PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ออกประกาศคุม "เมอร์ส" ฉ.2 ปชช.สงสัยป่วยไป รพ.ทันที เจ้าบ้านแจ้ง สธ. ฝ่าฝืนปรับ 2 พัน

ออกประกาศคุม "เมอร์ส" ฉ.2 ปชช.สงสัยป่วยไป รพ.ทันที เจ้าบ้านแจ้ง สธ. ฝ่าฝืนปรับ 2 พัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
24 มิถุนายน 2558 16:12 น.
ออกประกาศคุม เมอร์ส ฉ.2 ปชช.สงสัยป่วยไป รพ.ทันที เจ้าบ้านแจ้ง สธ. ฝ่าฝืนปรับ 2 พัน
        สธ.ออกประกาศฉบับ 2 ประชาชนกลับจากพื้นที่เสี่ยง มีอาการไข้ ไอ ต้องสงสัยป่วยเมอร์ส ต้องไป รพ.ทันที เจ้าบ้านต้องแจ้งรายละเอียดผู้ป่วยและผู้สัมผัสผู้ป่วยต่อ สธ. ฝ่าฝืนปรับ 2 พันบาท พร้อมแปลเป็นภาษาอังกฤษ ส่งสถานทูตทำความเข้าใจต่างชาติที่จะมาไทย
      
       วันนี้ (24 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ลงนามในประกาศเจ้าพนักงานสาธารณสุขฉบับที่ 1 ให้สถานพยาบาลทุกแห่งปฏิบัติ เมื่อมีผู้ป่วยต้องสงสัยโรคเมอร์ส ต้องแจ้ง สธ.ทันที ห้ามปฏิเสธการรับผู้ป่วย และถ้าต้องส่งต่อไปรักษาตัวที่อื่น ห้ามให้ผู้ป่วยเดินทางไปเองด้วยรถสาธารณะ ให้ส่งตัวด้วยรถพยาบาลที่มีการป้องกันการติดเชื้อแล้วเท่านั้น ล่าสุด นพ.โสภณ ได้ลงนามในประกาศเจ้าพนักงานสาธารณสุข ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติสำหรับประชาชนกรณีโรคเมอร์ส มีสาระสำคัญคือ
      
       1.ให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าตนเองจะป่วย หรือผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด เพื่อรับการตรวจหรือรับการรักษาในทางการแพทย์ 2.ในกรณีที่มีการป่วยเกิดขึ้น หรือมีเหตุสงสัยว่าได้มีการป่วยเกิดขึ้นในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือผู้ควบคุมดูแลบ้าน แจ้งชื่อและที่อยู่ของตน ความสัมพันธ์กับผู้ป่วย ชื่อ อายุ และที่อยู่ของผู้ป่วย โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ผู้ป่วยรับการรักษา วันที่เริ่มป่วย และอาการสำคัญของผู้ป่วย ให้แก่เจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เริ่มมีการป่วยขึ้นหรือมีเหตุสงสัยว่าได้มีการป่วยเกิดขึ้น และ 3.กรณีผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจจะป่วย หรือผู้ที่สัมผัสผู้ป่วย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ หรือกรณีเจ้าบ้านหรือผู้ควบคุมดูแลบ้านไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2 พันบาท
      
       นพ.โสภณ กล่าวถึงเรื่องนี้ภายหลังประชุมวอร์รูมโรคเมอร์ส ว่า ได้ออกประกาศเพิ่มเติมในเรื่องการปฏิบัติตัวของประชาชน เมื่อกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาดของโรคแล้วป่วยเป็นไข้ ไอ และผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ ไอที่มาจากพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ และให้สถานพยาบาลสามารถดำเนินการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะมีโทษปรับ 2,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งเป็นการออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 ทั้งนี้ จะมีการแปลประกาศดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษและประสานไปยังสถานทูตต่างๆ ให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเข้าใจมาตรการการป้องกันการระบาดในประเทศไทย
      
       "หากเป็นผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยง มีไข้ ไอ ตามเกณฑ์ต้องสอบสวนโรค สถานพยาบาลที่ทำการรักษาก็ต้องให้เข้าห้องแยกความดันลบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้ป่วยอื่น โดยต้องปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานสาธารณสุข กำหนด จนกว่าเจ้าพนักงานสาธารณสุขจะมีคำสั่งยกเลิก ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 2,000 บาท นอกจากนี้ จะมีการกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมให้อำนาจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บังคับให้มีการทำความสะอาดบ้านเรือนกรณีพบผู้ติดเชื้อ คล้ายๆกับการระบาดของไข้หวัดนก ที่ต้องบังคับให้ทำลายไก่ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคไม่ให้เกิดการแพร่กระจายโรคในประเทศ" อธิบดี คร. กล่าว
      
       นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ทยอยเดินทางกลับบ้านช่วงถือศีลอดและเทศกาลปีใหม่ ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) สาธารณสุขอำเภอ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ ตรวจสอบข้อมูล และติดตามดูแลเฝ้าระวังโรคทุกคนเมื่อกลับถึงประเทศไทย เช่นเดียวกับการเฝ้าระวังโรคผู้แสวงบุญฮัจญ์ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายปี สำหรับผู้ป่วยโรคเมอร์สชาวโอมาน อาการดีขึ้นตามลำดับ รับประทานอาหารได้ ส่วนผู้สัมผัสที่เป็นญาติ 3 คนอาการปกติและผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคอาการปกติทุกราย โดยสถานการณ์รอบ 24 ชั่วโมง มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 14 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากเกาหลีใต้ 11 ราย จากตะวันออกกลาง 3 ราย ทุกรายได้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และตั้งแต่ 1 ม.ค.- 23 มิ.ย. มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 72 ราย มาจากเกาหลีใต้ 46 ราย และตะวันออกกลาง 26 ราย
       

ไม่มีความคิดเห็น: