PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

หนทางสู่ความรุนแรง

หนทางสู่ความรุนแรง!
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 3 เมษายน 2562

เหมาเจ๋อตุงอดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนซึ่งเป็นปราชญ์คนสำคัญทางการเมืองของโลกเคยกล่าวไว้ว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และสงครามก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งทางการเมืองจนไม่สามารถมีทางออกโดยสันติได้ เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นสงคราม คือกลายเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด 

แม้วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วแต่คำกล่าวของเหมาเจ๋อตุงในเรื่องนี้ยังมีความถูกต้องและยังคงถือเป็นทฤษฎีชี้นำการดำเนินงานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด 

ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวปรารภในตอนต้นนี้ก็เพื่อเตือนสติคนทั้งหลายให้เป็นข้อเตือนจิตสะกิดใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราขณะนี้เป็นอย่างไร และต้องระมัดระวังกันอย่างไรจึงจะไม่ให้บ้านเมืองของเรามีสภาพความขัดแย้งทางการเมืองที่จะยกระดับเป็นสงคราม หรือการเมืองที่หลั่งเลือด 

ก่อนอื่นก็ควรทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ ซึ่งไม่ต้องย้อนไปไกลนัก เอากันแค่ช่วงระยะใกล้ ในยุคสมัยที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในห้วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2521-2528 ว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และได้มีการดำเนินการแก้ไขอย่างไร 

สถานการณ์ในห้วงเวลานั้นประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสงครามทั่วด้าน 

ภายในประเทศเป็นสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่กองทัพของรัฐบาลต้องทำการสู้รบกับกองกำลังกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ทำสงครามประชาชนโดยอาศัยยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์และยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อประกอบกัน 

พื้นที่ของสงครามกลางเมืองนี้ได้ขยายไปในขอบเขตทั่วประเทศถึง 47 จังหวัด ในขณะที่ขณะนั้นประเทศไทยยังมีไม่ถึง 70 จังหวัด 

ในพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านก็มีสงครามระหว่างกัน ไม่ว่าทางด้านพม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งขณะนั้นได้กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปหมดแล้ว กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศเหล่านั้น 

แม้กระทั่งชายแดนด้านมาเลเซียก็เป็นสงครามที่สลับซับซ้อน เพราะพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาซึ่งสู้รบกับกองทัพมาเลเซีย ได้เข้ามาตั้งฐานที่มั่นในชายแดนของประเทศไทย และร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งสู้รบกับรัฐบาลไทย กลายเป็นศึกสองคู่ สามเส้า และเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งเป็นสงครามที่เชื่อกันว่าจะไม่มีทางยุติได้ 

ในห้วงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของประเทศไทย และชักชวนประเทศไทยเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนามได้พ่ายแพ้แก่กองทัพเวียดนามเด็ดขาด และยกพหลพลไกรกลับบ้านหมดสิ้น ทอดทิ้งให้ประเทศไทยยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย 

จนกระทั่งกองทัพไทย ในยุครัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ต้องปรับสัมพันธ์กับจีนในทางการทหาร และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกจนเกิดสงครามสั่งสอดเวียดนาม และทำให้เวียดนามต้องถอนทัพ 300,000 คน จากชายแดนไทยขึ้นทางเหนือไปยันศึกจีน 

ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นโชคดียิ่งของประเทศไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นธงชัย เป็นฉัตรชัย ให้แก่การแก้ไขปัญหาของชาติด้วยความสุขุมคัมภีรภาพและด้วยพระปัญญาทัศน์อันกว้างไกล และเป็นโชคดีที่รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ มีสติปัญญาความสามารถและรับสนองพระบรมราโชบายได้อย่างดีเลิศ 

ได้ดำเนินนโยบายแปรเปลี่ยนความขัดแย้งและสงครามให้กลายเป็นสันติภาพและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่ใช้ความรุนแรงและใช้เมตตาธรรม สามัคคีธรรม รวมทั้งอภัยธรรม ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์นั้น และนั่นคือสิ่งที่คัมภีร์พิชัยสงครามสดุดีว่าเป็นชัยชนะอันเลิศที่สุด เพราะเป็นชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบ 

รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศใช้นโยบาย 66/2523 เปิดกว้างเชิญชวนให้คู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลทุกภาคส่วนกลับมาร่วมมือกันพัฒนาประเทศชาติ โดยมีพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นแม่ทัพใหญ่ในการประสาน และจัดการให้เป็นไปตามนโยบายจนประสบความสำเร็จ 

ไฟสงครามที่ไหม้ลามถึง 47 จังหวัด ได้ดับมอดสนิทลง ผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทั้งหลายได้กลับคืนสู่อ้อมอกแห่งมาตุภูมิ และกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติสืบมา 

รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้เจรจาประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและกับพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยความปรีชาสามารถ จึงสามารถสงบศึกด้านพม่า ด้านลาว และกัมพูชาได้สำเร็จ 
ปิดท้ายด้วยการทำสนธิสัญญาสงบศึกสามฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลมาเลเซีย และพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา นำความสงบกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดนภาคใต้ได้สำเร็จ 

สถานการณ์ในห้วงนั้นต้องถือว่าหนักหน่วงรุนแรงและเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด แต่ก็สามารถผ่านพ้นและแก้ไขปัญหาได้สำเร็จด้วย “ธรรม” ทั้งหลาย ทำให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุขมาช้านาน 

บ้านเมืองเป็นสุขแล้วก็เป็นศึก พ้นยุครัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ การเมืองของประเทศก็ก้าวไปในยุคสามานย์ มีการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างขนานใหญ่ จนได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลแดกด่วนบ้าง เป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเนตบ้าง จนมีการยึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้งและยึดอำนาจสลับกันไปหลายครั้งหลายหน 

แต่ทว่าสถานการณ์กลับทรุดหนักลงโดยลำดับ พฤติกรรมขายชาติ ปล้นชาติ ทรยศชาติ โกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองรุนแรงยิ่งกว่าทุกระยะที่ผ่านมา กระทั่งมีเถยจิตคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบอื่น และทำให้เกิดการแตกแยกร้าวฉานชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ 

แตกแยกร้าวฉานกันเองยังไม่พอ ยังลากเอาสถาบันสำคัญของชาติมาละเลงด้วย ด้วยการยัดเยียดกล่าวหาผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกันว่าเป็นพวกทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และชี้หน้าด่ากราดขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม 

พฤติกรรมเช่นนี้ได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ในที่สุดก็ทำให้ฝ่ายต่าง ๆ เติบใหญ่ขึ้น ดังที่เห็น ๆ กันอยู่ในปัจจุบัน แต่กระนั้นก็ยังไม่สำนึก ยังไม่สำเหนียก ยังดำเนินการด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาต่อไปตามเดิม ซึ่งก็คือปฏิบัติการที่เรียกว่าสร้างแนวร่วมมุมกลับ ที่ก่อให้เกิดภยันตรายอย่างร้ายแรงแก่สถาบันทั้งหลายของประเทศ ทั้งๆ ที่สถาบันสำคัญของชาติทุกสถาบันไม่ได้เป็นคู่กรณีหรือเกี่ยวข้องในความขัดแย้งใด ๆ เลย 

เมื่อผสมโรงเข้ากับการวางหมากวางกลไว้ในระบบกฎหมายของประเทศ ตั้งแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายระดับรอง ที่ส่งผลให้เกิดความอ่อนแอและความสับสนปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในทุกอณูของประเทศดังที่เห็นๆ กันอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ความแตกแยกแตกสามัคคียิ่งขยายตัวลุกลามมากขึ้น 

ฝ่ายต่าง ๆ ได้ตั้งกองกำลัง Social Warrior หรือนักรบโซเชียลมีเดียในการสร้างความเกลียดชังให้แก่กันและกัน และในการขยายวงของความขัดแย้งนั้นให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และในที่สุดก็เปิดโอกาสหรือประตูอันกว้างให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงอย่างน่าตระหนก จนทำให้หลายฝ่ายเริ่มเห็นอันตรายของสถานการณ์ที่กำลังใกล้จะซ้ำรอยสถานการณ์ในประเทศเวเนซุเอลาไปแล้ว 

ในท่ามกลางความขัดแย้งเช่นนั้น ก็ได้มีการก่อความรุนแรงเพิ่มขึ้น และใช้ความรุนแรงนั้นในการทำร้ายผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน กระทั่งเผาทำลายทรัพย์สินของคนชาติเดียวกันเองอย่างอำมหิต 

สถานการณ์เช่นนี้กำลังทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองก้าวไปสู่จุดที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติ และในที่สุดก็จะก้าวไปสู่สงครามหรือการเมืองที่หลั่งเลือดต่อไป อันเป็นการถอยหลังกลับไปสู่ยุคก่อนรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อีกครั้งหนึ่ง 

เราจะยอมให้ประเทศชาติของเราตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือไม่ ก็อยู่ที่ใจของคนไทยทุกคนที่จะหยุดม้าไว้ริมผา หรือจะเดินหน้ากันต่อไป!

ไม่มีความคิดเห็น: