PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เงินลึกลับ 2 หมื่นล้านในบัญชีนายกฯ กับปฏิวัติซ้อนในมาเลเซีย

เงินลึกลับ 2 หมื่นล้านในบัญชีนายกฯ กับปฏิวัติซ้อนในมาเลเซีย

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 18 สิงหาคม 2558 เวลา 10:49 น


580818 kuala lumpur edit
ระเบิดลงที่ปุตราจายา
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซียสั่นสะเทือนประหนึ่งระเบิดลง เมื่อจู่ๆ หนังสือพิมพ์ดิวอลสตรีทเจอร์นัลของสหรัฐอเมริกา รายงานว่า ในเดือนมีนาคม 2556 ก่อนการยุบสภาฯและการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน มีมือลึกลับโอนเงินจำนวนมหาศาลประมาณเกือบ 23,800 ล้านบาท (700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)เข้าในบัญชีส่วนตัวของนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรี
เงินก้อนนี้เงินมาจากบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลชื่อว่า 1Malaysia Development Berhad ที่รู้จักกันในนาม “วันเอ็มดีบี” (1MDB)
1MDB เป็นบริษัทของรัฐภายใต้กระทรวงการคลัง ซึ่งนายนาจิบนั่นแท่นเป็นรัฐมนตรีว่าการฯควบตำแหน่งนายกฯมาตลอด
ดิวอลสตรีทเจอร์นัลอ้างว่าข้อมูลที่ได้รับ มาจากเอกสารการสอบสวนของคณะทำงานเฉพาะกิจของรัฐบาล ที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบกรณีความไม่ชอบมาพากลของการบริหารเงินของ 1MDB ที่อยู่ในสภาพเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวรวมๆแล้วราว374,000 ล้านบาท (1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนดังกล่าวประกอบด้วยหน่วยงานหลักคือ ธนาคารแห่งชาติมาเลเซีย คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งมาเลเซีย และสำนักงานอัยการสูงสุด 
เอกสารการสืบสวนชิ้นนี้แสดงการเคลื่อนที่ของเงินจาก 1MDB ผ่านหน่วยงานของรัฐบาลบางองค์กร ไปสู่ธนาคารและบริษัทเอกชนบางแห่ง ก่อนจะไหลเข้าบัญชีเงินฝากในประเทศมาเลเซียของนายกฯนาจิบราซัค ที่มีมากกว่าหนึ่งบัญชี
ปฏิกิริยาแรกของนายนาจิบคือการปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เป็นการปฏิเสธที่มีเนื้อหาแบ่งรับแบ่งสู้ โดยโฆษกรัฐบาลทำหน้าที่เป็นตัวแทนนายกฯออกมาประกาศกับสื่อมวลชนว่า นายนาจิบไม่เคย “ใช้เงินใดเพื่อประโยชน์ส่วนตัว” อย่างไรก็ตาม ตัวนายนาจิบเองที่ภายหลังจำต้องพูดเรื่องนี้ในหลายโอกาส ก็ไม่เคยพูดให้ชัดเจนว่า ไม่มีเงินจำนวนนี้อยู่ในบัญชีของตน
ปฏิวัติซ้อน
คะแนนนิยมของนายกฯ นาจิบ เริ่มดิ่งลงเหวตั้งแต่รัฐบาลประกาศเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อหารายได้เข้ารัฐไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารประเทศหนาหูขึ้นจากประชาชนที่แบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับปัญหาราคาสินค้าหลักของประเทศคือน้ำมันและปาล์มตกต่ำในตลาดโลก ฉุดค่าเงินริงกิตต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง ไม่นับการถูกอดีดนายกฯคนดัง มหาเธร์ โมฮัมหมัด ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีเรียกร้องให้ลาออกอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้ความมั่นคงทางการเมืองของนายนาจิบดูง่อนแง่นชอบกล
ข่าวเงินสองหมื่นล้านบาทในบัญชีของนายนาจิบจึงฟางเส้นสุดท้ายที่หลุดลอยไป ผลักให้นายกฯหลังชนกำแพง ถ้าสู้ก็ (อาจ)รอด ถ้าไม่สู้ก็คุก จึงนำไปสู่เหตุการณ์ระทึกใจดังต่อไปนี้
วันที่ 28 กรกฎาคม นายนาจิบสั่งปลด นายมูยิดดีน ยาซีน รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการอีกสี่คน ออกจากคณะรัฐมนตรี เหตุผลอย่างเป็นทางการคือ “เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวในการบริหารราชการ” นอกจากนั้นยังสั่งปลด นายอับดุล กานี ปาเทล อัยการสูงสุด ผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุในอีกไม่กี่เดือน ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ
นายมูยิดดีน เป็นนักการเมืองอาวุโสร่วมพรรคอัมโนของนาย นาจิบเพียงคนเดียว ที่กล้าออกมาวิพาก์วิจารณ์นายกฯ หลังจากข่าวเรื่องเงินในบัญชีถูกเปิดโปงขึ้นมา 
หลังถูกปลดไม่กี่วัน หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่งตีพิมพ์คลิปวิดีโอแสดงภาพนายมูยิดดีน รับแขกวีไอพีส่วนตัวซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองระดับสูงในพรรคอัมโนบางคนทีเข้าเยี่ยมให้กำลังใจที่บ้านพัก โดยในวิดิโอแสดงภาพและเสียงนายมูยิดดีนที่เล่าให้แขกเหล่านี้ฟังว่า นายนาจิบบอกเขาเองเป็นส่วนตัวว่า มีเงินส่งเข้ามาในบัญชีของตนจากใครบางคนที่ตะวันออกกลาง
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการสืบสวน 1MDB อีกห้าราย พร้อมทั้งตามล่าอดีตผู้บริหาร 1MDB อีกสองรายที่ลาออกไปก่อนหน้านั้น 
บุคคลที่ถูกสั่งปลดหรือจับกุมล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวน หรือเป็นผู้ส่งเสียงคัดค้านนายกฯในเรื่อง 1MDB ทั้งสิ้น เมื่อใครต่อใครรวมทั้งอัยการสูงสุดถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว สายตาของคนทั้งประเทศก็หันขวับมาที่ นางเซติ อาซิซ ผู้ว่าการแบงก์ชาติมาเลเซียที่เป็นหนึ่งในคณะตรวจสอบ และเก็บตัวเงียบไม่ออกสื่อพักใหญ่ จนกระทั่งออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าอันซีดเซียวเมื่อไม่กี่วันมานี้ โดยพูดสั้นๆว่า ได้ส่งข้อมูลการตรวจสอบทั้งหมดให้รัฐบาลแล้ว โดยแบงก์ชาติตรวจสอบเฉพาะ 1MDB ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินในบัญชีของนายกฯแต่อย่างใด
เธอยอมรับว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่แบงก์ชาติหลายรายกำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวสอบสวนเพื่อตามหาตัวคนปล่อยข้อมูลไปถึงมือหนังสือพิมพ์เอเซี่ยนวอลสตรีทเจอร์นัล
การปลดและจับแบบสายฟ้าแลบประหนึ่งการทำรัฐประหารโดยไม่ต้องใช้กองทัพนั้น สร้างความมึนงงให้ประชาชนคนธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดอำนาจรัฐ ก็อดมีเสียงแว่วมาให้ได้ยินไม่ได้ว่า เรื่องนี้อาจไม่ใช่การรัฐประหารเสียทีเดียว แต่เป็นรัฐประหาร หรือปฏิวัติซ้อนจากฝั่งนายนาจิบต่างหาก
นั่นก็คือเป็นการป้องกันตัวจากการถูกจับกุมและปลดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในข้อหาโกงกิน โดยเว็บไซต์ ซาราวักรีพอร์ต ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษและเป็นเว็บไซต์ที่เริ่มต้นขุดคุ้ยเรื่อง 1MDB ก่อนใครเพื่อน ตีพิมพ์ร่างเอกสารจากสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งตั้งข้อหา นายนาจิบ สองข้อหา ข้อหาแรก คือ การทุจริตโกงกินตามกฎหมายต่อต้านการทุจริต และประเด็นที่สองคือ การกระทำผิดหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามกฎหมายอาญา
ซาราวักรีพอร์ตระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้เตรียมเอกสารฉบับนี้ไว้ ก่อนที่ตัวอัยการสูงสุดจะถูกปลดสายฟ้าแลบ อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดคนใหม่ออกมาปฏิเสธว่าเป็นเอกสารปลอม
แต่ลองคิดเล่นๆดูว่า หากเอกสารชิ้นนี้เกิดเป็นเอกสารจริงขึ้นมา ก็หมายความว่านายนาจิบก็หวิดกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์มาเลเซียที่ถูกจับขึ้นศาลในข้อหาทุจริต โดยหน่วยงานของรัฐเอง และอาจโดยสหายร่วมพรรคเช่นนายมูยิดดีน รองนายกฯ เองก็เป็นได้
เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากการรัฐประหารเงียบที่ไม่ต้องใช้ปืนผาหน้าไม้ แต่ใครจะไปยอมติดคุกกันง่ายๆ“ปฏิวัติซ้อน” จึงเกิดขึ้น 
เงินบริจาค
หลังจากปากแข็งไม่ยอมรับแต่ไม่ปฏิเสธมาหลายสัปดาห์ ในที่สุดก็นายกฯนาจิบก็มีอัศวินม้าขาวกระโดดเข้าช่วยให้คำตอบเรื่องเงินเจ้าปัญหา
ต้นเดือนสิงหาคม คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งมาเลเซีย กล่าวว่า เงินในบัญชีของนายกฯนั้นเป็น “เงินบริจาค” ที่ไม่เกี่ยวกับ 1MDB ตามมาด้วยนักการเมืองพรรคอัมโนออกมาประสานเสียงตอบรับโดยที่นายกฯนาจิบไม่ต้องเอ่นปากใดๆ รัฐมนตรีอีกผู้หนึ่งขยายความต่อว่าเป็นเงินบริจาคจากตะวันออกกลาง
นักการเมืองพรรคอัมโนของนายนาจิบอีกรายให้ข้อมูลเพิ่มว่าไม่สามารถบอกชื่อผู้บริจาคได้เพราะบุคคลผู้นั้นไม่ปราถนาจะถูกเอ่ยนาม นักการเมืองอาวุโสพรรคเดียวกันอีกผู้หนึ่งต่อให้ว่า บุคคลผู้นี้บริจาคเงินเพื่อตอบแทนในการที่รัฐบาลของนายนาจิบให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ISIS
อย่างไรก็ตาม วันที่ 15 สิงหาคม ซาราวักรีพอร์ต รายงานว่า เงินจำนวน 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯจาก 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ถูกโอนออกจากบัญชีเงินฝากในธนาคาร AmBank ของนายนาจิบ หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2556 และบัญชีนี้ได้ปิดไปแล้วเงินจำนวนนี้ถูกโอนกลับไปยังบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบัญชีเดียวกันกับที่โอนเงินเข้าบัญชีนายนาจิบตั้งแต่แรก
หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คงเป็นคำตอบให้ข้อสันนิษฐานของหลายฝ่ายที่ว่า เงินก้อนนี้ถูกโอนมาเพื่อพรรคอัมโนใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา เพื่อรักษาเก้าอี้ที่กำลังง่อนแง่นในหลายๆรัฐหรือไม่ ส่วนคำถามที่ว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน จาก 1MDB หรือจากผู้บริจาคลึกลับ คงต้องรอต่อไปว่าคำตอบจะละลายหายไปในสายลมหรือไม่
สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร
ดูเผินๆนายกฯนาจิบน่าจะรอดจากสถานการณ์คับขันไปได้แม้จะเฉียดฉิว แต่เอาเข้าจริงๆการเมืองมาเลเซียเวลานี้ก็หักเหลี่ยมเฉือนคมกันไม่ผิดอะไรกับหนังยอดฮิต Game of Thrones ที่ติดกันงอมแงมข้ามประเทศ
เมื่อวันสองวันมานี้ นักข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งโคจรไปเจอตัวประธานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่กำลังลาป่วยอยู่ จึงถามว่าเมื่อไหร่จะกลับไปทำงาน ท่านประธานฯตอบว่าจะกลับไปเร็วๆนี้ เพื่อตามงานที่ค้างอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบกรณีบริษัท SRC
คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่พบศึกหนักหลังการเปิดโปงของ เอเซี่ยนวอลสตรีทเจอร์นัลโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณี 1MDB กลายเป็นผู้ถูกจับชั่วคราวและถูกสอบสวนเสียเอง เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสสองรายถูกโยกย้ายไปประจำหน่วยงานอื่น ส่วนคนอื่นๆกำลังร้อนๆหนาวๆกลัวภัยที่มองไม่เห็น
SRC International ที่ท่านประธานฯพูดถึง ในอดีตเป็นบริษัทลูกของ1MDB ต่อมาแยกตัวเป็นบริษัทเดี่ยวในสังกัดกระทรวงการคลังมาเลเซีย ทำหน้าที่เกี่ยวกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ
ซาราวักรีพอร์ต และ ดิวอลสตรีทเจอร์นัล รายงานว่า นอกจากเงินก้อนใหญ่ในแล้ว ยังมีเงินจำนวน 42 ล้านริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณกว่า 865 ล้านบาท จาก SRC International โอนเข้าบัญชีนายกฯในอีกวาระหนึ่ง
หน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องนี้คือคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งมีขอบเขตอำนาจเต็มที่ในการตรวจสอบกรณีทุจริตภายในประเทศ ข้อมูลการโอนเงินจากบริษัท SRC International ซึ่งเป็นบริษัทภายในประเทศ เข้าบัญชีภายในประเทศของนายกรัฐมนตรี จึงเป็นข้อมูลที่อยู่ในมือคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยตรง ในขณะที่การตรวจสอบกรณีเงินสองหมื่นล้านก้อนแรกที่เดินทางไปหลายประเทศก่อนจะย้อนกลับสู่มาเลเซีย จำเป็นต้องอาศัยมือธนาคารชาติในการขอความร่วมมือจากประเทศอื่น
ถ้าคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหลักฐานอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว ก็ให้สงสัยตะหงิดๆว่า ร่างเอกสาร“ปลอม?”จากสำนักงานอัยการสูงสุดที่ตั้งข้อหานายนาจิบข้างต้น หมายถึงกรณีเงินก้อนไหนกันแน่ 
โปรดติดตามตอนต่อไป...

ไม่มีความคิดเห็น: