนัยมาหลายครั้ง โดยเฉพาะการไปบ่นลอยๆ
บนเวทีปาฐกถาของ ส.อ.ท.
“วันนี้ก็ดูอยู่รู้หมดว่าฝั่งนั้นฝั่งนี้ทะเลาะกัน ถ้าจะให้ไปย้ายคนนั้นคนนี้แล้วย้ายไม่ได้ ย้ายแค่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ถูกด่า ถ้าย้ายใครไม่ได้สงสัยต้องย้ายตัวเองแล้ว รำคาญแล้ว”
บ่งบอกอาการของคนขี้เกรงใจ
รู้ปัญหา แต่ไม่กล้าลงมือบริหารจัดการ
โดยสภาพทีมเศรษฐกิจชุดนี้ลากไปต่อไม่ได้ แต่มันติดตรงที่คนกันเองทั้งนั้น
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้เหตุผลกับคนวงใน ตอนฟอร์ม ครม.ก็ไปเชิญมา ไปขอร้องให้ช่วยงาน ถึงเวลาจะปรับออกก็ติดลูกเกรงใจ
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าเงื่อนไข “คนของพี่ใหญ่”
ประเมินจากการมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหอกด้านความมั่นคง มาเป็นหัวขบวนคุมงานด้านเศรษฐกิจในนามของ คสช.
จุดนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัว
แน่นอนเรื่องความเชี่ยวชาญเหมาะสมกับงานนั้นตัดไปได้ หรือที่อ้างเรื่องเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงก็เบาเกินไป
ปัจจัยหลักจริงๆ ก็น่าจะมาจาก “เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น” ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นคนรับผิดชอบ
ในการดึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเข้ามาทำงานเป็นทีมเศรษฐกิจรัฐบาล รวมทั้งนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ที่ล้วนแต่เป็นเครือข่ายของ “หม่อมอุ๋ย” ทั้งนั้น
และเมื่อปัญหามาถึงขั้นกระแสเศรษฐกิจบีบคอรัฐบาล สถานการณ์บังคับให้ต้องยกเครื่องใหญ่
“บิ๊กตู่” จึงโยนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นคนตัดสินใจ
ไม่กล้าหักหน้า “พี่ใหญ่”
แต่แน่นอน ถ้าถึงที่สุดถ้ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ โดยเงื่อนไขก็หนีไม่พ้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องแสดงภาวะผู้นำ ที่ต้องพาประเทศไทยหลบเหวเศรษฐกิจให้ได้
สถานการณ์มาถึงจุดที่ต้องเลือก
ประเทศชาติสำคัญกว่า หรือต้องรักษาพวกไว้
ถ้าเลือกเอาพวกก็เตรียมตัวได้
เศรษฐกิจจมเรือแป๊ะแน่นอน.
“ทีมการเมือง”


ไม่มีความคิดเห็น: