PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

'เอนก'เรียกร้องคนเดือนตุลาฯสร้างประชาธิปไตยแบบตะวันออก

14102558 'เอนก'เรียกร้องคนเดือนตุลาฯสร้างประชาธิปไตยแบบตะวันออก
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"เอนก"ปาฐกถารำลึก 42 ปี 14 ตุลาฯ แนะคนตุลาฯร่วมสร้างปชต.แบบตะวันออก ระบุอย่าใช้คำว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ เพราะใช้เรียกแทนระบอบเผด็จการ

อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 แยกคอกวัว3นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้กล่าวปาฐกถา 14 ตุลา ประจำปี 2558 หัวข้อ"ไทยในยุคบูรพาภิวัฒน์:โลกที่เปลี่ยนไปจาก 14 ตุลาคม 2516 ถึง 14 ตุลาคม 2558"ตอนหนึ่งว่า บริบทในช่วงก่อน 14 ตุลาคม 2516 เมื่อก่อนประเทศไทยในสายตาของประเทศอินโดจีนเป็นเพียงเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาที่ไม่มีใครจมได้ เพราะไม่ได้เป็นเรือที่ไม่ได้บนน้ำ แต่เป็นพื้นแผ่นดิน 

ซึ่งในยุคนั้น ขบวนการนักศึกษาเริ่มมีการต่อต้านสหรัฐ ต่อต้านฐานทัพสหรัฐในประเทศไทย โดยเหตุการณ์ 14 ตุลา เปรียบเสมือนเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่เปลี่ยนทัศนะของคนไทย และเพื่อนบ้านใกล้เคียงไทยเป็นอย่างมาก เพราะคนในยุค 14 ตุลา เกิดมาในโลกที่ฝรั่งเป็นใหญ่ ที่แบ่งออกเป็น 2ค่าย คือ สหรัฐฯ กับ โซเวียต และเป็นโลกที่ประเทศโลกตะวันออกเพิ่งพ้นจากโลกอาณานิคมได้ไม่นานนัก
จากที่คนไทยเคยคิดว่า โลกนี้มีเพียงสหรัฐฯที่มีความแข็งแกร่งไม่มีใครต้านทานได้ เป็นผู้นำทางความคิด และทุกประเทศใช้สหรัฐฯเป็นแบบอย่างในการพัฒนาประเทศตัวเอง

นายเอนก กล่าวอีกว่า แต่ขณะที่ทุกประเทศมองสหรัฐฯเป็นแบบอย่าง จีนก็เริ่มมีการพัฒนาเติบโตเงียบๆอย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้การนำของ เติ้ง เสี่ยวผิง โดยใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษ เริ่มเปิดประเทศเริ่ม ปฏิรูปประเทศ จากที่ไทยเคยเห็นจีนเป็นยักษ์เป็นมาร อยู่ในฝ่ายเวียดนามในการสู้กับสหรัฐ แต่แล้วโลกก็ได้เห็นจีนสู้กับเวียดนาม ทำสงครามสั่งสอน สนับสนุนไทยให้ต้านเวียดนาม
ทั้งนี้จีนมีความสนิทกับอาเซียนอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งเกิดเหตุการณ์เทียนอันเหมินขึ้น จนใครต่อใครมองว่า จีนจะถูกคว่ำบาตรจากโลกภายนอกแต่จีนก็อยู่รอดได้จนเป็นชาติมหาอำนาจ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก 

จะเห็นได้ว่า จากบริบทในช่วงปี 2516 มาจนถึงปัจจุบัน โลกที่เราอยู่หลายเป็นโลกใบใหม่ เป็นโลกที่ตื่นเต้นที่สุด เพราะภายในเวลา 60-70 ปี ภายหลังสงครามโลก ไม่เพียงแค่จีน แต่ยังมีอินเดียที่เคยเป็นประเทศอาณานิคมก็กำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั่ง เช่นเดียวกับอาเซียน อย่าง สิงคโปร์ก็มีรายได้ต่อหัวเท่าๆ กับประเทศตะวันตก

"ผมเรียกโลกปัจจุบันนี้ว่า ยุคบูรพาภิวัฒน์เพราะโลกไม่อยู่ในยุคที่ตะวันตกแข็มแข็งแต่เพียงผู้เดียวอีกแล้ว จีนและสหรัฐ เป็นผู้ขับเคี่ยวแห่งศตวรรษนี้ 

ซึ่งในทัศนะของผม ไทยควรจะทำต้องปรับระยะใกล้ไกลระหว่าง 2 ประเทศนี้ใหม่ เราอยู่ไกลจากสหรัฐมากที่สุด แต่ความสัมพันธ์เราอยู่ใกล้ชิดกับสหรัฐมากเกินไป ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องตามสหรัฐฯมากจนเกินไป 

เพราะสหรัฐมักจะดำเนินนโยบายการต่างประเทศของตัวเองผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง อย่างนโยบายสงครามในประเทศอิรัก และซีเรีย เป็นต้น

ดังนั้นคิดให้มากก่อนที่จะเดินตามเหมือนอย่างแต่ก่อน ในขณะที่เราใกล้กับประเทศจีนมาก และในทางผลประโยชน์เราก็มีความใกล้ชิดกัน ส่วนตัวคิดว่าเราก็ต้องนำผลประโยชน์จากจีนให้มากกว่านี้
แม้ว่าปากของคนไทยจะบอกว่า คนจีนเสียงดัง แต่ไทยต้องการจีนมากกว่าจีนต้องการไทยเยอะ
เพราะเราต้องการนักท่องเที่ยว ต้องการทุน และโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนความสัมพันธ์กับจีนให้ฉลาดกว่านี้และไม่ว่า สหรัฐกับจีนใครจะชนะ ผมคิดว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะความขัดแย้งมีอยู่จริง แต่ความร่วมมือระหว่างจีนกับสหรัฐก็ขาดกันไม่ได้แล้ว ดังนั้น จึงไม่ควรยั่วยุให้ตะวันตกกับตะวันออกขัดแย้งกัน"นายเอนก กล่าว

นายเอนก กลาวต่อว่า คิดว่าสิ่งที่เป็นหัวใจที่สุดของยุคนี้ คือความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนด้วยกันเอง
ไทยจะต้องใช้อาเซียนเป็นส่วนขยายในทางการทูตให้มากขึ้น

เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 ได้ส่งผลกระทบต่อมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เขารู้จักคนในข่าวของไทยดีมาก ลาว พม่า กัมพูชา รู้ภาษาไทย 

ดังนั้น เราจะต้องเชื่อมโยงกับทุกประเทศในอาเซียนให้มากขึ้น เราต้องใช้ความเจริญจากภูมิภาค และชายแดนให้เป็นประโยชน์ เพราะเพื่อนบ้านของเรามีอัตราความเจริญมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อตอน 14 ตุลาฯ 16 เศรษฐกิจของโลกเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันโลกน่าสนใจมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้เป็นของคนผิวขาวอย่างเดียวแล้ว คนผิวอื่นๆเริ่มขยับเขามาใกล้เคียงกับคนผิวขาวมากขึ้น

ขณะเดียวกันเรื่องประชาธิปไตย เราก็ต้องร่วมสร้าง แม้ว่าจะเป็นแนวคิดจากตะวันตกก็ตาม ซึ่งเราจะต้องไม่หลีกหนีจากระบอบประชาธิปไตยไป และต้องไม่ใช่แค่การคัดลอกแบบของตะวันตกมา แต่เราต้องเริ่มผลประชาธิปไตยแบบตะวันออกให้มากขึ้น ต้องทำให้คำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เป็นเพียงแค่คำพูดสุภาพ แต่ใช้เรียกแทนระบอบเผด็จการ

"เมื่อ 42 ปีที่แล้วชาว 14 ตุลาฯ อยู่ในวัยที่หนุ่มสาวมาก ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ก็ยังเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยจปร. 

แต่วันนี้ชาว 14 ตุลาฯกลายเป็นคนวัยเกษียณไปแล้ว พวกเราคนรุ่นประหลาด เพราะเราทำเรื่องใหญ่ให้บ้านเมืองตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเห็นโลกที่แน่วแน่ว่าอะไรคือก้าวหน้า หรือล้าหลัง แต่ความจริงโลกน่าพิศวงมากกว่านั้น 14 ตุลา 2516 เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ แต่ 14 ตุลาฯ 2558 จะเป็นการระเบิดครั้งใหญ่หรือไม่

ผมคิดว่าเราควรใช้สติปัญญาที่สุกงอมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งผมได้แต่หวังว่า ชาว 14 ตุลาฯ จะช่วยกันคิดให้ไทยเปลี่ยนไป เดินไปสู่ความสว่าง สุกงอกและมีวุฒิภาวะที่เกิดจากภายในเองได้ โดยเราต้องหยุดเป็นประเทศลูกไล่ประเทศมหาอำนาจ เราต้องคิดถึงโลกทัศน์ใหม่ เป็นชาติอำนาจระดับกลาง เหมือนที่อินโดนีเซีย ตุรกี และบราซิล คิดแล้วทำ"นายเอนก กล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น: