พระราชลัญจกร โดย รองศาสตราจารย์ธงทอง จันทรางศุ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีพระราชประเพณีว่า พราหมณ์จะต้องถวาย พระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธยก่อนถวายเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ และจะเชิญดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ขึ้นประดิษฐานบนมณฑลพระราชพิธีดังนั้น ก่อนเริ่มการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมีหมายกำหนดการให้มีพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามก่อน พิธีนี้จะต้องกำหนดมงคลฤกษ์เมื่อโหรกำหนดพระฤกษ์วันใดแล้ว ในตอนเย็นก่อนถึงวันพระฤกษ์ พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์โหรสวดบูชาเทวดา รุ่งขึ้นจึงจะประกอบการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ฯลฯ พระราชลัญจกร คือ ตราหรือเครื่องหมายรูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นสำหรับใช้ตี หรือประทับ หรือปิดผนึกบนเอกสาร ทั้งที่เป็นเอกสารทางราชการ หรือเอกสารส่วนพระองค์ จำแนกตามรูปแบบและหลักการใช้ได้หลายองค์ และหลายประเภท ตามโบราณราชประเพณีถือว่าพระราชลัญจกรเป็นเครื่องมงคลอย่างหนึ่งในหมวดพระราชสิริ ประกอบด้วย พระสุพรรณบัฏปรมาภิไธยดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาล อันได้แก่ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน และพระราชลัญจกรประจำพระองค์ที่สร้างขึ้นในแต่ละรัชกาล ดังนั้น พระราชลัญจกรจึงเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่แสดงถึงพระราชอิสริยยศ พระเกียรติยศ และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิของชาติด้วย ชาติไทยมีวัฒนธรรมในการใช้ลัญจกร หรือตรามานานแล้ว อย่างน้อยก็มีหลักฐานชัดเจนว่า เคยใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้วเดิมอาจเริ่มใช้ในวงการชนชั้นสูง เช่น พระมหากษัตริย์ จากนั้นก็ขยายวงออกไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนเพราะเดิมเอกสารต่างๆ ไม่ได้ลงนามผู้เขียน แต่ใช้ตราประจำตัว หรือตราประจำตำแหน่งแทนการลงลายมือชื่อ ดังปรากฏในกฎหมายลักษณะ พระธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้ตราประจำตำแหน่งข้าราชการ ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๑๗๙ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และพระราชลัญจกร ซึ่งใช้ในราชการแผ่นดินนั้นก็มีหลายองค์tเละมีระเบียบแบบแผ่นในการใช้สืบต่อกันมายาวนานเช่นกัน จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ได้ทรงบัญญัติวิธีการใช้ลัญจกรหรือตราให้เป็นแบบแผนมั่นคงขึ้น เช่น มีพระบรมราชโองการประกาศให้ราษฎรลงลายมือชื่อ หรือประทับตราประจำตำแหน่ง หรือลงลายมือชื่อกำกับการประทับตราในเอกสารหรือหนังสือต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารที่เป็นสัญญา ฎีกาและหนังสือคดีความต่างๆ ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติใช้ตราแผ่นดินรัตนโกสินทร์ศก ๑๐๘ (พุทธศักราช ๒๔๓๒) กำหนดกฎเกณฑ์การใช้พระราลัญจกรทั้งภาครัฐและเอกชน ให้เป็นแบบแผนเหมาะสมกับภาวการณ์ของประเทศมากขึ้น และมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาอีกหลายฉบับ การประทับพระราชลัญจกรในรัชกาลปัจจุบัน พระราชลัญจกรมีอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากหลายองค์ได้ใช้สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลปัจจุบันจึงได้พิจารณาให้ใช้เฉพาะบางองค์เพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย ส่วนวิธีการใช้ประทับในเอกสารสำคัญต่างๆ ได้อิงพระราชบัญญัติ พระราชลัญจกรรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชบัญญัติ พระราชลัญจกรรัตนโกสินทร์ศก ๑๓๐ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประกอบกับประเพณีปฏิบัติที่สืบเนื่องกันมา พระราชลัญจกรที่ใช้ประทับเอกสารสำคัญในรัชกาลปัจจุบัน อาจแบ่งเป็น ๓ หมวด รวม ๗ องค์ด้วยกันคือ |
[ดูภาพทั้งหมดในหมวด] |
หัวข้อ
- พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน
- พระราชลัญจกรประจำพระองค์
- พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล
- พระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน
พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ได้แก่ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล และพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน คือ พระราชลัญจกรที่ใช้สืบเนื่องมาจากรัชกาลก่อนๆ ได้แก่ พระราชลัญจกรมหาโองการ พระราชลัญจกรหงสพิมาน พระราชลัญจกรไอยราพต (องค์ใหญ่) พระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) และพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ ซึ่งจะขอกล่าวถึงพระราชลัญจกรแต่ละองค์ตามสมควร [กลับหัวข้อหลัก] |
|
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์มีพระราชลัญจกรเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ต่างกัน ดังปรากฏในเงินพดด้วง หรือปกคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือถาวรวัตถุที่สร้างขึ้นในรัชกาล เช่น ที่หน้าบันพระอุโบสถ พระวิหาร พระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ดังกล่าว ได้แก่ พระราชสัญลักษณ์ประจารัชกาลที่ ๑ เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ “อุ” หรือเลข ๙ ไทยกลับข้างอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัว ทั้งนี้เพราะรูปพระอุณาโลมคล้ายกับพระมหาสังข์ของเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ทรงได้มา และโปรดพระมหาสังข์องค์นี้มาก พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑยุดนาค สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “ฉิม” อันตรงกับฉิมพลีที่เป็นวิมานของครุฑในป่าหิมพานต์ พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “ทับ” ที่แปลว่า เรือนที่อยู่ พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๔ เป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้ามงกุฎ” พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๕ เป็นรูปพระเกี้ยว หรือจุลมงกุฎ คือยอดของมงกุฎมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” จุฬาลงกรณ์ แปลว่า เครื่องประดับผม (จุก) ดังนั้น คำว่า “พระเกี้ยว-จุฬาลงกรณ์-จุลจอมเกล้าจึงมีความหมายเหมือนกัน พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๖ เป็นรูปวชิราวุธ มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิมเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๗ เป็นรูปพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต และพระแสงศรอัคนิวาต สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์” “เดชน์” แปลว่า ลูกศร พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๘ เป็นรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน ซึ่งหมายถึงแผ่นดินพระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธย “อานันทมหิดล” แปลว่า เป็นที่ยินดีของแผ่นดินดุจพระโพธิสัตว์ได้เสด็จมาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศ ประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระเป็น “อุ” หรือเลข ๙ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตร ๗ ชั้น ตั้งบนพระที่นั่งอัฐทิศที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมความหมายถึง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธย “ภูมิพล” คือทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นกำลังของแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลปัจจุบันเป็นตรางา มีลักษณะเป็นรูปไข่ ขนาดกว้าง ๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๒ เซนติเมตร รวมด้ามสูง ๙.๔ เซนติเมตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดสร้างขึ้น สำหรับใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์เช่น ประกาศนียบัตรกำกับเหรียญรัตนาภรณ์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้เชิญเข้าร่วมในการพระราชพิธีฉัตรมงคล พุทธศักราช ๒๔๙๖ และเชิญใช้ประทับตั้งแต่นั้นมา [กลับหัวข้อหลัก] |
|
พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์เป็นพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินคือ พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ทรงใช้สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ มีทั้งพระราชลัญจกรประจำชาดและประจำครั่ง สำหรับผนึกพระราชสาส์นและหนังสือสัญญากับต่างประเทศต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะใช้พระราชลัญจกรองค์นี้เป็นพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน คือประจำรัชกาล เพื่อประทับกำกับพระปรมาภิไธย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบเขียนลายใหม่ทั้งนี้ ทรงพระราชดำริว่า เพื่อให้สมกับชื่อ “พระครุฑพ่าห์” จึงไม่ควรมีพระนารายณ์ให้มีแต่ครุฑสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ดังกล่าวได้ทรงออกแบบลายใหม่ให้มีแต่ครุฑ ไม่มีนาคประกอบ เพราะมีพระดำริว่า ครุฑไปไหนก็ต้องหิ้วนาคซึ่งเป็นอาหารไปด้วย ดูเป็นการตะกลามไป จึงทรงเขียนให้ครุฑกางมือ และทำท่ารำแบบครุฑนารายณ์ทรงของเขมร ซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชดำริว่าสมควรใช้พระราชลัญจกรพระครุฑ พ่าห์เป็นพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินของทุกรัชกาลสืบไปจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยเพียงแต่เติมพระปรมาภิไธยของรัชกาลปัจจุบันแต่ละรัชกาลไว้ที่ขอบนอก จึงได้ถือปฏิบัติเป็นพระราชประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน พระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายนพุทธศักราช ๒๔๙๓ ดังได้กล่าวมาแล้ว และได้เชิญออกมาใช้ประทับเอกสารสำคัญของทางราชการตลอดมาเป็นเวลาถึง ๔๕ ปี และเอกสารในระยะหลัง ก็มีจำนวนมากถึงประมาณปีละ ๒๕๐,๐๐๐ ฉบับ พระราชลัญจกรองค์นี้จึงมีสภาพชำรุดตามระยะเวลาของการใช้ ดังนั้น สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร จึงได้ดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดสร้างพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ขึ้นใหม่อีกองค์หนึ่ง ทำด้วยทองคำเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบการพระราชพิธีจารึกพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์เป็นทองคำเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชลัญจกรองค์ใหม่นี้สร้างด้วยทองคำหนัก ๑,๑๐๐ กรัม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๘.๔ เซนติเมตร สูง ๑๓.๔ เซนติเมตร มีลวดลายเช่นเดียวกับพระราชลัญจกรองค์เดิมที่เป็นตรางาทุกประการ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ ใช้ประทับร่วมกับพระราชลัญจกรองค์อื่น สำหรับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญอันเป็นราชการแผ่นดินทั้งปวงในรัชสมัย ได้แก่ รัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา พระราชกำหนดประกาศประจำพระองค์สมเด็จพระสังฆราช ประกาศประจำองค์สมเด็จพระราชาคณะ และรองสมเด็จพระราชาคณะ สัญญาบัตรสมณศักดิ์สัญญาบัตรยศทหาร ตำรวจ อาสารักษาดินแดนส่วนประกาศพระบรมราชโองการต่างๆ ที่ใช้พระราชลัญจกรองค์นี้องค์เดียวประทับบนเอกสารสำคัญ เช่น ประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชนิด [กลับหัวข้อหลัก] |
|
พระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน พระราชลัญจกรที่ใช้ทุกรัชกาล เพื่อประทับกำกับเอกสารที่ออกในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ และยังคงใช้ในปัจจุบันมี ๕ องค์ ได้แก่ พระราชลัญจกรมหาโองการ หรือมหาอุณาโลม เป็นพระราชลัญจกรที่มีมาแต่โบราณเป็นตราประจำชาดสำหรับประทับพระราชสาส์นและใบกำกับพระสุพรรณบัฏ พระราชโองการแต่งตั้งเจ้าประเทศราช มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗.๘ เซนติเมตร สูง ๑๓.๕ เซนติเมตร ลายในดวงตราเป็นรูปบุษบกมีเกริน บนเกรินตั้งฉัตรขนาบบุษบกทั้งสองข้าง ในบุษบกมีรูปอุณาโลมอยู่เบื้องบน ใต้นั้นมีรูปวงกลม ใต้วงกลมเป็นรูปพาลจันทร์ ใต้พาลจันทร์เป็นตัว“ อุ” อักษรขอม พระราชลัญจกรมหาโองการใช้ประทับร่วมกับพระราชลัญจกรไอยราพตองค์ใหญ่ และพระราชลัญจกรหงสพิมาน เรียงจากซ้ายไปขวาตามลำดับ และมีพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลอยู่เบื้องล่าง เอกสารสำคัญที่ต้องประทับพระราชลัญจกรทั้ง ๔ องค์ร่วมกัน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา ใบกำกับพระสุพรรณบัฏ สุพรรณบัฏ หิรัญบัฏ ประกาศพระบรมราชโองการต่างๆ เช่น ประกาศสถาปนาพระราชวงศ์ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี พระราชลัญจกรไอยราพตองค์ใหญ่และองค์กลาง เป็นตราเก่ามีทั้งที่เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และมีแต่ช้าง ใช้ประทับบนพระราชสาส์นและประกาศแต่งตั้งเจ้านายทรงกรมครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชลัญจกรไอยราพตองค์ใหม่เป็นตราประจำชาด ๓ องค์ คือ องค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์น้อย องค์ใหญ่เป็นรูปกลม สร้างด้วยโลหะสีเงิน ลายตรงกลางเป็นรูปช้างสามเศียรยืนบนแท่น บนหลังช้างมีบุษบก ในบุษบกมีอุณาโลมแวดล้อมด้วยฉัตรข้างละ ๒ คัน และมีลายกระหนกแทรกอยู่ตามที่ว่างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๑ เซนติเมตร รวมด้ามสูง ๑๙.๘ เซนติเมตร องค์กลางเป็นรูปกลมรีตั้งทำด้วยหินโมราสีน้ำผึ้ง แกะทั้งสองด้านด้านหน้ามีลายตรงกลางเช่นเดียวกับองค์ใหญ่ด้านหลังเป็นภาษาละตินแปลว่า “นี้คือพระบรมราชโองการที่แท้จริงแห่งพระบรมมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม และจ้าแห่งประเทศราชทั้งปวง” มีขนาดกว้าง ๔.๔ เซนติเมตร ยาว ๕.๕ เซนติเมตร รวมด้ามสูง ๑๐.๑ เซนติเมตร ตามพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ มาตรา ๔ กำหนดให้พระราชลัญจกรไอยราพตประจำชาดองค์ใหญ่ สำหรับประทับในประกาศใหญ่อยู่ในระหว่างกลางพระราชลัญจกรมหาโองการ และพระราชลัญจกรหงสพิมาน องค์กลางสำหรับประทับในประกาศพระราชบัญญัติ ใบกำกับสุพรรณบัฏหิรัญบัฏ และประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตนราชวราภรณ์ส่วนองค์น้อยสร้างด้วยทองคำรูปกลมรี มีขนาดย่อมลงมา ด้ามทำด้วยแก้วขาว ปัจจุบันพ้นสมัยการใช้ประทับแล้ว และเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์สำนักพระราชวัง พระราชลัญจกรหงสพิมาน เป็นพระราชลัญจกรที่มีใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณเรียกว่า พระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ มี ๓ องค์ คือ องคใหญ่ องค์กลาง องค์น้อย ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบพระราชลัญจกรหงสพิมาน ในคราวที่ทรงสร้างพระราชลัญจกรมหาโองการกลางและพระครุฑพ่าห์กลาง เพื่อให้ครบพระเป็นเจ้าทั้งสาม แต่มาสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีลายเป็นรูปหงส์อยู่เหนือกอบัว มีบุษบกอยู่บนหลังและมีลายเมฆแทรกประกอบ เป็นตรางารูปไข่ กว้าง ๔.๖ เซนติเมตร ยาว ๕.๖ เซนติเมตร รวมด้ามสูง ๙.๔ เซนติเมตร ใช้ประทับเบื้องขวาของพระราชลัญจกรไอยราพต พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ เป็นพระราชลัญจกรที่เคยมีใช้มาตั้งแต่โบราณ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชลัญจกรองค์ใหม่แทนองค์เดิม และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนเป็นรูปกลมรี ไต้ใช้สืบต่อกันมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๘๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล จึงโปรดให้เปลี่ยนรูปแบบพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง กว้าง ๔.๗ เซนติเมตร ยาว ๕.๗ เซนติเมตร สูง ๘.๔ เซนติเมตร ลายตรงกลางเป็นรูปพระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ จักร ตรี พระขรรค์ ธารพระกรวาลวิชนี พระมหาสังวาลนพรัตน์ ฉลองพระบาทและเปลี่ยนอักษรขอมเป็นอักษรไทยว่า “พระบรมราชโองการ” ยังคงใช้ประทับบนเอกสารสำคัญ ได้แก่ สัญญาบัตรยศทหาร ตำรวจและอาสารักษาดินแดน นอกจากนั้นยังมีตราพระบรมราชโองการเป็นตราดุนกระดาษตีพิมพ์อยู่เหนือประกาศพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาต่างๆ ดังที่ปรากฏในหนังสือราชกิจจานุเบกษา หรือใบประกาศพระบรมราชโองการต่างๆ พระราชลัญจกรประจำพระองค์เก็บรักษาไว้ที่สำนักราชเลขาธิการ ส่วนพระราชลัญจกรองค์อื่นที่ยังใช้ในรัชกาลปัจจุบัน ได้เก็บรักษาไว้ที่กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีการใช้พระราชลัญจกรประทับในเอกสารสำคัญต่างๆ จึงมีความสำคัญ หมายถึงการสืบต่อราชประเพณีที่มีมานานแล้ว เป็นหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งในทางประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมของชาติ ที่สมควรรักษาไว้ชั่วกาลนาน [กลับหัวข้อหลัก] |
|
บรรณานุกรม • รองศาสตราจารย์ธงทอง จันทรางศุ [กลับหัวข้อหลัก] ที่มา : sanook.com |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น