PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

จักรภพ เพ็ญแข: สวดภาณยักษ์

January 24, 2014

ตอนแรกว่าจะคอยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญก่อนแล้วค่อยเขียน แต่มานึกอีกทีเขียนเลยจะดีกว่า เพราะการนั่งคอยคำวินิจฉัยอย่างนี้ถือเป็นความวิปริตผิดเพี้ยนแบบไทยโดยแท้ ก็ทั้งรัฐบาลและองค์กรอิสระคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต่างรู้หน้าที่ของตนดีอยู่ รัฐบาลเขาก็ยืนยันว่าการเลือกตั้งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของเขา ที่จะไปกำหนดว่าเมื่อไหร่อย่างไร แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีอำนาจสูงสุดในการจัดการเลือกตั้ง เกิดพิสดารขึ้นมา หมดความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาเฉยๆ ว่ามีอำนาจเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ หรือจะมีใครนอกรัฐธรรมนูญสั่งมาแล้วว่าต้องเลื่อนแต่ไม่กล้าประกาศเลื่อนและรับผิดชอบเองก็ไม่รู้ เลยแกล้งไก๋หันไปถามพวกกันเองที่แสร้งว่าอยู่อีกขั้วหนึ่งให้ช่วยวินิจฉัยแทนให้ สำนวนไทยเรียกพฤติกรรมอย่างนี้ว่าแก้เกี้ยว ซึ่งคนทำนึกว่าเดินเกมฉลาดเสียนี่กระไร ความจริงมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยเขารู้ทันเกมเหล่านี้หมด รู้ทันไปถึงลูกพี่ของคนทำเสียด้วยซ้ำไป

ไม่ว่าจะวินิจฉัยลื่นกะล่อนกันไปถึงไหน หรือวินิจฉัยแต่เพียงว่า ไม่มีอำนาจวินิจฉัย แล้วกระซิบให้กุ๊ยริมถนนช่วยจัดการปิดเกมต่อให้ก็ตาม ผู้บงการก็ไม่มีวันที่จะพ้นจากความรับผิดชอบในครั้งนี้ไปได้ ผมไม่ได้พูดถึงพวกที่กำลังมีความสุขกับสวัสดิการหลังเกษียณ เพราะคนรับใช้อย่างนี้หาไม่ยาก ไม่เอาคนแก่กลุ่มนี้เขาก็ไปขุดจากนิคมคนชราอื่นๆ มาใช้แทน เพราะคนแก่หมดทางไปและขอสุขสำราญสักนิดก่อนจะลาโรงหรือลาโลกไป แต่พูดถึงระบอบอำมาตย์ศักดินาที่กำลังสยายปีกกันเต็มที่ เตรียมยันกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนที่กำลังรุกคืบเข้ามาในกระบวนการเลือกตั้ง คิดดูก็น่าภูมิใจที่เราทำให้ฝ่ายเขากลายเป็นผีถูกน้ำมนต์กันถึงขนาดนี้ได้ น้ำมนต์ประชาธิปไตยไม่กี่หยดทำให้ผีร้ายที่สิงสู่อยู่นานหลายทศวรรษเกิดอาการดิ้นพราดๆ อาสน์ร้อน หรือราวบทสวดอาฏานาฏิยปริตร ที่เรียกง่ายๆ ว่า สวดภาณยักษ์ ที่ทำให้ความชั่วร้ายในตัวทะลักไหลออกมาอย่างน่าตื่นใจ ความดิบเถื่อนทั้งหลายในวันนี้ ถือเป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มียุคไหนที่เครือข่ายโอปปาติกะที่โสโครกทั้งหลายจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ ถึงขั้นฉีกกระชากหน้ากากทองของตัวเองทิ้งและสำแดงใบหน้าอสุรกายอย่างเต็มที่ เหล่านี้อย่าเผลอคิดว่าเป็นเคราะห์กรรมนะครับ นี่ล่ะครับคือบุญกุศลที่เราได้เห็นชัดเจนว่า ใครเป็นผีใครเป็นคน เพราะมีเวลาอีกมากที่เราจะจัดการให้คนอยู่ส่วนคนและผีอยู่ส่วนผี ขั้นตอนที่ว่านี้เรียกตามหลักสากลได้ว่า การพัฒนาประชาธิปไตย

กรรมการการเลือกตั้งสมควรที่จะระลึกรู้และละอายใจว่า การยื่นเรื่องไปยังตุลาการรัฐธรรมนูญมีความหมายเท่ากับการยกบ้านเมืองของตัวเอง (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ไปเป็นเมืองขึ้นของบ้านเมืองอื่น (ตุลาการรัฐธรรมนูญ) ยิ่งเป็นกรรมการใหม่ รับหน้าที่มาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็ยิ่งน่าอายว่าตนเองขาดสิ่งที่เรียกกันว่าศักดิ์ศรีขององค์กรอิสระ ผมไม่รู้ว่าคนทั้งห้าเป็นใครมาจากไหน รู้จักแต่นายสมชัย ศรีสุทธิยากรที่เคยเห็นหน้าสมัยเป็นเอ็นจีโอที่สร้างตัวขึ้นมาจนได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญการเลือกตั้ง ผมอยากจะชี้ให้ท่านเห็นกันจนทั่วว่า คนไทยที่เราเรียกอย่างยกย่องหรือตามมารยาทว่า ผู้ใหญ่ ความจริงแล้วก็คือเด็กในสังกัดของผู้มีอำนาจตัวจริงของประเทศไทย ที่มีความเป็นเด็กหนักหนากว่าประชาชนคนธรรมดาซึ่งต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพราะไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชูเสียด้วยซ้ำ เด็กนั้นคือคนที่อยากได้ของ (อำนาจ) แต่ไม่อยากรับผิดชอบในผลของสิ่งนั้น ผู้ใหญ่คือคนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนเข้าไปข้องเกี่ยว รวมทั้งใช้หลักเหตุผลแทนอารมณ์ความรู้สึกแบบเด็กๆ ก็เพราะผู้มีอำนาจเมืองไทยตีกรอบให้คนไทยจำนวนมากเป็นเด็กกันมานานนักหนา วันนี้เราจึงเห็นพฤติกรรมแบบเด็กๆ ทั่วบ้านทั่วเมืองจนดูคล้ายเป็นสันดานหลักไปเสียแล้ว ไม่ว่านิสัยขี้แพ้ชวนตี เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ให้อะไรคนอื่นแต่จะเอาของตัวเองมากๆ ร้องเสียงดังเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวต้องการ ฯลฯ น่าเสียดายที่หลายคนต้องรวมกรรมการการเลือกตั้งเข้าไปในคนหมู่นั้นด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ

คำวินิจฉัยจะออกมาท่าไหนก็ตาม เราต้องตั้งหลักของเราเองให้มั่นคงว่า ประชาธิปไตยต้องเป็นผู้ใหญ่ และปล่อยให้เด็กเขาเป็นเด็กต่อไปเถิด เพราะบ้านเมตตา บ้านกรุณา บ้านมุทิตา และบ้านอุเบกขาก็ยังมีอยู่.

ไม่มีความคิดเห็น: