วันพรุ่งนี้เป็นวันที่สองที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาคำร้องเรื่องพ.ร.บ. เงินกู้ ๒ ล้านล้าน
ศาลได้เรียกผู้เชี่ยวชาญทางการคลังที่เป็นอดีตรัฐมนตรีคลังมาแสดงความคิดเห็นสามท่าน ท่านทนง พิทยะ (รัฐมนตรีคลังสองสมัย สมัยที่สองในรัฐบาลไทยรักไทย) ท่านธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (รัฐบาลเพื่อไทย) และอดีตรมช. คลังดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม (รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคนายกฯชวน หลีกภัย)
แม้จะมาจากต่างพรรค ต่างขั้ว รวมถึงเป็นอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ทุกท่านเคยแสดงความคิดเห็นไว้ชัดเจนว่า 'ไม่เห็นด้วย' กับพรบ.เงินกู้ฉบับนี้
ท่านทนงเคยพูดไว้ว่า "ไม่ควรใช้เงินกู้ในการลงทุนก้อนโตขนาดนี้ การลงทุนควรมาจากรายได้ก่อนอันดับแรก เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง ไม่ให้หนี้สาธารณะเกิน 50% ของ GDP"
ท่านธีระชัยเคยพูดว่า "เป็นการออก พ.ร.บ.แบบหลวมๆ ไม่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่รัดกุม มีแต่ชื่อโครงการ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าลงทุนได้จริงหรือไม่"
ส่วนดร. พิสิฐได้พูดไว้ว่า "ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้บอกแหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้หนี้ บอกเพียงว่าสามารถชำระเงินคืนได้ภายใน 50 ปี แต่ไม่ได้บอกว่านำเงินมาจากไหน"
ส่วนสองรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายนี้คือคุณกิตติรัตน์และคุณชัชชาติได้เบิกความไปก่อนหน้านี้แล้วว่ากฎหมายฉบับนี้ดีเลิศและจำเป็นอย่างยิ่งเพราะอะไร
ผมขอทิ้งท้ายว่าล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกมาแถลงว่าจะไม่รอเงินกู้ ๒ ล้านล้านแล้ว แต่จะเริ่มเดินหน้าลงทุนพัฒนาระบบรถไฟด้วยงบประมาณ ๑๗๖,๐๐๐ ล้านที่รัฐบาลอภิสิทธิได้อนุมัติไว้ตั้งแต่ปี ๕๓ และอดีตรัฐมนตรีคมนาคมคุณโสภณ ซารัมย์ได้เริ่มดำเนินการไว้ แต่มีการสั่งยุติเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อให้รอใช้เงินกู้ ๒ ล้านล้าน
สรุปความหมายว่าโครงการนี้สามารถลงทุนด้วยงบปกติได้ และน่าจะทำต่อจากรัฐบาลที่แล้วแต่แรก
คอยติดตามกันต่อไปครับ
ศาลได้เรียกผู้เชี่ยวชาญทางการคลังที่เป็นอดีตรัฐมนตรีคลังมาแสดงความคิดเห็นสามท่าน ท่านทนง พิทยะ (รัฐมนตรีคลังสองสมัย สมัยที่สองในรัฐบาลไทยรักไทย) ท่านธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (รัฐบาลเพื่อไทย) และอดีตรมช. คลังดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม (รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคนายกฯชวน หลีกภัย)
แม้จะมาจากต่างพรรค ต่างขั้ว รวมถึงเป็นอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ทุกท่านเคยแสดงความคิดเห็นไว้ชัดเจนว่า 'ไม่เห็นด้วย' กับพรบ.เงินกู้ฉบับนี้
ท่านทนงเคยพูดไว้ว่า "ไม่ควรใช้เงินกู้ในการลงทุนก้อนโตขนาดนี้ การลงทุนควรมาจากรายได้ก่อนอันดับแรก เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง ไม่ให้หนี้สาธารณะเกิน 50% ของ GDP"
ท่านธีระชัยเคยพูดว่า "เป็นการออก พ.ร.บ.แบบหลวมๆ ไม่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่รัดกุม มีแต่ชื่อโครงการ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าลงทุนได้จริงหรือไม่"
ส่วนดร. พิสิฐได้พูดไว้ว่า "ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้บอกแหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้หนี้ บอกเพียงว่าสามารถชำระเงินคืนได้ภายใน 50 ปี แต่ไม่ได้บอกว่านำเงินมาจากไหน"
ส่วนสองรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายนี้คือคุณกิตติรัตน์และคุณชัชชาติได้เบิกความไปก่อนหน้านี้แล้วว่ากฎหมายฉบับนี้ดีเลิศและจำเป็นอย่างยิ่งเพราะอะไร
ผมขอทิ้งท้ายว่าล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกมาแถลงว่าจะไม่รอเงินกู้ ๒ ล้านล้านแล้ว แต่จะเริ่มเดินหน้าลงทุนพัฒนาระบบรถไฟด้วยงบประมาณ ๑๗๖,๐๐๐ ล้านที่รัฐบาลอภิสิทธิได้อนุมัติไว้ตั้งแต่ปี ๕๓ และอดีตรัฐมนตรีคมนาคมคุณโสภณ ซารัมย์ได้เริ่มดำเนินการไว้ แต่มีการสั่งยุติเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อให้รอใช้เงินกู้ ๒ ล้านล้าน
สรุปความหมายว่าโครงการนี้สามารถลงทุนด้วยงบปกติได้ และน่าจะทำต่อจากรัฐบาลที่แล้วแต่แรก
คอยติดตามกันต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น