PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

(ย้อนอดีตข่าว)"ทักษิณ"ตะลึงหนุ่มโรคจิต ทุบพระพรหมพังทั้งองค์

"ทักษิณ"ตะลึงหนุ่มโรคจิต ทุบพระพรหมพังทั้งองค์ 

หนุ่มโรคประสาทพกค้อนบุกเข้าทุบพระพรหม แยกราชประสงค์เสียหายทั้งองค์ ชาวบ้านวิ่งไล่จับก่อนรุมประทัณฑ์ตายอนาถหน้าโรงแรมชื่อดัง ตำรวจเรียกพ่อค้าแม่ค้าเค้นสอบหากลุ่มสหบาทาพิฆาต ตั้งข้อหาร่วมกันทำร้าย "ทักษิณ" ตะลึง!!! ให้กระทรวงวัฒนธรรมดูแล


เหตุชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์หนุ่มโรคประสาทบุกใช้ค้อนทำลายองค์พระพรหม เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 21 มีนาคม โดยพ.ต.ต.ธนิต รตโนภาส สารวัตรเวร สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุมีชายถูกทำร้ายเสียชีวิตบริเวณหน้าประตูทางเข้าโรงแรมไฮแอทเอราวัณ ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.จึงรายงานให้ผู้บังคับชาทราบจากนั้นเดินทางไปตรวจสอบพร้อมแพทย์ รพ.จุฬาฯและเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ต่อมา พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.),พ.ต.อ.ธัชชัย หงษ์ทอง รองผบก.น.5,พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผกก.สน.ลุมพินี ,พ.ต.ท.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย สว.สส.เดินทางไปร่วมตรวจสอบด้วย 

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าทางเข้าโรงแรมไฮแอทเอราวัณ พบศพชายอายุประมาณ 30 ปี นุ่งกางเกงขายาวพับขา สวมเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น สวมรองเท้าผ้าใบ นอนหงายเสียชีวิตอยู่บนทางเท้า มีเลือดไหลออกจากปาก ตรวจสอบกระเป๋าสตางอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ไม่มีเอสารระบุว่าเป็นใคร มีเพียงบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ 1 ใบ และยาแก้อากาศ 1 กระปุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่หน้าท้องมีเหรียญ 5 บาท 1 เหรียญและเหรียญบาท่จำนวน 3 เหรียญตกอยู่ที่หน้าท้อง และบริเวณหัวไหล่สักคำว่า"อามีน"และติดกันเขียนเป็นภาษาอาหรับ ที่ศรีษะมีบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งยาวประมาณ 4 นิ้ว ที่คิ้วซ้ายแตก โหนกแก้มและบริเวณหลังมีรอยฟกช้ำจำนวนมาก ใกล้ศพพบค้อนตอกตะปูตกอยู่ 1 อัน 

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ชายคนดังกล่าวถูกชาวบ้านรุมทำร้ายจนเสียชีวิต เนื่องจากใช้ค้อนเข้าไปทุบทำลายได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปตรวจสอบบริเวณศาลท้าวมหาพรหมซึ่งอยู่ห่างจุดพบศพประมาณ 50 เมตร พบว่าบริเวณภายในรั้วมีเศษปูนแตกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ และพบเศียรท้าวมหาพรหมตกอยู่ที่พื้นภายในรั้ว เจ้าหน้าที่โรงแรมไฮแอเอราวัณจึงได้เก็บและนำผ้าขาวขนาดใหญ่มาคลุมองค์ท้าวมหาพรหมเพื่อให้ประชาชนที่เลื่อมใสเกิดความสะเทือนใจ ส่วนองค์ท้าวมหาพรหมถูกทุบแตกเหลือเพียงหน้าตักและฐานเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงได้นำเชือกมากั้นรอบ ๆ นอกรั้วเพื่อไม่ประชาชนเข้าไปเนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปดู และหลายคนที่เดินทางไปสักการะเมื่อเห็นภาพดังกล่าวก็ถึงร้องไห้ 

จากการสอบสวนนางวันดี วิชัย อายุ 42 ปี แม่ค้าขายพวงมาลัยให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนั่งขายพวงมาลัยบริเวณรั้วด้านนอกและเป็นจุดสักการะบูชา เห็นชายคนดังกล่าวยืนอยู่บนฐานท้าวมหาพรหม จากนั้นก็ล้วงเอาค้อนออกมากระเป๋าแล้วทุบไปที่องค์ท้าวมหาพรหมหลายครั้ง รู้สึกตกใจมาก จึงร้องตะโกนให้คนมาช่วย แต่บริเวณรอบ ๆ ศาลท้าวมหาพรหมไม่มีใครอยู่ หลังจากชายคนดังกล่าวทุบองค์ท้าวมหาพรหมได้รับความเสียหายแล้ว ก็รีบวิ่งลงมาแล้วปีนข้ามรั้วด้านข้างโรงแรมออกมา ขณะนั้นได้มีคนขับรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าโรงแรมวิ่งเข้ามาช่วย แต่ชายคนดังกล่าวได้คว้าค้อนขึ้นมาทำท่าจะทำร้ายและพยายามวิ่งหนี ระหว่างนั้นก็มีชาวบ้านประมาณ 4-5 คนวิ่งเข้ามาช่วยกันจับและรุมทำร้าย แต่ยังไม่เสียชีวิต แต่สาเหตุที่เสียชีวิตน่าจะเป็นเพราะถูกลงโทษในสิ่งที่เขาทำ 

"ฉันขายพวงมาลัยช่วงดึกจุดนี้ประมาณ 30 ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์แปลก ๆ ชายคนนี้ก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ตอนที่เขาเข้าไปทุบนั้นทำเหมือนคนคลุ้มคลั่ง คิดว่าไม่น่าจะเป็นปกติ เพราะคนปกติไม่น่าจะทำอย่างนี้ ปกติช่วงดึก ๆ จนถึงเช้าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ แต่ก่อนเกิดเหตุไม่ทราบว่าไปไหน รู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ท้าวมหาพรหมเป็นสิ่งที่คนไทยเคารพบูชา"นางวันดีกล่าว

นายสมยศ ศรีคำสุข อายุ 46 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ กล่าวว่า ปกติจะจอดรถแท็กซี่รอผู้โดยสารหน้าโรงแรม ขณะนั่งอยู่ในรถได้ยินเสียงผู้หญิงร้องช่วยด้วย ตอนแรกคิดว่า ผู้หญิงถูกคนร้ายวิ่งราวทรัพย์ แต่เมื่อเดินออกมาก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังปีนรั้วออกมา จึงจะวิ่งเข้าไปจับส่งตำรวจ แต่ถูกชายคนดังกล่าวใช้ค้อนจะทำร้ายจึงหลีกออกมา สักครู่ก็มีกลุ่มผู้ชายที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาช่วยกันจับ และเห็นอีกครั้งก็พบว่า ชายคนดังกล่าวล้มลงและถูกทำร้ายเสียชีวิต 

ต่อมา เวลา 03.00 น.ได้มีนายสายันต์ ภักดีผล อายุ 51 ปี เดินทางไปที่ สน.ลุมพินีพร้อมกับแสดงตัวว่า เป็นบิดาของชายที่เสียชีวิต โดยกล่าวว่า คนตายชื่อนายธนกร ภักดีผล อายุ 27 ปี และชื่อเดิมคือ"อามีน"ครอบครัวนับถือศาสนาอิสลาม เป็นโรคประสาท เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุ 21 ปี หลังจากไปเกณฑ์ทหารแต่จับได้ใบดำ เมื่อกลับมาบ้านก็มีอาการเซื่องซึมและอารมณ์ร้าย จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ระบุว่าเป็นโรคเครียด ก็รักษาตลอดเวลาหลายโรงพยาบาล ล่าสุดก็ไปตรวจและรับยาที่โรงพยาบาลพระมงกุฏตามแพทย์ และยาส่วนใหญ่ก็เป็นยาแก้โรคเครียด 

"วันนี้ ผมไปทำงาน ส่วนลูกชายก็ไปหาเพื่อนที่รามคำแหงและนั่งรถแท็กซี่กลับมาถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มแล้วขึ้นไปนอนในห้อง ผมก็เอายาแก้แพ้และหวัดไปให้ แต่เขาตาขวางและเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวจะทำร้ายคนในบ้าน กระทั่งประมาณเที่ยงคืนได้เดินไปนอกบ้านแต่ไม่ทราบไปไหน ผมจึงโทรศัพท์แจ้ง 191 เรียกตำรวจตามหาเพราะกลัวไปก่อเหตุ แต่ตำรวจก็ไม่มา ส่วนผมรอลูกอยู่ที่บ้านฟังวิทยุ จส 100 กระทั่งได้ยินข่าวว่ามีคนใช้ค้อนทุบท้าวมหาพรหมและในตัวก็มียาแก้แพ้ รู้สึกเอะใจจึงเดินทางมาที่สน.จึงทราบว่าเป็นลูกชาย รู้สึกเสียใจที่ทำลายท้าวมหาพรหมซึ่งเป็นที่เคารพของคนไทย"นายสายันต์กล่าวและว่า ลูกชายคนนี้เรียนจบกศน.จากนั้นก็สมัครงามตามที่ต่าง ๆ แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องออก เนื่องจากมีอาการเครียด และเมื่อมีปัญหาก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ที่ผ่านมาไม่เคยทำลายสิ่งของ 

ด้านพ.ต.อ.สุพิศาลเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ชายคนดังกล่าวตั้งใจเข้าไปทำลายองค์ท้าวมหาพรหมและถูกชาวบ้านรุมทำร้ายเสียชีวิต แต่ยังไม่ทราบว่า เป็นใครบ้าง ขณะนี้ก็ได้เรียกพ่อค้าแม่ค้า 4 คน มาทำการปากคำแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำร้าย อย่างไรก็ตาม จะแจ้งความดำเนินคดีกับคนทำร้ายในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และวันนี้ (21 มี.ค.)จะประสานกับโรงแรมให้นำฉากมากั้นไว้เพื่อไม่ให้ผู้ที่เคารพต้องสะเทือนใจ 

ทั้งนี้ ศาลท้าวมหาพรหมของโรงแรมไฮแอทเอราวัณ ราชประสงค์ มีผู้เลื่อมใสศรัทธาพากันแวะเวียนไปกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าวขอให้ช่วยเหลืออยู่เป็นประจำมิได้ขาด ถวายเครื่องสักการะบูชา เครื่องเซ่นเครื่องสังเวย พวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ช้าง ม้า ผ้าแพรพรรณ ละคร ระบำ รำฟ้อน ฯลฯ ให้ช่วยประทานพร หรือเมื่อกระทำการใดๆ สำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาแล้วจึงมาแก้สินบนตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้

ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร รักษาการนายกรัฐมมนตรี ซึ่งปฎิบัติภารกิจที่จังหวัดเชียงราย เมื่อทราบข่าวช่วงเช้าวันนี้(21มี.ค.) มีสีหน้าที่อยู่ในอาการตกใจและไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

เพียงบอกว่าเรื่องการบูรณะ คงต้องให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรมเข้าไปดูแล
จาก นสพ คม ชัด ลึก

ไม่มีความคิดเห็น: