PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พุทธอิสระ : ขอกระชากหน้ากากห้างเลข ๗ อีกที

ขอกระชากหน้ากากห้างเลข ๗ อีกที
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เห็นข่าวท่านดอกเตอร์ อดีตแกนนำเวที ออกมาพยายามอธิบายความว่า การกระทำของห้างเลข ๗ และบริษัทในเครือ ถือว่าเป็นการบูรณาการธุรกิจของกลุ่มบริษัทเลข ๗ มิได้มีการผูกขาดตัดตอนธุรกิจอย่างแน่นอน แถมยังอธิบายความเข้าข้างห้างเลข ๗ ด้วยว่า
“อยากให้เข้าใจว่า แนวโน้มการทำธุรกิจเป็นอย่างไร ถ้าสมมติว่าเขาทำแล้วขาดจริยธรรม เอาเปรียบ หรือจะกีดกัน หรืออะไรต่างๆ อันนั้นค่อยว่ากัน แต่ถ้าทำตามครรลองของธุรกิจ แล้วกระทบใคร คนที่ถูกกระทบต้องรู้จักเตรียมตัว หรือปรับตัว ไม่จำเป็นต้องตาย ถ้าปรับตัวอยู่ได้ แต่ต้องรู้ว่าจะปรับอย่างไร” ดร.เสรี ยืนยันสำหรับคำถามที่ว่า ซีพีเหมือนเจ้าใหญ่ที่รังแกชาวบ้าน ทำให้ร้านโชว์ห่วยตายหมดทั่วประเทศ”
ที่จริงฉันเคยเดินทางไปยื่นหนังสือให้คุณเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.และคุณพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. และเคยเขียนหนังสือร้องเรียนไปยัง คสช.รัฐบาล คุณประยุทธ์ ถึงเรื่องนี้ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
“โดยมีข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บางส่วนในการปฏิรูปและแนวทางการออกกฎหมายของหลวงปู่พุทธะอิสระ ในด้านการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต้องไม่โดนกลุ่มทุนริดรอนเอาเปรียบ ฉันจึงขอเสนอให้ออกกฎหมายสงวนอาชีพเพื่อป้องกันเศรษฐีละโมบมาแย่งอาชีพคนยากคนจน ถึงเวลาแล้วที่จะออกกฎหมายมาป้องกันอาชีพดังต่อไปนี้
๑. ข้าวราดแกง
๒. ข้าวมันไก่
๓. ข้าวหมกไก่
๔. ข้าวผัดกระเพราไข่ดาว
๕. ก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด
๖. ผัดไทย – หอยทอด
๗. ราดหน้า
๘. ผัดซีอิ๊ว
๙. เกี๊ยวหมู กุ้ง ไก่
๑๐. ขนมจีบ ซาลาเปา
๑๑. โอเลี้ยง ชาดำเย็น
๑๒. กาแฟเย็น
๑๓. ลูกชิ้นปิ้ง
๑๔. หมูปิ้ง
๑๕. ข้าวเย็น
๑๖. ข้าวผัด
๑๗. ร้านโชห่วยขายสินค้าเบ็ดเตล็ด
๑๘. งานฝีมือ
๑๙. ศิลปวัฒนธรรมที่สามารถประกอบเป็นอาชีพ
๒๐. สิ่งทอมือจักรสาร
เหล่านี้ ควรสงวนเอาไว้ให้เป็นอาชีพของผู้มีรายได้น้อยหรือคนไทยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเศรษฐีละโมบและกลุ่มทุนต่างชาติจะมาแย่งคนยากจนหากินเช่นปัจจุบันนี้ จนเส้นทางหากินของคนมีรายได้น้อย คับแคบ ตีบตัน หมดทางหากินเช่นทุกวันนี้”
และยังเขียนบทความลงเฟสเรื่อง “ขอกระตุกขนหน้าแข้งมหาเศรษฐีอันดับ ๑ ของประเทศอีกที” เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ความว่า
“ไข่ต้มไหมจ๊ะ ไข่ต้ม รับไข่ต้มไหมจ๊ะ
กาแฟ ไข่ลวกไหมครับ
ข้าวโพดต้มไหมจ๊ะ
ขนมจีบซาลาเปาเอาไหมครับ ร้อนๆ
ข้าวมันไก่จ๊ะ ข้าวมันไก่ เนื้อขาวนุ่ม น้ำจิ้มรสแซ่บ
ข้าวราดแกงมาแล้วจ๊ะ
กะเพราไข่ดาวทานกับข้าวสวยร้อนๆ จ้า
โอเลี้ยง ชาเย็น กาแฟเย็น หวานมัน เย็นๆ จ๊ะ
อาหารและเครื่องดื่มสินค้าพื้นบ้านเหล่านี้เป็นอาชีพค้าขายเพื่อความอยู่รอดของคนยากคนจนมาแต่อดีต ขอเพียงแค่กำไรเล็กๆน้อยๆพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนและคนในครอบครัว เพื่อให้มีชีวิตรอดและส่งลูกหลานให้ได้เล่าเรียนพอมีความรู้
วิธีค้าขาย บางคนก็มีแผงขายอยู่หน้าบ้าน บางคนก็ขายตามทางเท้า บางคนนำใส่กระจาดเดินหาบขายส่งเสียงร้องเชิญชวนลูกค้าให้มาซื้อไข่ต้ม ถั่วต้ม ข้าวโพดต้ม สดๆ ร้อนๆ จ้า บางคนนำหม้อข้าวหม้อแกง ขนม ใส่รถเข็นเดินเข็นไปขายตามที่ชุมชน ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ข้าวแกงอร่อยๆ มาแล้วจ้า บางที่ชาวบ้านจะได้ยินเสียงเคาะกะลาหรือเคาะไม้ เคาะกระบอกไม้ไผ่ ดัง ป๊อกๆ เกี๊ยวหมู กุ้ง ไก่ ขนมจีบ ซาลาเปา อร่อยๆ ร้อนๆ มาแล้วจ้า
นี่คือภาพความทรงจำในอดีต
แต่เวลานี้ ภาพเส้นสายลายชีวิต ปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของคนยากคนจนที่ฉันเคยเห็นเคยได้ยิน ไม่รู้ว่าหายไปไหน ฉันเคยพูดคุยกับพ่อค้าขายเกี๊ยวรถสามล้อถีบ ถามเขาว่า วันนี้ทำไมไม่ขายเกี๊ยวแล้วหรือ เขาตอบฉันว่าเลิกขายมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่มีร้านสะดวกซื้อมาตั้งอยู่ในชุมชน ผู้คนก็แห่กันไปอุดหนุนที่ร้านสะดวกซื้อที่เปิด ๒๔ ชั่วโมง เขาขายทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันกางเกงใน ผ้าอนามัย ไม้เว้นแม้แต่เกี๊ยว ข้าวราดแกง ข้าวมันไก่ ไข่ต้ม กะเพราไข่ดาว กาแฟ โอเลี้ยง ชาเย็น แถมมีแอร์เย็นอีกต่างหาก
แล้วคนหาเช้ากินค่ำ ชาวบ้านที่ปากกัดตีนถีบ ทุนน้อยอย่างพวกผม จะไปแข่งกับเขาได้อย่างไร จำเป็นต้องเลิกขายไปโดยปริยาย ถึงพยายามจะขาย สุดท้ายก็สู้เขาไม่ได้ ผมเคยขี่รถ ๓ ล้อถีบ เพื่อขายเกี๊ยว ขายข้าวมันไก่ กะว่าจะตระเวนไปขายตามหมู่บ้านที่มีคนพลุกพล่าน แต่พอไปขายดูพบว่าร้านสะดวกซื้อมันเข้าไปตั้งร้านขายทุกอย่างหมดเกือบทุกหมู่บ้านแล้ว แล้วพวกเราชาวบ้านตาดำๆจะทำยังไง เลยต้องหยุดค้าขายสิ่งที่เราถนัด ออกไปไล่เก็บเศษกระดาษ เศษพลาสติกตามถังขยะมาขาย เพื่อความอยู่รอด
นี่ลูกชายคนโตที่เรียนอยู่ปี ๑ ก็ต้องออกจากมหาลัยเพราะผมไม่มีเงินส่ง มันก็ต้องไปเป็นเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำได้เดือนหนึ่ง ๕ – ๖ พัน เพื่อนำเงินมาจุนเจือทางบ้าน เดือนหนึ่งมันถึงจะกลับมาบ้านที แต่ก็ส่งเงินทุกเดือน ลูกผมคนเล็กก็ยังเรียนอยู่เลยครับ ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาส่งมันเรียนจบไหม
ฉันถามเขากลับไปว่า หากมีผู้ให้ยืมเงินลงทุนค้าขายอีกครั้งจะพอมีช่องทางขายได้ไหม เขาหันมาถามฉันว่า หลวงปู่จะให้ผมขายอะไร สิ่งที่ครอบครัวผมทำได้ชำนาญก็มีแต่เกี๊ยว ข้าวมันไก่ ขนมจีบ ซาลาเปา ผมสู้อุตส่าห์เสียเงินไปเรียนมาเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว เสียเงินไปก็หลายตังค์ หากจะให้ผมกลับไปขาย จะให้ผมขายที่ไหน เพราะทุกที่ที่มีคน มันก็มีร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมด คนยากจนอย่างพวกเรามีแต่ตายกับตาย ไปขายสู้เขาไม่ได้
สิ่งที่คนอย่างพวกเราทำได้ตอนนี้คือเก็บขยะ ขายแรงงาน เป็นลูกจ้างนายทุน ไอ้ที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการค้าขายเล็กๆน้อยๆน่ะไม่มีแล้วในเวลานี้ เวลานี้เป็นเวลาของคนรวยครองเมือง คนจนเป็นขี้ข้า ไม่มีปัญญาจะไปสู้รบปรบมือแข่งกับเขาได้เลย พวกเขามันทุนหนา พวกเรามันทุนน้อยก็ต้องคอยเป็นขี้ข้าต่อไป
ฟังดูแล้วเป็นยังไงคุณประยุทธ์ คุณเห็นความคับแค้น คับแคบตีบตันในทางเดินของคนยากจนที่โดนมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศเอาเปรียบมั่งหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้ภาครัฐมีนโยบายจัดระเบียบทางเท้า พื้นผิวการจราจร เส้นทางการทำมาหากินของประชาชนคนยากจนยิ่งดูประหนึ่งว่าจะคับแคบตีบตันมากยิ่งขึ้น ในอีกแง่มุมหนึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นผลดีแก่ร้านสะดวกซื้อยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ เมื่อไม่มีพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายน้อยมาแย่งลูกค้า บรรดาร้านสะดวกซื้อทั้งหลายดูจะซื้อง่ายขายคล่องได้มากขึ้น นักลงทุนก็คือผู้หวังผลตอบแทนที่มากกว่า การลงทุน ไม่มีนักลงทุนที่ไหนในเมืองไทยที่จะคิดถึงหัวอกหัวใจของผู้บริโภคหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
เรื่องราวเหล่านี้มิใช่เพิ่งเกิดในยุค คสช. แต่เกิดมาหลายรัฐบาล หลายยุค หลายสมัยแล้ว ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าไปแตะร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยเป็นเจ้าของ ต่างเกรงกลัวบารมี เพราะแค่เศษเงินหรือขนหน้าแข้งเล็กๆน้อยๆของเขา อาจสร้างปัญหาให้เกิดกับรัฐบาลขึ้นได้ ยิ่งมีนักเคลื่อนไหวรับจ้างที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ มือปืนรับจ้างพวกนี้ยิ่งพร้อมจะออกมาขับเคลื่อนเพื่อก่อให้เกิดกระแสกดดันแก่รัฐบาลได้
ดูอย่างนายทักษิณเป็นต้น ขนาดยังไม่ได้ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย แค่โยนเศษเงินเล็กน้อยลงมาในกลุ่มชนคนต้องการประชาธิปไตยบางกลุ่มที่รับจ้างเคลื่อนไหว ยังสามารถทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้ สร้างความแตกแยกได้ สาอะไรกับเจ้าของร้านสะดวกซื้อทั้งหลายที่ครอบงำการค้าปลีกของบ้านเมือง ทั้งขยายสาขาไปทั่วแผ่นดินทุกซอกทุกมุมของสังคม ล้วนแต่มีร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมด
มองในมุมของผู้ใช้บริการ ก็ถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ
มองในมุมของการจ้างงาน ถือว่าใช้ได้ เหตุเพราะมีการจ่ายเงินจ้างงานเป็นหลายหมื่นคน
แต่ถ้ามองในมุมของประชาชนคนยากจน คนหาเช้ากินค่ำ การทำอาชีพค้าขายเล็กๆน้อยๆ อยู่กับบ้านอยู่กับครอบครัว อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกอบอุ่นนัก แถมด้วยช่วยลดปัญหาทางสังคมได้อีกตะหาก ตามด้วยการหยุดยั้งการโยกย้ายถิ่นที่ทำกินมากองรวมกันอยู่แต่ในตัวเมือง ซึ่งเกิดปัญหาสารพัดตามมาด้วย เพราะแต่ละถิ่นกำเนิดของมนุษย์ ล้วนมีสังคมที่มีทั้งขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อกำกับดูแลพฤติกรรมของผู้คนในท้องถิ่นของตนให้อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ยอมรับให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต่างมีความเกรงอกเกรงใจ ผู้คนในชนบทต้องโดนกำกับควบคุมพฤติกรรมโดยขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆไปโดยปริยาย สังคมในชนบทนั้นๆ จะมีการควบคุมกันเอง สงบเย็นไปโดยปริยาย ไม่ค่อยจะเกิดปัญหาวุ่นวายรุนแรงใดๆ เหตุเพราะภาคประชาสังคมควบคุมกันได้เอง เรียกว่าใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ขายขาย ไม่มีเศรษฐีหน้าเลือดที่ไหนมาเอาเปรียบพวกเขา เขาก็มิต้องดิ้นรนออกไปนอกกรอบของสังคมที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น
งานนี้หากคุณประยุทธ์ต้องการจะคืนความสุขให้ชาติประชาชนอย่างจริงจัง ควรจะต้องพูดคุยกับเศรษฐีหน้าเลือด ชอบเอาเปรียบคนยากจน ให้คืนอาชีพแก่คนยากคนจนไปเถิด เพราะเขาก็ร่ำรวยล้นฟ้ามากแล้ว ทำไมยังมาแย่งอาชีพของชาวบ้านตาดำๆอีก หากรัฐบาลคุณประยุทธ์ทำได้ ฉันว่าคุณคือสุดยอดฮีโร่เลยล่ะ
ที่จริงบริษัทนี้ ตอนที่พวกเขายังไม่ได้ทำการค้าแบบตะกรุมตะกรามตะกละ เคยนิมนต์ฉันไปแสดงธรรมบ่อยมาก ถึงกับผู้บริหารพาลูกชายมาขอเรียนหมากล้อมกับฉัน แต่ฉันปฏิเสธเพราะเห็นแววเอาเปรียบสังคม และหลังจากธุรกิจของพวกเขาเข้าครอบงำการค้าขายเล็กๆน้อยๆของคนจน ฉันไม่เคยไปแสดงธรรมให้แก่บริษัทนี้อีกเลย ทั้งที่เขาพยายามนิมนต์ คนพวกนี้อยู่ใกล้แล้วจะรู้ว่า มือถือสาก ปากถือศีล ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เจตนาเอาพระเอาธรรมมาเป็นเครื่องโฆษณาชวนให้เชื่อ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์และผลประโยชน์โดยตรงแก่บริษัท แต่ในเวลาเดียวกันก็แย่งอาชีพคนยากคนจนแบบชนิดไม่รู้สึกละอายชั่วกลัวบาปเลย นี่แหละสันดานนักลงทุนล่ะ”
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฉันได้เคยออกไปเรียกร้องขอให้ผู้มีอำนาจในเวลานี้ ได้ช่วยออกมาปกป้องอาชีพภูมิปัญญาบรรพบุรุษไทยไม่ให้ถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนและพวกเศรษฐีละโมบทั้งหลาย
โดยเฉพาะปีหน้านี้จะมีการเปิดเสรีการค้า เปิดประเทศในกลุ่ม AEC จะมีทั้งทุน ทั้งคน ทั้งอาชีพ ทั้งวัฒนธรรม หลั่งไหลเข้ามาและออกไป สิ่งที่คนไทยทั้งประเทศควรตระหนัก ต้องระมัดระวังถนอมรักษา นั่นคือรากเหง้าและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่จะต้องดำรงให้คงอยู่เพื่อส่งมอบเอาไว้ให้ลูกหลานชั้นหลังๆ สืบไป
วันนี้หากคนไทยยังทำทองไม่รู้ร้อน ยินยอมให้กลุ่มทุนและเศรษฐีผู้ละโมบมาเอาเปรียบ วันข้างหน้าพวกเราจะหลงเหลืออะไรเอาไว้ส่งมอบให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน
แล้วพวกเราจะยังหายใจอยู่อย่างภาคภูมิใจได้อีกกระนั้นหรือ
พุทธะอิสระ

ไม่มีความคิดเห็น: