PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มีสติกับข่าว หายนะกรรมแห่งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ของจีน

ณ เพลานี้พึงสดับรับรู้ข่าวหายนะกรรมแห่งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ของจีน ด้วยความมีสติ..อย่างรู้เท่าทันเหลี่ยมสื่อสัญชาติตะวันตก
ในรอบ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมากระแสสื่อตะวันตกประสานพลังกันประโคมข่าวตลาดหุ้นเมืองจีนพัง เป็นเหตุให้มูลค่าตลาดละลายหายวับไป 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งๆที่โดยข้อมูลข้อเท็จจริงแล้วดัชนีราคาหุ้น ในตลาดหุ้นจีน ทั้งเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ค่อยๆสาละวันเตี้ยลงจากที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 5,023 จุดเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. แล้วลื่นไหลหัวทิ่มหัวตำลงมาเตาะแตะแถวๆ 3,000 กว่าจุดในช่วงนี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิกฤต"Black Monday"ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เมื่อ 28 ปีก่อน
สื่อตะวันตก ผสมโรงกับขบวนการนักวิเคราะห์ สถาบันการเงินสัญชาติตะวันตก พยายาม"จับแพะ ชนแกะ" แล้วใช้พลังอำนาจขั้นเทพในการ"ชวนเชื่อ"ว่าตลาดหุ้นจีนแย่แล้ว พร้อมๆกับการชี้แจงแสดงเหตุผลประกอบการชวนเชื่อหลายประการ...
ประการแรกราคาเฉลี่ยของหุ้น ในตลาดหุ้นจีน แพงเว่อร์เป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นชั้นนำ 10 แห่งของโลก
ประการที่ 2 ดัชนีราคาหุ้นที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นกว่า 150 % ในระยะเวลา 1 ขวบปีที่ผ่านมา มันร้อนแรงเกินกว่าที่ตลาดหุ้นจะรักษาความมีเสถียรภาพอยู่ได้
ประการที่ 3 รากฐานความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจจีนกำลังอ่อนแออย่างยิ่ง ด้วยภาระหนี้สาธารณะที่สูงมหาศาลกว่า 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ขนาดมูลค่าระบบเศรษฐกิจหรือ จีดีพี อยู่แค่ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นหมายถึงหนี้สาธารณะมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 282 ของจีดีพี
แสนยานุภาพในการสร้างกระแสชวนเชื่อจากสื่อตะวันตก ทำให้เกิดปรากฏการณ์"เจ๊กตื่นไฟ" มีการแห่เทขายหนีตายกันจ้าละหวั่นในช่วงวัน สองวันที่ผ่านมา กระทั่งทางการจีนต้องทำคลอดชุดมาตรการฟื้นฟูเยียวยาตลาดหุ้นออกมาอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยที่บางมาตรการถูกประกาศใช้มาแล้วก่อนหน้านี้
1.อัดฉีดเม็ดเงิน 260,000 ล้านหยวน ให้โบรคเกอร์ 21 แห่ง สำหรับซื้อสะสมหุ้นบลูชิพ และถือครองหุ้นนั้นไว้อย่างน้อย 1 ปี
2. พักการซื้อขายหุ้น 365 ตัวหรือคิดเป็นร้อยละ 33 ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และพักการซื้อขายหุ้น 992 ตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 56 ในตลาดหุ้นเซินเจิ้น
3.ห้ามผู้ถือครองหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 หรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทำการขายหุ้นที่ถือครองอยู่เป็นเวลา 6 เดือน
4.ระงับการจดทะเบียนหุ้นใหม่
5.ผ่อนปรนเงื่อนไขให้ลูกค้า Margin สามารถนำเอาบ้านอยู่อาศัย มาเป็นหลักประกัน เพื่อขอวงเงินซื้อขายหุ้นได้
6.ลดอัตราดอกเบี้ย และลดการถือครองเงินทุนต่อสินเชื่อของสถาบันการเงินให้ต่ำลง
7.อัดฉีดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จำนวน 250,000 ล้านหยวน
8. เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายการคมนาคม
9. ปรับลดค่าเงินหยวนให้อ่อนลง เพื่อกระตุ้นการส่งออก
กระนั้นก็ตามนักวิเคราะห์ค่ายแบงก์ออฟอเมริกาเมอร์ริลล์ลินซ์ ยังคงทำนายทายทักว่าค่าเงินหยวนของจีน มีแนวโน้มที่จะผันผวนไปในทิศทางที่อ่อนค่่าลงร้อยละ 10 ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
ว่าไปแล้วเหตุการณ์"ชำเลา"ตลาดหุ้นจีน จากกลุ่มผลประโยชน์ซีกโลกตะวันตก ไม่มีทางเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแน่นอน
ปี่ขลุ่ยที่น่าจะเป็นมูลเหตุนำไปสู่การกระทำชำเลาตลาดหุ้นจีน ดูไปแล้วน่าจะมีอยู่อย่างน้อย 2 ประเด็น...
1.หมั่นไส้จีน ที่บังอาจแจ้งเกิดธนาคาร AIIB อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นหยามหน้ากลุ่มมหาอำนาจชาติตะวันตกที่ชักใย"ธนาคารโลก"อย่างใหญ่หลวง
2.ดิสเครดิตค่าเงินหยวน ที่กำลังจะได้รับเกียรติจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ให้เข้าไปร่วมอยู่ในตะกร้าเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งใช้เป็นฐานการคำนวณสิทธิการเบิกถอน หรือ SDR-Special Drawing Right
การถล่มตลาดหุ้นจีน น่่าจะเป็นเพียงแค่ฉากแรกของสงครามเศรษฐกิจเท่านั้น.....ฉา่กต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
ที่แน่ๆคือสงครามแบบนี้ การแหกปากกู่ก้องหมายปองประชาธิปไตยไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น: